เมื่อเวลา 15.00 น. วานนี้ (27 ก.ค.) ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) สนามเป้า ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เป็นประธาน นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมาชิก คสช. ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการสังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ร่วมบันทึกเทป กล่าวอาเศียรวาท เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม 2558 อย่างพร้องเพรียง ขาดแต่เพียง พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ที่ติดภารกิจประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยและเมียนมาร์ ครั้งที่ 8 ระหว่าง วันที่ 27-29 ก.ค. ที่ จ.เชียงใหม่ ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ยังมีอาการบาดเจ็บจากการล้ม ทั้งบริเวณแขน และขา
ทั้งนี้ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้มาร่วมบันทึกเทป อาเศียรวาทฯ ในครั้งนี้ เพราะยังเข้าเฝือกอ่อนอยู่ และยังยืนทรงตัวไม่ถนัด ซึ่งในส่วนของกระทรวงกลาโหมได้มอบหมายให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้นำกล่าวอาเศียรวาทแทน
** “พระสุเทพ”สึก เตรียมแถลง30ก.ค.
เมื่อเวลา 12.30 น.วานนี้ (27ก.ค.) ที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี พระสุเทพ ปภากโร แกนนำ กปปส. กล่าวว่า จากที่ได้บวชมาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 57 มาจนถึงวันนี้ รวมเป็นระยะเวลา 1 ปี 12 วัน รับกิจนิมนต์ไปได้ครบทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ การลาสิกขาบท ในวันที่ 28 ก.ค. 58 จะมีขึ้นในเวลาประมาณ 06.00 น. ที่วัดไตรธรรมรราม อ.เมืองฯ จ.สุราษฏร์ธานี ที่โดยมีพระธรรมวิมลโมฬี เจ้าคณะภาค 16 เป็นเจ้าอาวาส วัดและเป็นพระอุปัชฌาย์ในการบวช เป็นทำผู้พิธีในการลาสิกขาบท โดยหลังจากที่ลาสิกลาบทแล้ว ก็จะอยู่ทำบุญตักบาตร เลี้ยงพระ เป็นเวลา 3 วัน ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก่อน จากนั้นในวันที่ 30 ก.ค. จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเปิดแถลงข่าว ร่วมกับกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ถึงอนาคตว่าจะทำอะไรบ้าง ในเวลาประมาณ 11.00 น. ที่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนลตัล ย่านราชประสงค์ ดังนั้น ในวันนี้ (28 ก.ค.) จึงยังคงไม่สามารถตอบข้อซักถามอะไรมาก และหากใครต้องการที่จะซักถาม ให้ไปถามได้ในวันแถลงข่าวดังกล่าว
เมื่อถามว่า มูลนิธิฯ จะเป็นส่วนหนึ่งของสภาขับเคลื่อนฯ ได้หรือไม่ พระสุเทพ กล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งของภาคประชาชน แต่แนวทางของมูลนิธิฯ จะเน้นผลักดันในเรื่องการปฏิรูปประเทศ ส่วนทางราชการจะทำอย่างไร ก็แล้วแต่ อะไรที่เราสนับสนุนได้ ก็สนับสนุน เมื่อถามต่อว่า หากมีการเชิญคนของมูลนิธิฯ เข้าไปเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อน พระสุเทพ กล่าวว่า นอกจากตัวเราแล้ว คงไม่เอา แต่หากสมาชิกของมูลนิธิฯ ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ยินดีทั้งนั้น ยกเว้นตัวเรา เพราะประกาศไว้ว่า หลังการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว เราคงไม่ไปรับตำแหน่งใดๆ และเรื่องของมูลนิธิฯ จะไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนแกนนำในมูลนิธิฯ ที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ใครจะไปไหน ก็เป็นสิทธิของแต่ละคน กับสภาขับเคลื่อนฯเอง ทางมูลนิธิฯไม่เคยต่อรองว่าจะต้องมีคนของมูลนิธิฯ เข้าไปอยู่ และไม่เคยคิด
