วานนี้ (6 ส.ค.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณา ร่าง พ.ร.บ. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ ... ใน วาระที่ 1 ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ติดตามตัวผู้ที่ถูกปล่อยตัวชั่วคราว หลักเกณฑ์การบังคับคดีผู้ประกัน และการอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงหลักการ และเหตุผล ว่า ปัจจุบันมีการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring)หรือ "อีเอ็ม" มาใช้ในการบังคับตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงสมควรให้นำไปใช้ในการติดตามตัวผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และมิให้เรียกหลักประกันเกินสมควร เพื่อให้ผู้ต้องหา และจำเลยมีโอกาสได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวมากขึ้น
ทั้งนี้ การจะนำอุปกรณ์ไปใช้ จะต้องได้รับการยินยอมใน 3 เงื่อนไข คือ 1 . กฎหมายบัญญัติให้ใช้ 2. เจ้าหน้าที่ หรือศาลเห็นสมควรให้ใช้ และ 3. ผู้ต้องหา หรือจำเลย ยินยอมให้ใช้ ซึ่งหากไม่ยอมรับในเงื่อนไขนี้ ก็สามารถดำเนินการตามวิธีการอื่น
นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ยังบัญญัติให้ มีการงดการบังคับตามสัญญาประกัน หรือลดจำนวนเงินที่ต้องใช้ ตามสัญญาประกันอีกด้วย เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ไม่สามารถหาเงินจ่ายค่าประกันตนได้ทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม นี้หากมีการทำลายอุปกรณ์ หรือทำให้ใช้การไม่ได้ ให้สันนิษฐานว่าผู้ปล่อยตัวชั่วคราวนั้นหนี หรือจะหลบหนี จากนั้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือศาลควบคุมตัว หรือกรณีที่อุปกรณ์ชำรุดให้ผู้ต้องหา หรือจำเลยรีบรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ หรือศาลเป็นต้น ซึ่งปัจจุบันกรมควบคุมประพฤติ ได้มีการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวกว่า 3,000 เครื่องแล้ว จึงเห็นควรนำมาใช้กับผู้ต้องหา และจำเลย เพราะจะทำให้การติดตามตัวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ได้สิทธิ์ปล่อยตัวชั่วคราว ฉะนั้นจึงต้องแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 108 วรรคสาม และ เพิ่มมาตรา 117 วรรคสอง เพื่อบัญญัติหลักเกณฑ์เหล่านี้ไว้ ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในครั้งนี้
ทั้งนี้ ในที่ประชุม สมาชิกสนช.ได้อภิปรายสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ เนื่องจากผู้ต้องหาที่มีภาระครอบครัว สามารถกลับมาดูแลครอบครัวได้ อีกทั้งยังเป็นการลดจำนวนผู้ต้องหาล้นคุกได้ แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เมื่อออกมาแล้วจะใช้กับบุคคลประเภทไหนยังไม่ชัดเจน รวมถึงหากใช้กับเด็ก และเยาวชน จะไม่เหมาสม และหากใช้เครื่องนี้ติดกับผู้ต้องหาที่ถูกปล่อยตัวชั่วคราว ก็จะกลายเป็นการประจานบุคคล นอกจากนี้ จะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือไม่ เพราะมีการเฝ้าดูติดตามการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ต้องหา
ด้านนายวิษณุ กล่าวชี้แจงว่า อุปกรณ์อีเอ็มใช้เฉพาะการติดตามตัวผู้ต้องหาเท่านั้น ว่าตอนนี้อยู่สถานที่ใด ไม่ได้ดูผู้ต้องหาทุกวินาที เหมือนรูปแบบอคาเดมี่ แฟนเทเชีย หากผู้ต้องหาทำลาย หรือปลดอีเอ็มออก ก็จะรู้ทันทีว่าผู้ต้องหาหลบหนี ในส่วนที่กังวลเกี่ยวกับว่าจะเป็นการประจานนั้น อุปกรณ์นี้ใน ร่าง พ.ร.บ.นี้ เขียนว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรืออุปกรณ์อื่นใด ซึ่งเป็นการเปิดกว้าง ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จะมีการปรับเปลี่ยนรูปทรงของอุปกรณ์ให้เป็นที่ทันสมัย เล็ก จนไม่สังเกตได้ว่าเป็นอุปกรณ์ตามตัวผู้ต้องหา ที่สำคัญหลักการสำคัญ คือ ผู้ต้องหาที่จะติดอุปกรณ์อีเอ็มนี้ ต้องได้รับความยินยอมใน 3 เงื่อนไขที่กล่าวมาแล้ว
