xs
xsm
sm
md
lg

แนะสร้างเขื่อนผันน้ำสาละวิน ดึงจีน-พม่าร่วมทุนแก้ภัยแล้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย และ อดีตประธานคณะกรรมการผันน้ำลงทะเลฯ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กล่าวถึงแผนบริหารจัดการน้ำในระยะยาวของรัฐบาล ที่มีการเสนอให้ผันน้ำจากแม่น้ำสาละวิน เข้าสู่เขื่อนภูมิพล ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด และสามารถนำน้ำที่ไหลผ่านรอยต่อ พม่า-ไทย ไปลงทะเลมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล แต่ต้องมีการกำหนดแนวทางดำเนินการอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพราะในความเป็นจริงเรื่องการนำน้ำจากแม่น้ำสาละวินเข้ามาใช้ประโยชน์นั้น มีการเสนอ และพูดถึงตั้งแต่เมื่อช่วงปี 47 และเป็น มติครม.ไปแล้วเมื่อปี 48 ทั้งในแง่การป้องกันน้ำท่วม แก้ปัญหาน้ำแล้ง และผลิตไฟฟ้า คือโครงการเขื่อนท่าซาง ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่ง ครม.ได้รับหลักการในเบื้องต้นไปแล้ว แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้โครงการนี้ล้มเลิกไป
นายอุเทน กล่าวว่า ในสมัยที่ตนเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการน้ำในรัฐบาลที่แล้ว ก็เคยเสนอโครงการนี้ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์มหาอุทกภัย โดยเสนอให้สร้างเขื่อน และอุโมงค์ระยะทาง 88 กม. รับน้ำจากแม่น้ำสาละวิน มายังลำน้ำแม่แตง จ.เชียงใหม่ ก่อนที่จะออกสู่แม่น้ำปิงไปยังแก้มลิง หรืออ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนภูมิพล ที่ อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ ทั้งนี้ เพื่อให้เขื่อนภูมิพลเป็นอิสระในการกักเก็บน้ำ และปล่อยน้ำ และไม่ต้องกังวลกับปัญหาน้ำล้นเขื่อนภูมิพล หรือ การระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก ขณะที่ในฤดูแล้ง ก็จะมีน้ำให้ใช้ประโยชน์มากขึ้น แต่โครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลที่แล้วก็ไม่ได้หยิบมาพิจารณา
"แม่น้ำสาละวิน ไหลมามาจากเทือกเขาหิมาลัยในทิเบต และไหลแรงตลอดทั้งปี ผมเคยเสนอให้สร้างเขื่อนที่แนวลุ่มน้ำแม่แตง บริเวณละติจูด ที่ 20 ที่มีระดับความลาดเอียงเหมาะที่จะดึงน้ำมา โดยผันน้ำเข้าสู่อุโมงค์ระยะทางที่สั้นที่สุด ประมาณ 85-88 กม. และส่งผลกระทบกับแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยมาก ใช้งบประมาณราว 2 แสนล้านบาท แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะประเทศไทยจะสามารถทั้งป้องกันน้ำท่วม และแก้ปัญหาน้ำแล้งได้อย่างยั่งยืน" นายอุเทน ระบุ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ โครงการดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ใกล้กับชายแดน ซึ่งมีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อาจเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง และหากจะดำเนินการ ก็ต้องประสานงานกับทางรัฐบาลพม่าด้วย ดังนั้นจึงควรที่วางแผนโครงการให้เป็นในลักษณะร่วมทุน ระหว่างรัฐบาล หรือเชิญชวนประเทศจีน เข้ามาร่วมลงทุนด้วย เชื่อว่าจะทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเขื่อนที่จะสร้างขึ้นนั้น มีศักยภาพสูง โดยกฟผ.เคยประเมินเบื้องต้นว่า จะสามารถส่งน้ำมาได้ราว 3 พันลูกบาศก์เมตร/วินาที และจะผลิตไฟฟ้าได้ 7.5 พันเมกะวัตต์ มากกว่าโรงไฟฟ้าหงสา ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ใหญ่ที่สุดของ สปป.ลาว ที่มีกำลังผลิตเพียง 1.87 พันเมกะวัตต์ด้วย หากตีเป็นมูลค่า จะได้ถึงปีละกว่า 3 หมื่นล้านบาท ใช้เวลาไม่ถึง 8 ปี ก็จะคุ้มทุน อีกทั้งยังสามารถช่วยรองรับอัตราการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศที่ตกราว 2.2-2.3 หมื่นเมกะวัตต์ ทำให้ไทยไม่ต้องซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่ปัจจุบันเราต้องซื้ออยู่กว่า 1 หมื่นเมกะวัตต์
" แน่นอนว่าโครงการในลักษณะนี้ มักมีเสียงคัดค้าน แต่รัฐบาลต้องชี้แจงถึงเหตุผลความจำเป็น และความคุ้มค่าให้ชัดเจน โดยเน้นย้ำในเรื่องของการพัฒนา และประโยชน์ในเรื่องการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน เราจะไม่ขาดแคลนน้ำ ไม่ต้องพะวงเรื่องไฟฟ้าที่เราต้องใช้ ขณะที่ประชาชนก็ต้องเข้าใจในมิติความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้า เพื่อที่อนาคต เราจะไม่ต้องไปพึ่งพาหรือเป็นเบี้ยล่างประเทศอื่นอีกในด้านพลังไฟฟ้า เพราะหากวันหนึ่ง มีประเทศหนึ่งเกิดเบี้ยวไม่ขายไฟฟ้าให้ประเทศไทย ก็จะมีปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าขึ้นมาได้ เช่น พม่าปิดซ่อมท่อส่งก๊าซ แค่ 3-4 วัน เรายังวุ่นวายมากพอดู " นายอุเทน กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น