ASTVผู้จัดการรายวัน - บีทีเอส - แสนสิริประกาศแผนร่วมทุนระยะ 5 ปี ทุ่มเกือบ 70,000 ล้านบาท ผุดคอนโดฯ 25 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 1 แสนล้านบาท ปี 58 เปิดอีก 5 โครงการมูลค่า 20,000 ล้านบาท หลังเดอะ ไลน์ จตุจักร มูลค่า 5,700 ล้านบาท ประสบความสำเร็จปิดการขายภายในวันเดียว ด้านบีทีเอสเผยเตรียมลงทุนอาคารสำนักงาน 2 แห่ง โรงแรมอีก 1 แห่งย่านกลางเมืองมูลค่าเกือบ 15,000 ล้านบาท ขณะที่แสนสิริรับปีนี้ชะลอลงทุนคอนโดฯ เผยยอดขายครึ่งปี 1.55 หมื่นล้าน
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประกาศความร่วมมือกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ในระยะยาวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ มีแผนร่วมมือกันเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน ภายใต้บริษัทร่วมทุน โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างกลุ่มบริษัทบีทีเอส และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 50 : 50 จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1 แสนล้านบาท โดยปีนี้เปิดคอนโดมิเนียม 6 โครงการมูลค่า 25,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 1 โครงการมูลค่า 5,700 ล้านบาท
“หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คือปีนี้เปิดขายครบ 6 โครงการ หรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 25,000 ล้านบาท ก็จะให้บริษัทฯ รับรู้กำไรตามสัดส่วนการลงทุนในบริษัทร่วมทุนกับแสนสิริเข้ามาในปี 2561 ประมาณ 1,000 ล้านบาท” นายคีรี กล่าว
นอกจากการร่วมทุนกลับแสนสิริเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว บีทีเอสยังมีแผนลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า หรือสร้างรายได้ระยะยาว อาทิ อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม เป็นต้น โดยปีนี้จะพัฒนา 2 โครงการ ได้แก่ ทำเลพญาไท เนื้อที่ 5 ไร่พัฒนาเป็นโรงแรมและอาคารสำนักงาน มูลค่าโครงการราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการร่วมมือทางธุรกิจ หลังจากที่บีทีเอสเข้าไปถือหุ้นใน บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) (U) หรือเอ็น-พาร์คเดิมในสัดส่วน 35% และโครงการสำนักงานอีก 1 แห่ง ย่านจตุจักรติดกับโครงการเดอะ ไลน์ จตุจักร บีทีเอสจะพัฒนาเอง บนเนื้อที่ 11 ไร่มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท โดยบางส่วนจะใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของบีทีเอส กรุ๊ป ที่เหลือปล่อยเช่า
“ทั้งสองโครงการจะช่วยเพิ่มรายได้ระยะยาวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งจะสร้างรายได้เข้ามาต่อเนื่อง และสม่ำเสมอให้กับบีทีเอสในอนาคต โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ในครึ่งหลังปีนี้ นอกจากนี้บีทีเอสยังมีแผนพัฒนาโรงแรมและสำนักงานอย่างต่อเนื่อง” นายคีรีกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำที่ดินที่เหลืออยู่ 400 ไร่ ในโครงการ ธนาซิตี้ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ ถ.บานา-ตราด กม.14 มาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ใช้ระยะเวลาในการพัฒนา 4 ปี อยู่ระหว่างการจัดแผน คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้ ปัจจุบันบีทีเอส ยังมีที่ดินที่รอการพัฒนาอีกกว่า 1,800 ไร่ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบีทีเอสในงวดปี 58/59 (เม.ย.58-มี.ค.59) คาดว่าจะดีกว่างวดเดียวกันปีก่อนที่บริษัทฯ มีรายได้รวม 23,000 ล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่มาจากการให้บริการขนส่งมวลชน ซึ่งงวดปีนี้คาดว่ารายได้จากสายธุรกิจขนส่งมวลชน จะโตประมาณ 6-8% โดยในรายได้ก้อนดังกล่าวนี้ เป็นการเติบโตของรายได้ให้บริการเดินรถ 2% และยอดผู้โดยสารที่คาดว่าจะโต 4-6% จากงวดเดียวกันปีก่อน
นายคีรี กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ค่อนข้างฝืด จึงหวังว่ารัฐบาลจะมีโครงการใหม่ๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน เช่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งในส่วนของบีทีเอสได้เสนอแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางไปยังรัฐบาลเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา โดยเส้นทางที่บริษัทสนใจลงทุนคือ เส้นทางขอนแก่น-แหลมฉบัง ระยะทาง 500 กิโลเมตร เป็นรถไฟทางคู่ มูลค่าลงทุนประมาณ 120,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล ว่าจะให้ BTS เข้ามา
