โดย...ไพรัตน์ แย้มโกสุม
สมัยก่อนย้อนอดีต 50-60 ปี เรื่องน้ำท่วมและน้ำแล้ง ไม่เห็นเป็นปัญหา ท่วมทุกปี แล้งทุกปี ท่วมประมาณ 1 สัปดาห์น้ำก็ลด ทางน้ำไหลสะดวก ไม่มีสิ่งกีดขวาง หน้าแล้งฝนไม่ตก แต่ก็ยังมีน้ำในสระห้วย หนอง คลอง บึง ให้ใช้ประโยชน์อยู่ ไม่มีทุกข์โทษภัยอะไรแก่ประชาชน ตกมาสมัยนี้ที่มีนักการเมืองชั่ว ข้าราชการเลว บริหารปกครองบ้านเมืองเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้งเลยกลายเป็นปัญหา เป็นอันตรายอันน่ากลัวแก่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน
ภัยท่วมภัยแล้ง
สองภัยนี้มักจะมาเยือนแผ่นดินทุกปี แล้งแล้วก็ท่วม ท่วมแล้วก็แล้งอยู่นั่นแหละ ปานละครบทเดิม เล่นแล้วเล่นอีก ซ้ำซากจำเจเหมือนไม่มีเจ้าภาพหรือผู้รับผิดชอบ เป็นไปตามสูตร ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ประมาณนั้น
ยามว่างเพื่อนร่วมกลุ่ม “เซเว่นลีดกรุ๊ป” ชอบนั่งรถเที่ยวชมทุ่งนาสองข้างทาง บางแห่งเป็นต้นกล้าต้นข้าวขาดน้ำกำลังแห้งตายอย่างน่าเวทนา บางแห่งต้นกล้าต้นข้าวเขียวขจี เพราะได้น้ำจากสระน้ำในนา ชีวิตชาวนาไม่มีหลักประกันอะไรจากผู้ปกครองบ้านเมือง ซึ่งกินเงินเดือนอยู่สุขสบายจากเงินภาษีประชาชน ความหวังเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ “ฝน” ถ้าฝนตกพอประมาณ ไม่ท่วม ความหวังก็เป็นจริง มีข้าวกิน มีเงินใช้ ถ้าฝนไม่ตกลงมา ทำนาไม่ได้ข้าว ได้แต่หนี้ ก็จบ ไม่มีข้าวกิน ไม่มีเงินใช้ กู้หนี้ยืมสินต่อไป ยากจนยากแค้นต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กล่าวต่อหน้าประชาชน ข้าราชการ สื่อมวลชนว่า... “ที่มันแล้ง ไม่มีฝน เพราะป่าไม้ถูกทำลายจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้น นี่คือปัญหาใหญ่ที่เราจะต้องช่วยกันดูแลรักษาป่า ปลูกป่าให้มีสภาพเหมือนเดิม ฝนจะได้ตกต้องตามฤดูกาล...”
นายกฯ พูดถูก แต่พูดไม่หมด ท่านควรจะพูดต่อไปว่า... “ผมจะต้องจัดการ ตัวการใหญ่ที่ทำลายป่าไม้ให้สิ้นซาก อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีลูบหน้าปะจมูก”
ถ้าพูดอย่างนี้ ก็จะได้ใจประชาชน ประชาชนก็จะมีความหวังขึ้นมาบ้าง
การที่ท่านฝากความหวังให้ประชาชนช่วยเหลือในการแก้ปัญหา ดูออกจะเลื่อนลอย ขนาดท่านมีอำนาจเต็มที่ (สมมติ) ยังแก้ไม่ได้ และประชาชนไม่มีอำนาจอะไรเลย จะไปแก้ได้อย่างไร?