พระสุเทพ ยัง กล่าวถึงการปรับ ครม. ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า การจะปรับ ครม.ในเวลานี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาปกติ ในทางพระมองว่า เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนไปได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ยึดติดไม่ได้ ส่วนที่จะไม่มีอดีตนักการเมืองเข้าร่วมใน ครม.ชุดใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก
" อาตมาถึงได้เชียร์นายกฯ ประยุทธ์ มาตลอด เพราะท่านทำอะไรดีๆ มาตลอด ท่านตัดสินใจถูกต้อง ปรับครม.ไม่ต้องเอานักการเมืองเข้าไป ถ้ามันเก่งแล้วท่านต้องมายึดอำนาจต้องมาปฏิวัติ ทำไม นักการเมืองมันพาบ้านเมืองไปไม่ได้ เกิดความวุ่นวาย เสียหาย เมื่อมายึดอำนาจแล้ว ท่านจะต้องใช้อำนาจพิเศษให้เต็มที่ เพราะอำนาจที่มีตามปกติที่นักการเมืองเคยใช้มันใช้ไม่ได้ วันนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ รัฐบาลต้องใช้อำนาจพิเศษ มาตรการพิเศษ การที่จะปรับ ครม. ทำได้ เมื่อตัดใจไม่เอานักการเมืองต้องขอชื่นชม สาธุ เลยว่าคิดถูกแล้ว ไม่ใช่เวลาของนักการเมือง" พระสุเทพ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในงานหนึ่งว่า ทุกฝ่ายควรหยุดทะเลาะกัน แล้วมองไปข้างหน้านั้น พระสุเทพ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว เพราะถ้ามัวทะเลาะกัน แล้วประเทศจะเดินหน้าได้อย่างไร มันก็ต้องหยุดกันได้แล้ว
** บวชเพื่อปฏิบัติธรรมถวายในหลวง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 07.00 น.วานนี้ ที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฏร์ธานี พระสุเทพ ปภากโร แกนนำ กปปส. ได้จัดโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่ เพื่อปฏิบัติธรรมถวายในหลวง รุ่นที่ 9 รุ่นสุดท้ายก่อนเข้าพรรษา โดยในโครงการนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการ รวม 47 คน
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ บรรดาแกนนำพรรค อาทิ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ นางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ นายเอกนัฐ พร้อมพันธุ์ หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ( แม่ตั๊น จิตต์ภัทร ) และแกนนำ กปปส. มาร่วมโครงการ เป็นจำนวนมาก อาทิ นายถาวร เสนเนียม นายวิทยา แก้วภราดัย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายอิสระ สมชัย นายชุมพล จุลใส นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นางสุพัชรี ธรรมเพชร นางโสภา กาญจน น.ส.บุณย์ธิดา อิสระ ซึ่งมีทั้งผู้ที่เข้าร่วมโครงการบรรพชาในโรงการนี้ด้วย โดยนายอภิสิทธิ์ ได้รับหน้าที่เป็นประธานฝ่าย
ฆราวาส ในการบรรพชาในโครงการนี้ โดยตั้งแต่เริ่มโครงการที่ 1 เมื่อเดือนต.ค. 57 มาจนถึงรุ่นที่ 9 ในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการรวม 688 คน จาก 58 จังหวัด มีพระจำนวน 90 รูป ที่ไม่ลาสิกขาบท และอยู่จำพรรษาที่วัดสวนโมกข์ 82 รูป
แกนนำกปปส. ส่วนใหญ่ที่มาร่วมในงานครั้งนี้ หลายคน จะอยู่ร่วมในพิธีลาสิกขาบท ของพระสุเทพ ที่จะมีขึ้นในเช้าวันนี้ (28 ก.ค.)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวถึง การลาสิกขาบท ของพระสุเทพ ที่บอกไว้ว่าจะวางมือทางการเมืองว่า เท่าที่ทราบมา ตนเองก็ไม่ได้บอกว่าจะวางมือทางการเมือง บอกแต่ว่า จะไม่กลับเข้ามาสู่การเมืองในฐานะนักการเมืองในระบบพรรค แต่การเมืองภาคประชาชน ตนเข้าใจว่าท่านก็ยังคงจะดำเนินการอยู่ อย่างที่เคยเป็นผู้นำมวลชน ที่เรียกร้องการปฏิรูป ที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ไปสู่เป้าหมายนั้น เพราะฉะนั้น การขับเคลื่อนเรื่องการปฏิรูป คงเป็นบทบาทของท่าน ต่อไปเพียงคงไม่มาทำในฐานะนักการเมืองในสภา