ปัญญาพลวัตร
โดย พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ผมไม่ค่อยแน่ใจกับชะตากรรมของการปฏิรูปประเทศว่าจะเป็นอย่างไร แต่ดูบรรยากาศและการขับเคลื่อนในยามนี้แล้ว ความหวังของการได้เห็นการปฏิรูปที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับแก่นสาระสำคัญดูเหมือนจะริบหรี่ลงไปเรื่อยๆ
เท่าที่ผมรับรู้มาบ้าง ประวัติศาสตร์ของการปฏิรูปประเทศต่างๆ เกิดขึ้นจากทั้งข้างบนและข้างล่าง ข้างบนคือผู้ปกครองประเทศหรือชนชั้นนำทางการเมืองและสังคมเป็นกลุ่มสร้างการปฏิรูป ส่วนข้างล่างคือภาคประชาชนผู้ความกระตือรือร้นทางการเมืองเป็นผู้ผลักดันและขับเคลื่อน
การปฏิรูปจากข้างบนนั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุหลัก 2 ประการ สาเหตุแรกคือ ประเทศเผชิญหน้ากับการคุกคามจากภายนอกจนกระทั่งชนชั้นนำที่พอมีสติปัญญาอยู่บ้างเกิดความตระหนักร่วมกันว่า หากไม่ทำอะไรจะสร้างความเสียหายต่อสถานภาพและอำนาจของกลุ่มตนเองอย่างใหญ่หลวง แต่หากทำอะไรบ้างก็จะบรรเทาความเสียหายดังกล่าวลงไประดับหนึ่ง ชนชั้นนำจึงเลือกทำบางอย่างหรือปฏิรูปบางอย่าง โดยยอมเสียอำนาจและผลประโยชน์บางส่วนที่เคยมีอย่างมหาศาล เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ที่เหลือ เสมือนหนึ่งเป็นการยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตนั่นเอง
แต่หากสังคมใดที่มีชนชั้นนำที่มีสติปัญญาจำกัด พวกเขาก็จะไม่ตระหนักหรือรับรู้ภยันตรายที่กำลังเกิดขึ้น หลงติดในขอบฟ้าแห่งอำนาจของตนเอง พวกเขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น ยังคงดำเนินการแบบเดิม รวมทั้งกดดับหรือปราบปรามผู้ที่ส่งเสียงเตือนภัยอีกด้วย ในท้ายที่สุดพลังจากภายนอกก็ทำลายวิมานและผลประโยชน์ที่พวกเขาต้องการรักษาเอาไว้เกือบทั้งหมด อันเป็นการเข้าข่าย เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย นั่นเอง
อย่างในระยะนี้ ระบบที่เผชิญกับแรงกดดันจากภายนอกคือระบบการทำประมง บังเอิญว่าผู้นำประเทศในปัจจุบันตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ จึงได้ขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับระบบการทำประมงในบ้านเราหลายเรื่องตามแรงกดดันจากภายนอก เพราะหากไม่ทำอะไรเลย ก็อาจทำให้ระบบประมงของประเทศล่มสลาย และสร้างความเดือดร้อนแก่คนจำนวนมากได้
แต่นอกจากเรื่องระบบประมงแล้ว เรื่องอื่นๆที่ไร้พลังกดดันจากภายนอก ดูเหมือนผู้นำประเทศจะไม่ค่อยตระหนักหรือรับรู้มากนักว่ามีความเร่งด่วนในการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยท่าทีลอยไปตามกระแสไปเรื่อยๆ ทำให้เข้าใจว่า ดูท่าผู้นำประเทศของเราขาดเจตจำนงอย่างแรงกล้าในการปฏิรูปประเทศอย่างแท้จริง เรื่องที่ทำมาก็ทำไปอย่างเสียไม่ได้ตามแรงกดดันจากภายนอกเท่านั้น
สาเหตุประการที่สองของการปฏิรูปจากเบื้องบนคือ การที่ประเทศมีผู้นำประเทศซึ่งกอปรไปด้วยสามัญสำนึกที่ลุ่มลึก เป็นผู้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาที่ดำรงอยู่และความรุนแรงของปัญหาที่มีแนวโน้มทวีมากขึ้นในอนาคตหากไม่ลงมือทำอะไรลงไปในปัจจุบัน ผู้นำเช่นนี้จะสร้างวิสัยทัศน์ของประเทศ พยายามผลักดันให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นวิสัยทัศน์ร่วมของสังคม และมีเจตจำนงอย่างแรงกล้าในการขับเคลื่อนประเทศให้บรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าว