ปัญหาการทำลายป่า ซึ่งเป็นต้นน้ำต้นธาร เป็นปัญหาใหญ่สำคัญของชาติ นี่คือหน้าที่ของท่านโดยตรง ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ช่วยปลูกป่า ช่วยเก็บผักตบชวาออกจากสระออกจากหนอง ช่วยจัดกิจกรรมอะไรต่างๆ ช่วยแห่นางแมวขอฝนจากเทวดา ฯลฯ อย่างนี้ประชาชนพอช่วยได้อยู่
ป่าไม้กับน้ำเป็นของคู่กัน มีป่าก็มีน้ำ ไร้ป่าก็ไร้น้ำ
ป่าไม้ทำให้ฝนตก! บางคนไม่ค่อยเชื่อ เพราะบ้านที่เขาอยู่ ไม่มีป่า ไม่มีต้นไม้เลย ฝนก็ยังตก
จึงจำเป็นต้องทบทวนความรู้ความจำสักเล็กน้อย มิเช่นนั้นก็จะเถียงอย่างข้างๆ คูๆ
ฝนเกิดจากเมฆ เมฆมาจากไอน้ำที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาจากต้นไม้ เพราะส่วนใหญ่มาจากทะเล เมื่อรวมกันเป็นเมฆ แล้วเมฆก็จะรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถที่จะพยุงตัวไว้ได้ จึงตกลงมาเป็นฝน
แต่ในพื้นที่ฝนตกได้ยาก เช่น ทะเลทราย หรือเมืองใหญ่ เนื่องเพราะ...
(1) คลื่นความร้อน (อินฟราเรด) ที่มาจากดวงอาทิตย์ลงมาที่พื้นโลก แล้วสะท้อนกลับขึ้นไปแหวกเมฆออกไปที่อื่น
(2) อุณหภูมิสูงนี้ ทำให้เมฆไม่ยอมควบแน่น (จากไอน้ำเป็นของเหลว) สักที
ต้นไม้สามารถดูดคลื่นอินฟราเรด (คลื่นหรือรังสีความร้อน) ได้ดีพอสมควร (ดีกว่าหิน ทราย ตึก) จึงทำให้ไม่มีคลื่นความร้อนไปกระทบต่อเมฆ ดังนั้น ที่มีต้นไม้มาก เช่น ป่า หรือตามชนบทที่มีป่า ฝนจะตกได้ดีแม้เมฆไม่หนา ฝนก็ตกได้
ป่าในความเป็นจริง ป่าไม่ต้องไปปลูกก็สามารถขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ขอเพียงแต่คนอย่าเอาพื้นที่เพาะปลูกกับพื้นที่เมืองรุกเข้าไปในป่าก็พอ เพราะสิ่งที่ทำกันทุกวันนี้ก็คือ การทำร้ายทำลายป่า
ป่าเกิดจากลักษณะภูมิอากาศกับลักษณะภูมิประเทศประกอบกัน อย่างบริเวณที่เป็นประเทศไทยอยู่ในภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่เอื้อต่อการดำรงซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของป่าอยู่แล้ว ปัจจัยตามธรรมชาติจะทำให้ป่าพึ่งตัวเองได้ภายใน 5 ปี 10 ปี โดยไม่ต้องมีโครงการปลูกป่าทุกปี เสียเงินงบประมาณทุกปี
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นห่วงเป็นใยในทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ของไทย นับวันจะวิกฤตยิ่งขึ้น พระองค์ตรัสว่า... “ถ้าในหลวงเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ...พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า” และ...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสว่า... “ป่าคือต้นน้ำ...น้ำคือชีวิต”
ป่าและน้ำเป็นของคู่กัน มีป่าก็มีน้ำ ขาดป่าก็ขาดน้ำ พสกนิกรทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง รวมทั้งนายทุนใจบาปทำลายป่าจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้นลูกแล้วลูกเล่า ถ้าท่านยังมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านทั้งสอง จงหยุดพฤติกรรมทำลายป่า และจัดการลงโทษคนทำลายป่าอย่างเป็นวาระสำคัญของชาติ
ป่าไม้คือธรรมชาติที่บริสุทธิ์ อย่าเอาความไม่บริสุทธิ์ คือขยะความคิดเข้าไปในป่าเลย ปล่อยให้ป่าเขาอยู่ตามธรรมชาติ
การปลูกป่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องปลูกป่าด้วยใจรัก ถ้าปลูกด้วยเงินแล้ว ป่าเกิดยาก ผลประโยชน์เข้าตัวเองเกิดง่าย ตรงตามตำรา... “เลี้ยงช้าง กินขี้ช้าง” คือหาผลประโยชน์มิชอบจากงานที่ทำ
ภัยท่วมภัยแล้งที่เกิดขึ้นทุกปี เสียงบประมาณมหาศาลทุกปี ก็แก้ไม่ได้สักที ปัญหากลับทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เหตุแห่งปัญหา ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไร มันอยู่ตรงที่... “อยากกินขี้ช้าง” หรือเปล่า? โอ...โง่ กลัวโลภ...อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว
ทุกข์แห่งแผ่นดิน
ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ กิจจริง 4 อย่างนี้ เข้าใจและทำกันหรือเปล่า ถ้ายังไม่เข้าใจและยังไม่ทำ ก็น่าเสียดายที่เกิดมาเสียชาติเกิด เกิดมาในยุคกัปกัลป์ของพระพุทธเจ้าแท้ๆ แต่ไม่รู้ไม่เห็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้-อย่างนี้ ยังจะคุยโตโม้บ้า ข้าเก่ง ข้าฉลาดอยู่อีกหรือ ไม่อายคนต่างชาติต่างศาสนาที่เขารู้พุทธจริง ถึงพุทธจริงดอกหรือ?