หรือในพรรคการเมือง เข้าใจว่าจะเป็นงานในโครงการเศรษฐกิจพอเพียงมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลาสิขาบทของพระสุเทพ และแกนนำ กปปส. จะทำให้การเมืองในช่วงนี้ร้อนแรงขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าตนไม่เชื่อว่า ตัวท่าน หรือในกลุ่มของกปปส. มีเจตนาที่จะไปทำให้การเมืองร้อนขึ้น คิดว่าท่านเองก็มีหน้าที่ ที่จะต้องช่วยผลักดันการปฏิรูปต่อไป ที่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ท่านและแกนนำ เป็นเสมือนตัวแทนของการปฏิรูปของคนจำนวนมหาศาล มาถึงวันนี้ จะทิ้งภารกิจที่ได้ทำมาคงไม่ได้ ขณะเดียวกันทาง กปปส. เองก็แสดงท่าทีไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาให้ผู้ที่มีอำนาจในขณะนี้ ส่วนจะมีการส่งตัวแทนของมูลนิธิฯ ไปอยู่ในสภาขับเคลื่อนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ สภาขับเคลื่อนฯ เป็นอำนาจของนายกฯ ที่จะเป็นผู้เสนอให้มีการแต่งตั้ง ไม่มีโควตาใครทั้งสิ้น
เมื่อถามถึงการปฎิรูปพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในเรื่องพรรคนั้นไม่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้ในเวลานี้ แต่ว่าพรรคต้องการที่จะปฏิรูปกระบวนการหลายอย่าง สิ่งหนึ่งที่เป็นแนวคิด ที่น่าจะตรงกันมากขึ้น คือเราอยากเห็นพรรคการเมืองที่มีประชาชนเป็นเจ้าของจริงๆ มีส่วนร่วมจริง ตรงนี้ถ้ามีกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ เราจะขยับเป็นรูปธรรมในเรื่องนี้
เมื่อถามย้ำ ดูเหมือนแนวคิคของทางพรรค จะคล้ายแนวคิดของพระสุเทพ ในเรื่องความต้องการให้มีพรรคการเมืองที่เป็นของประชาชน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราเห็นชัดอยู่แล้วว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นในอดีต เกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในอดีตถูกจำกัดแค่การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แล้วนำมากล่าวอ้าง แต่หากว่าเราสามารถทำให้พรรคการเมือง สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนตลอดเวลาได้ และกระบวนการบริหารในพรรคการเมืองไม่ได้เกิดขึ้นจากกลุ่มคนเล็กๆ แต่ให้ประชาชนผู้สนับสนุน หรือสมาชิกที่เป็นเจ้าของพรรคจริงๆ ก็เป็นหลักของประชาธิปไตย
ทั้งนี้ พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้มาร่วมบันทึกเทป อาเศียรวาทฯ ในครั้งนี้ เพราะยังเข้าเฝือกอ่อนอยู่ และยังยืนทรงตัวไม่ถนัด ซึ่งในส่วนของกระทรวงกลาโหมได้มอบหมายให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้นำกล่าวอาเศียรวาทแทน
** “พระสุเทพ”สึก เตรียมแถลง30ก.ค.
เมื่อเวลา 12.30 น.วานนี้ (27ก.ค.) ที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี พระสุเทพ ปภากโร แกนนำ กปปส. กล่าวว่า จากที่ได้บวชมาตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 57 มาจนถึงวันนี้ รวมเป็นระยะเวลา 1 ปี 12 วัน รับกิจนิมนต์ไปได้ครบทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ การลาสิกขาบท ในวันที่ 28 ก.ค. 58 จะมีขึ้นในเวลาประมาณ 06.00 น. ที่วัดไตรธรรมรราม อ.เมืองฯ จ.สุราษฏร์ธานี ที่โดยมีพระธรรมวิมลโมฬี เจ้าคณะภาค 16 เป็นเจ้าอาวาส วัดและเป็นพระอุปัชฌาย์ในการบวช เป็นทำผู้พิธีในการลาสิกขาบท โดยหลังจากที่ลาสิกลาบทแล้ว ก็จะอยู่ทำบุญตักบาตร เลี้ยงพระ เป็นเวลา 3 วัน ในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก่อน จากนั้นในวันที่ 30 ก.ค. จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเปิดแถลงข่าว ร่วมกับกรรมการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ถึงอนาคตว่าจะทำอะไรบ้าง ในเวลาประมาณ 11.00 น. ที่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนลตัล ย่านราชประสงค์ ดังนั้น ในวันนี้ (28 ก.ค.) จึงยังคงไม่สามารถตอบข้อซักถามอะไรมาก และหากใครต้องการที่จะซักถาม ให้ไปถามได้ในวันแถลงข่าวดังกล่าว
