TPCH เซ็นสัญญา PPA แบบ Feed-in Tariff เรียบร้อยแล้ว ส่วน MWE ก.ค.58 เริ่มเดินเครื่องขายไฟฟ้า หนุนผลประกอบการแจ่มทั้งปี 58 โต 30-40% พร้อมวางเป้าปี 60 กำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 100 MW และปี 62-63 กำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 200 MW การันตี 3 ปีครึ่ง กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า
นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง หรือ TPCH กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล แม่วงก์ เอ็นเนอยี่ (MWE) ที่ จ.นครสวรรค์ จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเป็นครั้งแรกด้วยกำลังการผลิตตามสัญญา 8 เมกะวัตต์ ภายในเดือนกรกฎาคม 2558 โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้จะเป็นแห่งแรกที่ขายไฟฟ้าด้วยระบบ FiT แทนที่ระบบ Adder ส่วนโรงไฟฟ้าชีวมวล มหาชัย กรีน เพาเวอร์ (MGP) และโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลทุ่งสัง กรีน (TSG) ได้เซ็นสัญญา PPA แบบ Feed-in Tariff เรียบร้อยแล้ว
“TPCH ได้รับใบอนุญาต หรือใบตอบรับซื้อไฟฟ้า ครบแล้ว 6 โครงการ (อยู่ระหว่างก่อสร้าง 4 แห่ง) โรงไฟฟ้าอีก 2 แห่ง MGP และ TSG ก็ได้เซ็นสัญญา PPA แบบ Feed-in Tariff เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการใหญ่ แห่งที่ 7 ที่ จ.ปัตตานี 42 เมกะวัตต์ เฟส 1 อยู่ระหว่างอนุมัติจากบอร์ด RE ซึ่งมั่นใจมากว่าจะได้รับการอนุมัติ เนื่องจากระบบสายส่งมีความพร้อม และอยู่ในพื้นที่ขาดแคลนไฟฟ้าอีกด้วย ขณะที่แผนส่วนเพิ่ม 50 เมกะวัตต์ บริษัทเริ่มงานด้านมวลชนแล้ว 3 แห่ง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากความสำเร็จของโครงการ CBR ทำให้ตอนนี้บริษัทมีสัญญา PPA ในมือแน่นอนแล้วทั้งหมดประมาณ 80 เมกะวัตต์”
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2558 คาดจะกลับมาอยู่ในระดับปกติที่ 60-66 ล้านบาท หลังจากไตรมาสที่ผ่านมา เสียวันทำงานไป 8 วัน จากการหยุดบำรุงรักษาเครื่องจักรให้สอดรับต่อการซ่อมบำรุงสายส่งไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แต่ในไตรมาสดังกล่าวจะมีรายได้จากการขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า 1 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าชีวมวลช้างแรกไบโอเพาเวอร์ (CBR) เข้ามาสนับสนุนและหยุดซ่อมบำรุงรักษาเครื่องจักรน้อยกว่าไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนผลประกอบการทั้งปีนี้คาดว่าจะออกมาตามที่ตั้งเป้าหมายไว้คือเติบโต 30-40% จากปีก่อนที่ทำได้ 258.26 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในปี 2558 เพิ่มจำนวน 30-50 เมกะวัตต์ และในปี 2560 จะมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 100 เมกะวัตต์ และในปี 2562-2563 จะมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 200 เมกะวัตต์อย่างแน่นอน ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า ในระยะ 3 ปีครึ่ง ดังนั้น จะส่งผลให้รายได้ และกำไรของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด
ทั้งนี้ ปัจจุบันการได้รับสัญญา PPA ต้องเข้าสู่การประมูล ซึ่งจะมีความชัดเจนภายในปลายเดือน กรกฏาคม 2558 จากข้อมูลเบื้องต้นในการเปิดประมูลในครั้งนี้ เป้าหมายพลังงานทดแทนมาจาก 3 กลุ่มด้วยกัน 1) ชีวมวล 2) ชีวภาพ 3) ลม ซึ่งชีวมวลได้ถูกกำหนดให้ความสำคัญเป็นอันดับที่ 1 ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมของบริษัท
“การเติบโตของบริษัทเป็นการเติบโตที่เป็นไปได้จริง เนื่องจากได้รับใบอนุญาต และดำเนินการก่อสร้างแล้ว จึงวางเป้าหมายที่จะเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ใหญ่ที่สุดทางภาคใต้ ซึ่งบริษัทมีกลุ่มพันธมิตรที่พร้อมจะเติบโตไปตามเป้าหมายที่บริษัทได้วางไว้ ส่วนทั้งปีนี้ก็มั่นใจว่ารายได้จะเติบโต 30-40% จากปีก่อนที่ทำได้ 258.26 ล้านบาท”