ชาวนาเห็นข้าวกล้าในนาแห้งตาย นั่นแหละคือตัวทุกข์ เห็นต้นข้าวกำลังตั้งท้อง กำลังจะกลายเป็นทุ่งรวงทอง แล้วเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ข้าวเสียหายละลายไปกับน้ำ นี่คือตัวทุกข์ตัวปัญหา
กรณีแล้งเพราะฝนไม่ตก ฝนไม่ตกเพราะทำลายป่าไม้ นี่คือเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) จัดการคนทำลายป่าให้สิ้นซาก ในกรอบมรรคแปดหรือศีลสมาธิปัญญา นี่คือวิธีการแก้ทุกข์แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ (มรรค) เมื่อมีต้นไม้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ชาวนาได้ทำนาเต็มที่ ได้ข้าว ได้เงิน อยู่ดีกินดี นี่คือปัญหาหมด ทุกข์หมด (นิโรธ) กรณีน้ำท่วมก็ทำนองเดียวกัน เมื่อมีป่ามีต้นไม้ พอฝนตกการไหลของน้ำก็ช้าลง ชาวนามีบ่อมีสระเป็นของตน รัฐขุดสระขนาดใหญ่ทุกหมู่บ้าน เป็นที่รองรับน้ำเวลาฝนตก ขุดลอกคูคลองให้กว้างให้ลึก ห้ามสร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำโดยเด็ดขาด น้ำก็จะไหลได้สะดวกลงสู่แม่น้ำ ทะเลอย่างนี้ก็จะแก้ปัญหาน้ำท่วมได้
การที่รัฐบาลแจกเงินให้ชาวนาไร่ละพันบาท เมื่อฝนแล้งและน้ำท่วมนั้น ดูเผินๆ ก็ดีอยู่ แต่คนที่ได้เงินจริงๆ คือนายทุนเจ้าของนา ชาวนาสมัยนี้เช่านาเขาทำทั้งนั้น ก็อาจมีนาอยู่บ้างไม่เกินสิบไร่ นี่คือฝีมือของใครที่ปล่อยให้เขาโง่อยู่ตามยถากรรม
ชาวนาคือคนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน เมื่อทุกข์ตกอยู่ที่ตัวเขา นั่นคือทุกข์แห่งแผ่นดิน
ท่านผู้รู้ผู้ฉลาดทั้งหลาย เมื่อเกิดปัญหาก็พากันแก้ปัญหา พอปัญหาหมดก็จบกัน เมื่อปัญหาเกิดใหม่ก็ค่อยว่ากันใหม่
แต่คนอัจฉริยะ ท่านจะป้องกันปัญหา คิด-ทำเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาแก้ปัญหาซ้ำซาก ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุด ได้ผลที่ชัดที่สุดคือ... “เศรษฐกิจพอเพียง” หรือ “ศาสตร์พระราชา” ไงล่ะ แปลกนะ...ที่พวกเราไม่ค่อยสนใจกัน คงจะรอให้ฝรั่งนำเข้าเสียก่อนมั้ง จึงจะตามก้นเขาต้อยๆ
มักง่ายเล่นลิ้น
“มักง่าย” คือเอาสะดวกเข้าว่า อย่างขุดสระ แทนที่จะเอาดินไปทิ้งที่อื่น ก็ทิ้งตรงขอบสระนั่นแหละ ทำให้ขอบสระกว้างขึ้น และตัวสระแคบลง เมื่อฝนตก ดินก็ไหลลงสระ ขอบสระก็พัง ปีต่อไปได้งบขุดลอกอีก มีงานเข้าตลอด ได้กินขี้ช้างตลอด นี่คือตัวอย่างของความมักง่าย