ผู้นำวิสัยทัศน์ตระหนักดีว่าการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้นอาจต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากกลุ่มที่สูญเสียประโยชน์ และอาจประสบกับอุปสรรคอันเกิดจากความไม่เข้าใจของคนจำนวนหนึ่ง ดังนั้นการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องใช้พลังอำนาจทางการเมืองที่แข็งแกร่ง และการมีความชอบธรรมอันเกิดจากการสนับสนุนของประชาชน
น่าเสียดายว่าผู้นำในปัจจุบันของสังคมไทยดูเหมือนจะมีการรับรู้ถึงความร้ายแรงของปัญหาที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมของประเทศต่ำกว่าความเป็นจริง อีกทั้งยัง ไม่แสดงให้เราสามารถรับรู้ได้ว่ามีวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศอะไรบ้าง ทั้งยังมีสัญญาณบางอย่างที่ทำให้เข้าใจได้ว่า กลุ่มผู้นำประเทศของเรากำลังถูกดึงเข้าไปสู่วังวนของสิ่งที่สร้างปมปัญหาให้แก่ประเทศเสียเอง
สำหรับการปฏิรูปที่มาจากเบื้องล่างหรือมาจากประชาชนนั้นเกิดขึ้นในหลายประเทศ แต่กว่าที่ประชาชนจะสามารถผลักดันให้เกิดการปฏิรูปได้ต้องใช้ต้นทุนมหาศาล บางประเทศประชาชนต้องเสียสละชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมากกว่ากว่าที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ บางประเทศประชาชนต้องใช้ปัญญา เวลา และความอดทนในการขับเคลื่อน ขณะที่บางประเทศแม้ประชาชนลงทุน ลงแรง ลงปัญญา และลงชีวิต มากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่อาจทำให้เกิดการปฏิรูปประเทศขึ้นมาได้ จนในที่สุดประเทศก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤติและเกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นมา
สังคมไทยในระยะยี่สิบกว่าปีมานี้ ความพยายามในการผลักดันการปฏิรูปประเทศเกิดจากภาคประชาชนเกือบทั้งสิ้น บางเรื่องก็สามารถขับเคลื่อนได้บ้างและมีการเปลี่ยนแปลงในบางระดับ แต่เรื่องส่วนใหญ่ที่เป็นปัญหาแทบจะไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลย บางเรื่องเมื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาแล้วก็ถูกฉกฉวยจากกลุ่มคนในระบบอำนาจแบบเก่า ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนไปจากเจตนารมณ์ในตอนเริ่มต้น และกลายเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมาทับถมซ้ำเติมลงไปอีก
ภาคประชาชนพยายามอย่างมากในการสร้างการเปลี่ยนแปลงแนวทางการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง มีการทดลองในหลากหลายรูปแบบ แต่ก็ยังไม่อาจทำให้ผลิตที่เกิดขึ้นจากวิธีการเหล่านั้นมีคุณภาพตามที่คาดหวังได้ ดังที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการเลือกตั้งหลายครั้ง แต่ก็ได้นักการเมืองที่มีคุณภาพต่ำเข้ามาบริหารประเทศเสียทุก ครา ปมปัญหาสำคัญในเรื่องนี้คือ กลุ่มชนชั้นนำบางกลุ่มที่มีบทบาทในการออกแบบระบบการเมือง ยังต้องการรักษาระบบการเมืองแบบเดิม โดยไม่ยอมให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกผู้นำประเทศได้โดยตรง หากแต่ยังยืนยันให้ตัวแทนกลุ่มทุนสามานย์เป็นผู้เลือกผู้นำประเทศอยู่อย่างนั้นต่อไป