เมื่อถามว่า มูลนิธิฯ จะเป็นส่วนหนึ่งของสภาขับเคลื่อนฯ ได้หรือไม่ พระสุเทพ กล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งของภาคประชาชน แต่แนวทางของมูลนิธิฯ จะเน้นผลักดันในเรื่องการปฏิรูปประเทศ ส่วนทางราชการจะทำอย่างไร ก็แล้วแต่ อะไรที่เราสนับสนุนได้ ก็สนับสนุน เมื่อถามต่อว่า หากมีการเชิญคนของมูลนิธิฯ เข้าไปเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อน พระสุเทพ กล่าวว่า นอกจากตัวเราแล้ว คงไม่เอา แต่หากสมาชิกของมูลนิธิฯ ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ยินดีทั้งนั้น ยกเว้นตัวเรา เพราะประกาศไว้ว่า หลังการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว เราคงไม่ไปรับตำแหน่งใดๆ และเรื่องของมูลนิธิฯ จะไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนแกนนำในมูลนิธิฯ ที่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ใครจะไปไหน ก็เป็นสิทธิของแต่ละคน กับสภาขับเคลื่อนฯเอง ทางมูลนิธิฯไม่เคยต่อรองว่าจะต้องมีคนของมูลนิธิฯ เข้าไปอยู่ และไม่เคยคิด
พระสุเทพ ยัง กล่าวถึงการปรับ ครม. ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า การจะปรับ ครม.ในเวลานี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาปกติ ในทางพระมองว่า เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนไปได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ยึดติดไม่ได้ ส่วนที่จะไม่มีอดีตนักการเมืองเข้าร่วมใน ครม.ชุดใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก
" อาตมาถึงได้เชียร์นายกฯ ประยุทธ์ มาตลอด เพราะท่านทำอะไรดีๆ มาตลอด ท่านตัดสินใจถูกต้อง ปรับครม.ไม่ต้องเอานักการเมืองเข้าไป ถ้ามันเก่งแล้วท่านต้องมายึดอำนาจต้องมาปฏิวัติ ทำไม นักการเมืองมันพาบ้านเมืองไปไม่ได้ เกิดความวุ่นวาย เสียหาย เมื่อมายึดอำนาจแล้ว ท่านจะต้องใช้อำนาจพิเศษให้เต็มที่ เพราะอำนาจที่มีตามปกติที่นักการเมืองเคยใช้มันใช้ไม่ได้ วันนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ รัฐบาลต้องใช้อำนาจพิเศษ มาตรการพิเศษ การที่จะปรับ ครม. ทำได้ เมื่อตัดใจไม่เอานักการเมืองต้องขอชื่นชม สาธุ เลยว่าคิดถูกแล้ว ไม่ใช่เวลาของนักการเมือง" พระสุเทพ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในงานหนึ่งว่า ทุกฝ่ายควรหยุดทะเลาะกัน แล้วมองไปข้างหน้านั้น พระสุเทพ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว เพราะถ้ามัวทะเลาะกัน แล้วประเทศจะเดินหน้าได้อย่างไร มันก็ต้องหยุดกันได้แล้ว
** บวชเพื่อปฏิบัติธรรมถวายในหลวง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 07.00 น.วานนี้ ที่วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฏร์ธานี พระสุเทพ ปภากโร แกนนำ กปปส. ได้จัดโครงการบรรพชาอุปสมบทหมู่ เพื่อปฏิบัติธรรมถวายในหลวง รุ่นที่ 9 รุ่นสุดท้ายก่อนเข้าพรรษา โดยในโครงการนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการ รวม 47 คน
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ บรรดาแกนนำพรรค อาทิ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ นางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ นายเอกนัฐ พร้อมพันธุ์ หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ( แม่ตั๊น จิตต์ภัทร ) และแกนนำ กปปส. มาร่วมโครงการ เป็นจำนวนมาก อาทิ นายถาวร เสนเนียม นายวิทยา แก้วภราดัย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายอิสระ สมชัย นายชุมพล จุลใส นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นางสุพัชรี ธรรมเพชร นางโสภา กาญจน น.ส.บุณย์ธิดา อิสระ ซึ่งมีทั้งผู้ที่เข้าร่วมโครงการบรรพชาในโรงการนี้ด้วย โดยนายอภิสิทธิ์ ได้รับหน้าที่เป็นประธานฝ่าย