“เล่นลิ้น” คือพูดจาด้วยสำนวนโวหาร ไม่ตรงไปตรงมา คนตรงไปตรงมา เขาจะไม่อ้อมค้อม เขาจะไม่เล่นเล่ห์เพทุบาย ผิดก็ว่าผิด ถูกก็ว่าถูก ดีก็ว่าดี ชั่วก็ว่าชั่ว
อยากดูคนพูดเล่นลิ้น ต้องไปที่นักการเมือง เขาสามารถพูดผิดให้เป็นถูก หรือถูกเป็นผิดได้ พูดจนคนฟังเคลิ้มได้ เชื่อได้ ถ้ารู้ไม่ทัน
ให้สัมภาษณ์วันนี้ต่อหน้าสื่อ หนังสือพิมพ์ลง ทีวีออกทุกช่อง พอรุ่งขึ้นอีกวัน เขาบอกว่า ไม่ได้พูดอย่างนั้น สื่อเขียนเอง ลงเอง เป็นงั้นไป
คนประเภทมักง่ายและเล่นลิ้น มักเป็นกลุ่มเดียวกัน หรือเป็นคนเดียวกัน ที่ชอบเลี้ยงไข้ ก่อปัญหา ยื้อเวลาไปเรื่อยๆ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ช่างมัน ฉันไม่แคร์
มิสิ้นปัญหา
ปัญหาจะหมดไปได้อย่างไร ในเมื่อเขายื้อเวลา ซื้อเวลา เพื่อปัญหา สร้างปัญหาต่อไป คนมักง่ายเล่นลิ้น คงเห็นความทุกข์ไม่ใช่ความทุกข์ เห็นปัญหาไม่ใช่ปัญหา อาจจะเห็นเป็นงานเข้าด้วยซ้ำไป (ถ้าไม่มีปัญหา แล้วกรูจะไปแก้อะไร)
พอถึงวาระที่จะแก้ปัญหาจริงๆ ก็แก้กันง่ายๆ ตรงปลายเหตุนั่นแหละ ภัยแล้งจ่ายเงิน-จบ ภัยท่วมจ่ายเงิน-จบ ปลูกป่าให้งบไปซื้อต้นกล้า รณรงค์โฆษณาขึ้นป้าย-จบ ปลูกแล้วไม่ดูแลรักษาก็ตายไป ปีหน้าให้งบใหม่ปลูกอีก-จบ ฯลฯ
ปัญหาจบที่ปลายเหตุ ไม่ได้จบจริงที่ต้นเหตุ จึงมีปัญหาให้ได้แก้ตลอดไป
ปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศชาติ คือความไม่รู้จริง หรือความโง่ของประชาชน จุดอ่อนตรงนี้แทนที่จะแก้ไข กลับส่งเสริมด้วยซ้ำไป เพราะมันปกครองง่าย เชื่อง่าย คอร์รัปชันง่าย
“ภัยท่วมภัยแล้ง
ทุกข์แห่งแผ่นดิน
มักง่ายเล่นลิ้น
มิสิ้นปัญหา”
เกิดเป็นคนต้องมีคุณค่า แต่คุณค่าก็มีสองอย่างให้เลือกคือ... “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน” กับ “ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร”
ไม่ต้องบอกว่า...ฉันเลือกอย่างไหน แต่พฤติกรรมหรือการกระทำของคุณมันบอกเอง มันเป็นหลักฐานชัดแจ้ง เหนือใบเสร็จใดๆ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อภิมหาอัจฉริยะแห่งโลก กล่าวว่า... “คุณค่าอันแท้จริงของการเป็นมนุษย์ สามารถพบได้ตามระดับที่เขาสามารถหลุดพ้นจากตัวตน”
กระจกสาธารณะบานนี้ ส่องได้ทุกสิ่ง รู้จริงทุกอย่าง เพียงอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ แล้วลุง!