จากนั้น ที่ประชุมได้ลงลงมติรับ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในวาระแรก 171 คะแนน ไม่เห็นด้วย 1 คะแนน และ งดออกเสียง 5 คะแนน และ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 15 คนแปรญัตติภายใน 7 วัน
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงหลักการ และเหตุผล ว่า ปัจจุบันมีการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring)หรือ "อีเอ็ม" มาใช้ในการบังคับตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จึงสมควรให้นำไปใช้ในการติดตามตัวผู้ถูกปล่อยชั่วคราว และมิให้เรียกหลักประกันเกินสมควร เพื่อให้ผู้ต้องหา และจำเลยมีโอกาสได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวมากขึ้น
ทั้งนี้ การจะนำอุปกรณ์ไปใช้ จะต้องได้รับการยินยอมใน 3 เงื่อนไข คือ 1 . กฎหมายบัญญัติให้ใช้ 2. เจ้าหน้าที่ หรือศาลเห็นสมควรให้ใช้ และ 3. ผู้ต้องหา หรือจำเลย ยินยอมให้ใช้ ซึ่งหากไม่ยอมรับในเงื่อนไขนี้ ก็สามารถดำเนินการตามวิธีการอื่น
นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ยังบัญญัติให้ มีการงดการบังคับตามสัญญาประกัน หรือลดจำนวนเงินที่ต้องใช้ ตามสัญญาประกันอีกด้วย เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ไม่สามารถหาเงินจ่ายค่าประกันตนได้ทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม นี้หากมีการทำลายอุปกรณ์ หรือทำให้ใช้การไม่ได้ ให้สันนิษฐานว่าผู้ปล่อยตัวชั่วคราวนั้นหนี หรือจะหลบหนี จากนั้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือศาลควบคุมตัว หรือกรณีที่อุปกรณ์ชำรุดให้ผู้ต้องหา หรือจำเลยรีบรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ หรือศาลเป็นต้น ซึ่งปัจจุบันกรมควบคุมประพฤติ ได้มีการใช้อุปกรณ์ดังกล่าวกว่า 3,000 เครื่องแล้ว จึงเห็นควรนำมาใช้กับผู้ต้องหา และจำเลย เพราะจะทำให้การติดตามตัวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ได้สิทธิ์ปล่อยตัวชั่วคราว ฉะนั้นจึงต้องแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 108 วรรคสาม และ เพิ่มมาตรา 117 วรรคสอง เพื่อบัญญัติหลักเกณฑ์เหล่านี้ไว้ ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในครั้งนี้
ทั้งนี้ ในที่ประชุม สมาชิกสนช.ได้อภิปรายสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ เนื่องจากผู้ต้องหาที่มีภาระครอบครัว สามารถกลับมาดูแลครอบครัวได้ อีกทั้งยังเป็นการลดจำนวนผู้ต้องหาล้นคุกได้ แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เมื่อออกมาแล้วจะใช้กับบุคคลประเภทไหนยังไม่ชัดเจน รวมถึงหากใช้กับเด็ก และเยาวชน จะไม่เหมาสม และหากใช้เครื่องนี้ติดกับผู้ต้องหาที่ถูกปล่อยตัวชั่วคราว ก็จะกลายเป็นการประจานบุคคล นอกจากนี้ จะเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือไม่ เพราะมีการเฝ้าดูติดตามการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ต้องหา
ด้านนายวิษณุ กล่าวชี้แจงว่า อุปกรณ์อีเอ็มใช้เฉพาะการติดตามตัวผู้ต้องหาเท่านั้น ว่าตอนนี้อยู่สถานที่ใด ไม่ได้ดูผู้ต้องหาทุกวินาที เหมือนรูปแบบอคาเดมี่ แฟนเทเชีย หากผู้ต้องหาทำลาย หรือปลดอีเอ็มออก ก็จะรู้ทันทีว่าผู้ต้องหาหลบหนี ในส่วนที่กังวลเกี่ยวกับว่าจะเป็นการประจานนั้น อุปกรณ์นี้ใน ร่าง พ.ร.บ.นี้ เขียนว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรืออุปกรณ์อื่นใด ซึ่งเป็นการเปิดกว้าง ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จะมีการปรับเปลี่ยนรูปทรงของอุปกรณ์ให้เป็นที่ทันสมัย เล็ก จนไม่สังเกตได้ว่าเป็นอุปกรณ์ตามตัวผู้ต้องหา ที่สำคัญหลักการสำคัญ คือ ผู้ต้องหาที่จะติดอุปกรณ์อีเอ็มนี้ ต้องได้รับความยินยอมใน 3 เงื่อนไขที่กล่าวมาแล้ว
จากนั้น ที่ประชุมได้ลงลงมติรับ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในวาระแรก 171 คะแนน ไม่เห็นด้วย 1 คะแนน และ งดออกเสียง 5 คะแนน และ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 15 คนแปรญัตติภายใน 7 วัน