ภาคประชาชนยังพยายามผลักดันการปฏิรูปการจัดการทรัพยากรของชาติโดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติให้หลุดพ้นจากการเอาเปรียบจากบริษัทน้ำมันข้าม ชาติตะวันตก แต่ถูกขัดขวางและบิดเบือนจากกลุ่มชนชั้นนำบางกลุ่มได้ประโยชน์อย่างเป็นกอบเป็นกำจากบริษัทข้ามชาติเหล่านั้น ส่วนชนชั้นนำอีกบางส่วนที่มีอำนาจทางการเมืองในปัจจุบันก็ตามไม่ทันเล่ห์กลของบริษัทข้ามชาติและกลุ่มเทคโนแครตที่รับใช้ จึงไม่ค่อยให้ความสนใจกับข้อมูลและแนวทางการปฏิรูปของฝ่ายประชาชนมากนัก กลับไปให้ความสำคัญกับข้อเสนอของเทคโนแครตที่เอียงข้างบริษัทน้ำมันข้ามชาติเป็นหลักแทน
เท่าที่ผ่านมาสำหรับสังคมไทย พลังประชาชนสร้างการเปลี่ยนแปลงได้เพียงบางส่วนก็เพราะว่าจำนวนประชาชนผู้เข้าร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูปอาจมีไม่มากพอในระดับ “มวลวิกฤติ” และพลังก็ขาดความต่อเนื่อง การที่มีประชาชนจำนวนมากยืนหยัดในเจตจำนงและดำรงรักษาสำนึกแห่งการปฏิรูปได้อย่างยั่งยืนจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปที่มาจากภาคประชาชน
จากสภาพที่เห็นและเป็นอยู่ในเวลานี้ ผมยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า การคาดหวังให้กลุ่มผู้บริหารประเทศเกิดความตระหนักรู้และเปี่ยมด้วยสำนึกแห่งการปฏิรูปด้วยตนเอง มีวิสัยทัศน์และความกล้าหาญในการใช้อำนาจ และมีศิลปะการบริหารเพื่อขับเคลื่อนปฏิรูปเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องที่คาดหวังสูงเกินความจริง กล่าวได้ว่าในขณะนี้ไม่มีบุคคลใดในกลุ่มผู้บริหารประเทศที่มีแววเป็นผู้นำวิสัยทัศน์และเจตจำนงแน่วแน่ทางการเมือง เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง และสร้างความรุ่งเรืองแก่สังคมไทยในอนาคตได้
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบ้างในปัจจุบัน บางเรื่องจากพลังกดดันจากภายนอกประเทศเช่น เรื่องระบบการประมง หรือการค้ามนุษย์ และบางเรื่องมาจากพลังประชาชนที่ตื่นรู้ทางการเมืองผลักดัน แทบไม่มีเรื่องใดที่มาจากวิสัยทัศน์ของกลุ่มผู้นำประเทศเลย
ประสบการณ์ในอดีตบอกเราว่า การปฏิรูปอย่างรอบด้านและต่อเนื่องเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อ สังคมมีผู้นำการปฏิรูปที่มาจากการเลือกของประชาชนโดยตรงซึ่งทำให้ผู้นำมีอำนาจและความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ผู้นำดังกล่าวยังต้องเป็นผู้มีเจตจำนงแน่วแน่เพี่อสร้างอนาคตของประเทศ และต้องมีความกล้าหาญในการใช้อำนาจแบบสร้างสรรค์
บอกได้เลยครับว่าสำหรับสังคมไทย ทั้งผู้นำในปัจจุบันและผู้นำในอนาคตที่เกิดจากรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างอยู่ขณะนี้ ไม่มีทางที่จะมีคุณสมบัติดังที่ผมกล่าวมาข้างต้น เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็คงทำนายอนาคตของการปฏิรูปได้นะครับว่า จะประสบกับชะตากรรมเยี่ยงไร หากเงื่อนไขและสถานการณ์ยังเป็นอยู่ในลักษณะนี้