สมัยก่อนย้อนอดีต 50-60 ปี เรื่องน้ำท่วมและน้ำแล้ง ไม่เห็นเป็นปัญหา ท่วมทุกปี แล้งทุกปี ท่วมประมาณ 1 สัปดาห์น้ำก็ลด ทางน้ำไหลสะดวก ไม่มีสิ่งกีดขวาง หน้าแล้งฝนไม่ตก แต่ก็ยังมีน้ำในสระห้วย หนอง คลอง บึง ให้ใช้ประโยชน์อยู่ ไม่มีทุกข์โทษภัยอะไรแก่ประชาชน ตกมาสมัยนี้ที่มีนักการเมืองชั่ว ข้าราชการเลว บริหารปกครองบ้านเมืองเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้งเลยกลายเป็นปัญหา เป็นอันตรายอันน่ากลัวแก่ประชาชนคนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน
ภัยท่วมภัยแล้ง
สองภัยนี้มักจะมาเยือนแผ่นดินทุกปี แล้งแล้วก็ท่วม ท่วมแล้วก็แล้งอยู่นั่นแหละ ปานละครบทเดิม เล่นแล้วเล่นอีก ซ้ำซากจำเจเหมือนไม่มีเจ้าภาพหรือผู้รับผิดชอบ เป็นไปตามสูตร ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ประมาณนั้น
ยามว่างเพื่อนร่วมกลุ่ม “เซเว่นลีดกรุ๊ป” ชอบนั่งรถเที่ยวชมทุ่งนาสองข้างทาง บางแห่งเป็นต้นกล้าต้นข้าวขาดน้ำกำลังแห้งตายอย่างน่าเวทนา บางแห่งต้นกล้าต้นข้าวเขียวขจี เพราะได้น้ำจากสระน้ำในนา ชีวิตชาวนาไม่มีหลักประกันอะไรจากผู้ปกครองบ้านเมือง ซึ่งกินเงินเดือนอยู่สุขสบายจากเงินภาษีประชาชน ความหวังเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ “ฝน” ถ้าฝนตกพอประมาณ ไม่ท่วม ความหวังก็เป็นจริง มีข้าวกิน มีเงินใช้ ถ้าฝนไม่ตกลงมา ทำนาไม่ได้ข้าว ได้แต่หนี้ ก็จบ ไม่มีข้าวกิน ไม่มีเงินใช้ กู้หนี้ยืมสินต่อไป ยากจนยากแค้นต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กล่าวต่อหน้าประชาชน ข้าราชการ สื่อมวลชนว่า... “ที่มันแล้ง ไม่มีฝน เพราะป่าไม้ถูกทำลายจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้น นี่คือปัญหาใหญ่ที่เราจะต้องช่วยกันดูแลรักษาป่า ปลูกป่าให้มีสภาพเหมือนเดิม ฝนจะได้ตกต้องตามฤดูกาล...”
นายกฯ พูดถูก แต่พูดไม่หมด ท่านควรจะพูดต่อไปว่า... “ผมจะต้องจัดการ ตัวการใหญ่ที่ทำลายป่าไม้ให้สิ้นซาก อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีลูบหน้าปะจมูก”
ถ้าพูดอย่างนี้ ก็จะได้ใจประชาชน ประชาชนก็จะมีความหวังขึ้นมาบ้าง
การที่ท่านฝากความหวังให้ประชาชนช่วยเหลือในการแก้ปัญหา ดูออกจะเลื่อนลอย ขนาดท่านมีอำนาจเต็มที่ (สมมติ) ยังแก้ไม่ได้ และประชาชนไม่มีอำนาจอะไรเลย จะไปแก้ได้อย่างไร?