***แสนสิริชะลอลงทุนคอนโดฯ
ด้านนายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ที่ผ่านมาแสนสิริได้รับการยอมรับด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี โดยลูกค้ากว่า 90-99% เป็นชาวไทย แต่การร่วมทุนกับบีทีเอส สะท้อนให้เห็นศักยภาพในการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทสามารถปิดการขาย โครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร - หมอชิตได้ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย- ฮ่องกง - สิงคโปร์ โดยมีลูกค้าต่างชาติทั้งในฮ่องกงและจีนให้ความสนใจโครงการและเข้าร่วมงานโรดโชว์จำนวนมากมียอดขายสูงถึง 200 ยูนิต และมีสัดส่วนยอดขายชาวต่างชาติถึง 40% โดยเฉพาะที่ฮ่องกงซึ่งคุณคีรีนับเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวฮ่องกงเป็นอย่างดี จนส่งผลให้สามารถสร้างยอดขายโครงการจากลูกค้าต่างชาติได้จำนวนมากและปิดการขายได้ภายในวันเดียว
ทั้งนี้ จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้งฯ มีแผนพัฒนาโครงการเดอะไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้มีแผนลงทุนพัฒนาคอนโดฯเพิ่มอีก 5 โครงการมูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นแบรดน์เดอะไลน์ 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71, เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค, เดอะ ไลน์ เพชรบุรี 18 และอีกหนึ่งคอนโดมิเนียมกลางเมือง
สำหรับการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริ ปีนี้มีการเปิดตัวเพียงโครงการเดียว คือ โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า มูลค่า 1.5 ล้านบาท ปิดการขายแล้ว เนื่องจากรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งภาวะเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเปิดโครงการใหม่แต่เหมาะสำหรับการซื้อที่ดินเข้ามาเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต ซึ่งบริษัทพร้อมที่จะขยายการลงทุนได้ตลอดเวลา แต่ต้องให้สถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาดอสังหาฯฟื้นตัว ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขาย 15,500 ล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้ 5,700 ล้านบาทเป็นยอดขายของบริษัทร่วมทุน จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 33,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีสต็อกบ้านเหลือขายพร้อมอยู่ มูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท สามารถสร้างยอดขายและรับรู้รายได้ในปีนี้
นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประกาศความร่วมมือกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ในระยะยาวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ มีแผนร่วมมือกันเปิดโครงการคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน ภายใต้บริษัทร่วมทุน โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างกลุ่มบริษัทบีทีเอส และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 50 : 50 จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 25 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1 แสนล้านบาท โดยปีนี้เปิดคอนโดมิเนียม 6 โครงการมูลค่า 25,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกเปิดไปแล้ว 1 โครงการมูลค่า 5,700 ล้านบาท
“หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คือปีนี้เปิดขายครบ 6 โครงการ หรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 25,000 ล้านบาท ก็จะให้บริษัทฯ รับรู้กำไรตามสัดส่วนการลงทุนในบริษัทร่วมทุนกับแสนสิริเข้ามาในปี 2561 ประมาณ 1,000 ล้านบาท” นายคีรี กล่าว
นอกจากการร่วมทุนกลับแสนสิริเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว บีทีเอสยังมีแผนลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า หรือสร้างรายได้ระยะยาว อาทิ อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม เป็นต้น โดยปีนี้จะพัฒนา 2 โครงการ ได้แก่ ทำเลพญาไท เนื้อที่ 5 ไร่พัฒนาเป็นโรงแรมและอาคารสำนักงาน มูลค่าโครงการราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการร่วมมือทางธุรกิจ หลังจากที่บีทีเอสเข้าไปถือหุ้นใน บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) (U) หรือเอ็น-พาร์คเดิมในสัดส่วน 35% และโครงการสำนักงานอีก 1 แห่ง ย่านจตุจักรติดกับโครงการเดอะ ไลน์ จตุจักร บีทีเอสจะพัฒนาเอง บนเนื้อที่ 11 ไร่มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท โดยบางส่วนจะใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของบีทีเอส กรุ๊ป ที่เหลือปล่อยเช่า