ฆราวาส ในการบรรพชาในโครงการนี้ โดยตั้งแต่เริ่มโครงการที่ 1 เมื่อเดือนต.ค. 57 มาจนถึงรุ่นที่ 9 ในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการรวม 688 คน จาก 58 จังหวัด มีพระจำนวน 90 รูป ที่ไม่ลาสิกขาบท และอยู่จำพรรษาที่วัดสวนโมกข์ 82 รูป
แกนนำกปปส. ส่วนใหญ่ที่มาร่วมในงานครั้งนี้ หลายคน จะอยู่ร่วมในพิธีลาสิกขาบท ของพระสุเทพ ที่จะมีขึ้นในเช้าวันนี้ (28 ก.ค.)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวถึง การลาสิกขาบท ของพระสุเทพ ที่บอกไว้ว่าจะวางมือทางการเมืองว่า เท่าที่ทราบมา ตนเองก็ไม่ได้บอกว่าจะวางมือทางการเมือง บอกแต่ว่า จะไม่กลับเข้ามาสู่การเมืองในฐานะนักการเมืองในระบบพรรค แต่การเมืองภาคประชาชน ตนเข้าใจว่าท่านก็ยังคงจะดำเนินการอยู่ อย่างที่เคยเป็นผู้นำมวลชน ที่เรียกร้องการปฏิรูป ที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ไปสู่เป้าหมายนั้น เพราะฉะนั้น การขับเคลื่อนเรื่องการปฏิรูป คงเป็นบทบาทของท่าน ต่อไปเพียงคงไม่มาทำในฐานะนักการเมืองในสภา หรือในพรรคการเมือง เข้าใจว่าจะเป็นงานในโครงการเศรษฐกิจพอเพียงมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า การลาสิขาบทของพระสุเทพ และแกนนำ กปปส. จะทำให้การเมืองในช่วงนี้ร้อนแรงขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าตนไม่เชื่อว่า ตัวท่าน หรือในกลุ่มของกปปส. มีเจตนาที่จะไปทำให้การเมืองร้อนขึ้น คิดว่าท่านเองก็มีหน้าที่ ที่จะต้องช่วยผลักดันการปฏิรูปต่อไป ที่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ท่านและแกนนำ เป็นเสมือนตัวแทนของการปฏิรูปของคนจำนวนมหาศาล มาถึงวันนี้ จะทิ้งภารกิจที่ได้ทำมาคงไม่ได้ ขณะเดียวกันทาง กปปส. เองก็แสดงท่าทีไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาให้ผู้ที่มีอำนาจในขณะนี้ ส่วนจะมีการส่งตัวแทนของมูลนิธิฯ ไปอยู่ในสภาขับเคลื่อนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ สภาขับเคลื่อนฯ เป็นอำนาจของนายกฯ ที่จะเป็นผู้เสนอให้มีการแต่งตั้ง ไม่มีโควตาใครทั้งสิ้น
เมื่อถามถึงการปฎิรูปพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในเรื่องพรรคนั้นไม่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้ในเวลานี้ แต่ว่าพรรคต้องการที่จะปฏิรูปกระบวนการหลายอย่าง สิ่งหนึ่งที่เป็นแนวคิด ที่น่าจะตรงกันมากขึ้น คือเราอยากเห็นพรรคการเมืองที่มีประชาชนเป็นเจ้าของจริงๆ มีส่วนร่วมจริง ตรงนี้ถ้ามีกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ เราจะขยับเป็นรูปธรรมในเรื่องนี้
เมื่อถามย้ำ ดูเหมือนแนวคิคของทางพรรค จะคล้ายแนวคิดของพระสุเทพ ในเรื่องความต้องการให้มีพรรคการเมืองที่เป็นของประชาชน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราเห็นชัดอยู่แล้วว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นในอดีต เกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในอดีตถูกจำกัดแค่การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แล้วนำมากล่าวอ้าง แต่หากว่าเราสามารถทำให้พรรคการเมือง สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนตลอดเวลาได้ และกระบวนการบริหารในพรรคการเมืองไม่ได้เกิดขึ้นจากกลุ่มคนเล็กๆ แต่ให้ประชาชนผู้สนับสนุน หรือสมาชิกที่เป็นเจ้าของพรรคจริงๆ ก็เป็นหลักของประชาธิปไตย