ปัญหาการทำลายป่า ซึ่งเป็นต้นน้ำต้นธาร เป็นปัญหาใหญ่สำคัญของชาติ นี่คือหน้าที่ของท่านโดยตรง ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ช่วยปลูกป่า ช่วยเก็บผักตบชวาออกจากสระออกจากหนอง ช่วยจัดกิจกรรมอะไรต่างๆ ช่วยแห่นางแมวขอฝนจากเทวดา ฯลฯ อย่างนี้ประชาชนพอช่วยได้อยู่
ป่าไม้กับน้ำเป็นของคู่กัน มีป่าก็มีน้ำ ไร้ป่าก็ไร้น้ำ
ป่าไม้ทำให้ฝนตก! บางคนไม่ค่อยเชื่อ เพราะบ้านที่เขาอยู่ ไม่มีป่า ไม่มีต้นไม้เลย ฝนก็ยังตก
จึงจำเป็นต้องทบทวนความรู้ความจำสักเล็กน้อย มิเช่นนั้นก็จะเถียงอย่างข้างๆ คูๆ
ฝนเกิดจากเมฆ เมฆมาจากไอน้ำที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาจากต้นไม้ เพราะส่วนใหญ่มาจากทะเล เมื่อรวมกันเป็นเมฆ แล้วเมฆก็จะรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถที่จะพยุงตัวไว้ได้ จึงตกลงมาเป็นฝน
แต่ในพื้นที่ฝนตกได้ยาก เช่น ทะเลทราย หรือเมืองใหญ่ เนื่องเพราะ...
(1) คลื่นความร้อน (อินฟราเรด) ที่มาจากดวงอาทิตย์ลงมาที่พื้นโลก แล้วสะท้อนกลับขึ้นไปแหวกเมฆออกไปที่อื่น
(2) อุณหภูมิสูงนี้ ทำให้เมฆไม่ยอมควบแน่น (จากไอน้ำเป็นของเหลว) สักที
ต้นไม้สามารถดูดคลื่นอินฟราเรด (คลื่นหรือรังสีความร้อน) ได้ดีพอสมควร (ดีกว่าหิน ทราย ตึก) จึงทำให้ไม่มีคลื่นความร้อนไปกระทบต่อเมฆ ดังนั้น ที่มีต้นไม้มาก เช่น ป่า หรือตามชนบทที่มีป่า ฝนจะตกได้ดีแม้เมฆไม่หนา ฝนก็ตกได้
ป่าในความเป็นจริง ป่าไม่ต้องไปปลูกก็สามารถขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ ขอเพียงแต่คนอย่าเอาพื้นที่เพาะปลูกกับพื้นที่เมืองรุกเข้าไปในป่าก็พอ เพราะสิ่งที่ทำกันทุกวันนี้ก็คือ การทำร้ายทำลายป่า
ป่าเกิดจากลักษณะภูมิอากาศกับลักษณะภูมิประเทศประกอบกัน อย่างบริเวณที่เป็นประเทศไทยอยู่ในภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่เอื้อต่อการดำรงซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของป่าอยู่แล้ว ปัจจัยตามธรรมชาติจะทำให้ป่าพึ่งตัวเองได้ภายใน 5 ปี 10 ปี โดยไม่ต้องมีโครงการปลูกป่าทุกปี เสียเงินงบประมาณทุกปี
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นห่วงเป็นใยในทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้ของไทย นับวันจะวิกฤตยิ่งขึ้น พระองค์ตรัสว่า... “ถ้าในหลวงเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ...พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า” และ...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสว่า... “ป่าคือต้นน้ำ...น้ำคือชีวิต”
ป่าและน้ำเป็นของคู่กัน มีป่าก็มีน้ำ ขาดป่าก็ขาดน้ำ พสกนิกรทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง รวมทั้งนายทุนใจบาปทำลายป่าจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้นลูกแล้วลูกเล่า ถ้าท่านยังมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านทั้งสอง จงหยุดพฤติกรรมทำลายป่า และจัดการลงโทษคนทำลายป่าอย่างเป็นวาระสำคัญของชาติ
ป่าไม้คือธรรมชาติที่บริสุทธิ์ อย่าเอาความไม่บริสุทธิ์ คือขยะความคิดเข้าไปในป่าเลย ปล่อยให้ป่าเขาอยู่ตามธรรมชาติ
การปลูกป่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องปลูกป่าด้วยใจรัก ถ้าปลูกด้วยเงินแล้ว ป่าเกิดยาก ผลประโยชน์เข้าตัวเองเกิดง่าย ตรงตามตำรา... “เลี้ยงช้าง กินขี้ช้าง” คือหาผลประโยชน์มิชอบจากงานที่ทำ
ภัยท่วมภัยแล้งที่เกิดขึ้นทุกปี เสียงบประมาณมหาศาลทุกปี ก็แก้ไม่ได้สักที ปัญหากลับทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เหตุแห่งปัญหา ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไร มันอยู่ตรงที่... “อยากกินขี้ช้าง” หรือเปล่า? โอ...โง่ กลัวโลภ...อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว
ทุกข์แห่งแผ่นดิน
ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ กิจจริง 4 อย่างนี้ เข้าใจและทำกันหรือเปล่า ถ้ายังไม่เข้าใจและยังไม่ทำ ก็น่าเสียดายที่เกิดมาเสียชาติเกิด เกิดมาในยุคกัปกัลป์ของพระพุทธเจ้าแท้ๆ แต่ไม่รู้ไม่เห็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้-อย่างนี้ ยังจะคุยโตโม้บ้า ข้าเก่ง ข้าฉลาดอยู่อีกหรือ ไม่อายคนต่างชาติต่างศาสนาที่เขารู้พุทธจริง ถึงพุทธจริงดอกหรือ?