“ทั้งสองโครงการจะช่วยเพิ่มรายได้ระยะยาวจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งจะสร้างรายได้เข้ามาต่อเนื่อง และสม่ำเสมอให้กับบีทีเอสในอนาคต โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ในครึ่งหลังปีนี้ นอกจากนี้บีทีเอสยังมีแผนพัฒนาโรงแรมและสำนักงานอย่างต่อเนื่อง” นายคีรีกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำที่ดินที่เหลืออยู่ 400 ไร่ ในโครงการ ธนาซิตี้ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ ถ.บานา-ตราด กม.14 มาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ใช้ระยะเวลาในการพัฒนา 4 ปี อยู่ระหว่างการจัดแผน คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้ ปัจจุบันบีทีเอส ยังมีที่ดินที่รอการพัฒนาอีกกว่า 1,800 ไร่ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบีทีเอสในงวดปี 58/59 (เม.ย.58-มี.ค.59) คาดว่าจะดีกว่างวดเดียวกันปีก่อนที่บริษัทฯ มีรายได้รวม 23,000 ล้านบาท รายได้ส่วนใหญ่มาจากการให้บริการขนส่งมวลชน ซึ่งงวดปีนี้คาดว่ารายได้จากสายธุรกิจขนส่งมวลชน จะโตประมาณ 6-8% โดยในรายได้ก้อนดังกล่าวนี้ เป็นการเติบโตของรายได้ให้บริการเดินรถ 2% และยอดผู้โดยสารที่คาดว่าจะโต 4-6% จากงวดเดียวกันปีก่อน
นายคีรี กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ค่อนข้างฝืด จึงหวังว่ารัฐบาลจะมีโครงการใหม่ๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นบรรยากาศการลงทุน เช่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งในส่วนของบีทีเอสได้เสนอแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางไปยังรัฐบาลเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา โดยเส้นทางที่บริษัทสนใจลงทุนคือ เส้นทางขอนแก่น-แหลมฉบัง ระยะทาง 500 กิโลเมตร เป็นรถไฟทางคู่ มูลค่าลงทุนประมาณ 120,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล ว่าจะให้ BTS เข้ามา
***แสนสิริชะลอลงทุนคอนโดฯ
ด้านนายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI กล่าวว่า ที่ผ่านมาแสนสิริได้รับการยอมรับด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี โดยลูกค้ากว่า 90-99% เป็นชาวไทย แต่การร่วมทุนกับบีทีเอส สะท้อนให้เห็นศักยภาพในการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทสามารถปิดการขาย โครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร - หมอชิตได้ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย- ฮ่องกง - สิงคโปร์ โดยมีลูกค้าต่างชาติทั้งในฮ่องกงและจีนให้ความสนใจโครงการและเข้าร่วมงานโรดโชว์จำนวนมากมียอดขายสูงถึง 200 ยูนิต และมีสัดส่วนยอดขายชาวต่างชาติถึง 40% โดยเฉพาะที่ฮ่องกงซึ่งคุณคีรีนับเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวฮ่องกงเป็นอย่างดี จนส่งผลให้สามารถสร้างยอดขายโครงการจากลูกค้าต่างชาติได้จำนวนมากและปิดการขายได้ภายในวันเดียว
ทั้งนี้ จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้งฯ มีแผนพัฒนาโครงการเดอะไลน์อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้มีแผนลงทุนพัฒนาคอนโดฯเพิ่มอีก 5 โครงการมูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นแบรดน์เดอะไลน์ 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71, เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค, เดอะ ไลน์ เพชรบุรี 18 และอีกหนึ่งคอนโดมิเนียมกลางเมือง
สำหรับการเปิดโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริ ปีนี้มีการเปิดตัวเพียงโครงการเดียว คือ โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า มูลค่า 1.5 ล้านบาท ปิดการขายแล้ว เนื่องจากรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งภาวะเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเปิดโครงการใหม่แต่เหมาะสำหรับการซื้อที่ดินเข้ามาเพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต ซึ่งบริษัทพร้อมที่จะขยายการลงทุนได้ตลอดเวลา แต่ต้องให้สถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาดอสังหาฯฟื้นตัว ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขาย 15,500 ล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้ 5,700 ล้านบาทเป็นยอดขายของบริษัทร่วมทุน จากเป้าหมายยอดขายทั้งปี 33,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีสต็อกบ้านเหลือขายพร้อมอยู่ มูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท สามารถสร้างยอดขายและรับรู้รายได้ในปีนี้