ชาวนาเห็นข้าวกล้าในนาแห้งตาย นั่นแหละคือตัวทุกข์ เห็นต้นข้าวกำลังตั้งท้อง กำลังจะกลายเป็นทุ่งรวงทอง แล้วเกิดน้ำท่วมฉับพลัน ข้าวเสียหายละลายไปกับน้ำ นี่คือตัวทุกข์ตัวปัญหา
กรณีแล้งเพราะฝนไม่ตก ฝนไม่ตกเพราะทำลายป่าไม้ นี่คือเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) จัดการคนทำลายป่าให้สิ้นซาก ในกรอบมรรคแปดหรือศีลสมาธิปัญญา นี่คือวิธีการแก้ทุกข์แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ (มรรค) เมื่อมีต้นไม้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ชาวนาได้ทำนาเต็มที่ ได้ข้าว ได้เงิน อยู่ดีกินดี นี่คือปัญหาหมด ทุกข์หมด (นิโรธ) กรณีน้ำท่วมก็ทำนองเดียวกัน เมื่อมีป่ามีต้นไม้ พอฝนตกการไหลของน้ำก็ช้าลง ชาวนามีบ่อมีสระเป็นของตน รัฐขุดสระขนาดใหญ่ทุกหมู่บ้าน เป็นที่รองรับน้ำเวลาฝนตก ขุดลอกคูคลองให้กว้างให้ลึก ห้ามสร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำโดยเด็ดขาด น้ำก็จะไหลได้สะดวกลงสู่แม่น้ำ ทะเลอย่างนี้ก็จะแก้ปัญหาน้ำท่วมได้
การที่รัฐบาลแจกเงินให้ชาวนาไร่ละพันบาท เมื่อฝนแล้งและน้ำท่วมนั้น ดูเผินๆ ก็ดีอยู่ แต่คนที่ได้เงินจริงๆ คือนายทุนเจ้าของนา ชาวนาสมัยนี้เช่านาเขาทำทั้งนั้น ก็อาจมีนาอยู่บ้างไม่เกินสิบไร่ นี่คือฝีมือของใครที่ปล่อยให้เขาโง่อยู่ตามยถากรรม
ชาวนาคือคนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน เมื่อทุกข์ตกอยู่ที่ตัวเขา นั่นคือทุกข์แห่งแผ่นดิน
ท่านผู้รู้ผู้ฉลาดทั้งหลาย เมื่อเกิดปัญหาก็พากันแก้ปัญหา พอปัญหาหมดก็จบกัน เมื่อปัญหาเกิดใหม่ก็ค่อยว่ากันใหม่
แต่คนอัจฉริยะ ท่านจะป้องกันปัญหา คิด-ทำเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาแก้ปัญหาซ้ำซาก ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุด ได้ผลที่ชัดที่สุดคือ... “เศรษฐกิจพอเพียง” หรือ “ศาสตร์พระราชา” ไงล่ะ แปลกนะ...ที่พวกเราไม่ค่อยสนใจกัน คงจะรอให้ฝรั่งนำเข้าเสียก่อนมั้ง จึงจะตามก้นเขาต้อยๆ
มักง่ายเล่นลิ้น
“มักง่าย” คือเอาสะดวกเข้าว่า อย่างขุดสระ แทนที่จะเอาดินไปทิ้งที่อื่น ก็ทิ้งตรงขอบสระนั่นแหละ ทำให้ขอบสระกว้างขึ้น และตัวสระแคบลง เมื่อฝนตก ดินก็ไหลลงสระ ขอบสระก็พัง ปีต่อไปได้งบขุดลอกอีก มีงานเข้าตลอด ได้กินขี้ช้างตลอด นี่คือตัวอย่างของความมักง่าย
“เล่นลิ้น” คือพูดจาด้วยสำนวนโวหาร ไม่ตรงไปตรงมา คนตรงไปตรงมา เขาจะไม่อ้อมค้อม เขาจะไม่เล่นเล่ห์เพทุบาย ผิดก็ว่าผิด ถูกก็ว่าถูก ดีก็ว่าดี ชั่วก็ว่าชั่ว
อยากดูคนพูดเล่นลิ้น ต้องไปที่นักการเมือง เขาสามารถพูดผิดให้เป็นถูก หรือถูกเป็นผิดได้ พูดจนคนฟังเคลิ้มได้ เชื่อได้ ถ้ารู้ไม่ทัน
ให้สัมภาษณ์วันนี้ต่อหน้าสื่อ หนังสือพิมพ์ลง ทีวีออกทุกช่อง พอรุ่งขึ้นอีกวัน เขาบอกว่า ไม่ได้พูดอย่างนั้น สื่อเขียนเอง ลงเอง เป็นงั้นไป
คนประเภทมักง่ายและเล่นลิ้น มักเป็นกลุ่มเดียวกัน หรือเป็นคนเดียวกัน ที่ชอบเลี้ยงไข้ ก่อปัญหา ยื้อเวลาไปเรื่อยๆ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ช่างมัน ฉันไม่แคร์
มิสิ้นปัญหา
ปัญหาจะหมดไปได้อย่างไร ในเมื่อเขายื้อเวลา ซื้อเวลา เพื่อปัญหา สร้างปัญหาต่อไป คนมักง่ายเล่นลิ้น คงเห็นความทุกข์ไม่ใช่ความทุกข์ เห็นปัญหาไม่ใช่ปัญหา อาจจะเห็นเป็นงานเข้าด้วยซ้ำไป (ถ้าไม่มีปัญหา แล้วกรูจะไปแก้อะไร)
พอถึงวาระที่จะแก้ปัญหาจริงๆ ก็แก้กันง่ายๆ ตรงปลายเหตุนั่นแหละ ภัยแล้งจ่ายเงิน-จบ ภัยท่วมจ่ายเงิน-จบ ปลูกป่าให้งบไปซื้อต้นกล้า รณรงค์โฆษณาขึ้นป้าย-จบ ปลูกแล้วไม่ดูแลรักษาก็ตายไป ปีหน้าให้งบใหม่ปลูกอีก-จบ ฯลฯ
ปัญหาจบที่ปลายเหตุ ไม่ได้จบจริงที่ต้นเหตุ จึงมีปัญหาให้ได้แก้ตลอดไป
ปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศชาติ คือความไม่รู้จริง หรือความโง่ของประชาชน จุดอ่อนตรงนี้แทนที่จะแก้ไข กลับส่งเสริมด้วยซ้ำไป เพราะมันปกครองง่าย เชื่อง่าย คอร์รัปชันง่าย
“ภัยท่วมภัยแล้ง
ทุกข์แห่งแผ่นดิน
มักง่ายเล่นลิ้น
มิสิ้นปัญหา”
เกิดเป็นคนต้องมีคุณค่า แต่คุณค่าก็มีสองอย่างให้เลือกคือ... “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน” กับ “ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร”
ไม่ต้องบอกว่า...ฉันเลือกอย่างไหน แต่พฤติกรรมหรือการกระทำของคุณมันบอกเอง มันเป็นหลักฐานชัดแจ้ง เหนือใบเสร็จใดๆ
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ อภิมหาอัจฉริยะแห่งโลก กล่าวว่า... “คุณค่าอันแท้จริงของการเป็นมนุษย์ สามารถพบได้ตามระดับที่เขาสามารถหลุดพ้นจากตัวตน”
กระจกสาธารณะบานนี้ ส่องได้ทุกสิ่ง รู้จริงทุกอย่าง เพียงอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ แล้วลุง!