นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวถึง กรณีการคงค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ตั้งแต่ปี 2556-2558 ตามประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง ว่า ที่ผ่านมายังมีการเรียกร้องปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2559 โดยอ้างปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นมาก จนแรงงานไม่สามารถอยู่ได้ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ทำให้รัฐบาลกลับมาสนใจว่า ช่วงต้นปี 2559 จำเป็นต้องมีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำหรือไม่ ถ้าต้องขึ้นจะขึ้นอย่างไร และขึ้นเท่าไรจึงเหมาะสม ซึ่งการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างแห่งชาติ (บอร์ดค่าจ้าง) เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้เสนอแนวทางการปรับค่าจ้างขั้นต่ำไว้ 5 แนวทาง คือ 1. ให้กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำแบบเดิม คืออนุกรรมการค่าจ้างจังหวัด เสนอการปรับค่าจ้างต่อบอร์ดค่าจ้าง พิจารณาเพื่อประกาศขึ้นค่าจ้างไปตามปกติ 2. ให้กำหนดค่าจ้างแบบลอยตัว 3. ให้มีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามการพัฒนาเศรษฐกิจ 4. การปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามกลุ่มอุตสาหกรรม และ 5. การปรับค่าจ้างขั้นต่ำโดยวิธีผสมผสานหลายรูปแบบ
"การปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานจนเหลือเวลาเพียง 3-4 เดือนก่อน ต.ค. 58 โดยยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้แนวทางไหน อาจจะเป็นความพลั้งเผลอของบอร์ดค่าจ้าง ซึ่งปกติควรจะเริ่มดำเนินการพิจารณาหารูปแบบของการจ่ายค้าจ้างเอาไว้แต่แรกแล้ว โดยใช้หลักวิชาการเข้ามาช่วย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อ พ.ร.บ.ค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ถูกยกเลิกไปพร้อมกับการมี คสช. การพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จึงยังต้องเป็นไปตาม มาตรา 87 ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นปัจจัยที่จำเป็นต้องนำมาพิจารณาคือ 1. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 2. การขยายตัวของภาคการส่งออกของประเทศ 3. การขยายตัวของการค้าการลงทุนในประเทศ 4.ดัชนีผลิตภาพแรงงาน 5. ต้นทุนและองค์ประกอบของค่าจ้างในต้นทุน 6. ดัชนีค่าครองชีพ (CPI) 7. อัตราเงินเฟ้อ 8. ดัชนีราคาสินค้าอุปโภค บริโภค เป็นต้น" นายยงยุทธ กล่าว
นายยงยุทธ กล่าวว่า หากพิจารณาทั้ง 5 แนวทาง มองว่ารูปแบบที่ 5 คือ ผสมผสานนั้นมีความเหมาะสม เพราะ 1. ยังใช้รูปแบบของอนุกรรมการไตรภาคี โดยสามารถผนวกจังหวัดที่ลักษณะการผลิตที่คล้ายกันเข้ามาด้วยกัน ทำให้สามารถเลือกตัวแทนของนายจ้างและลูกจ้างที่แท้จริงได้มากขึ้น หรือหากมีปัญหาก็พิจารณาเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น เช่น 5 จังหวัดในภาคอีสาน และ 2. ยังใช้รูปแบบของอนุกรรมการโดยภาคีในระดับพื้นที่เสนอค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมไปให้บอร์ดค่าจ้าง แต่เพิ่มการพิจารณาในระดับบอร์ดค่าจ้างภาค ซึ่งจะต้องแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ ก็จะช่วยให้ตัดสินใจในการปรับค่าจ้างจากส่วนกลางมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นอยู่กับข้อมูลความจำเป็นของฝ่ายลูกจ้างในเรื่องภาระค่าใช้จ่าย และนายจ้างว่ามีขีดความสามารถในการแบกรับต้นทุนได้มากน้อยเพียงใด ถ้าแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้พร้อมกับการที่แรงงานได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าครองชีพ การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมไม่มาก
"การปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานจนเหลือเวลาเพียง 3-4 เดือนก่อน ต.ค. 58 โดยยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้แนวทางไหน อาจจะเป็นความพลั้งเผลอของบอร์ดค่าจ้าง ซึ่งปกติควรจะเริ่มดำเนินการพิจารณาหารูปแบบของการจ่ายค้าจ้างเอาไว้แต่แรกแล้ว โดยใช้หลักวิชาการเข้ามาช่วย อย่างไรก็ตาม ในเมื่อ พ.ร.บ.ค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ถูกยกเลิกไปพร้อมกับการมี คสช. การพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จึงยังต้องเป็นไปตาม มาตรา 87 ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นปัจจัยที่จำเป็นต้องนำมาพิจารณาคือ 1. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 2. การขยายตัวของภาคการส่งออกของประเทศ 3. การขยายตัวของการค้าการลงทุนในประเทศ 4.ดัชนีผลิตภาพแรงงาน 5. ต้นทุนและองค์ประกอบของค่าจ้างในต้นทุน 6. ดัชนีค่าครองชีพ (CPI) 7. อัตราเงินเฟ้อ 8. ดัชนีราคาสินค้าอุปโภค บริโภค เป็นต้น" นายยงยุทธ กล่าว
นายยงยุทธ กล่าวว่า หากพิจารณาทั้ง 5 แนวทาง มองว่ารูปแบบที่ 5 คือ ผสมผสานนั้นมีความเหมาะสม เพราะ 1. ยังใช้รูปแบบของอนุกรรมการไตรภาคี โดยสามารถผนวกจังหวัดที่ลักษณะการผลิตที่คล้ายกันเข้ามาด้วยกัน ทำให้สามารถเลือกตัวแทนของนายจ้างและลูกจ้างที่แท้จริงได้มากขึ้น หรือหากมีปัญหาก็พิจารณาเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น เช่น 5 จังหวัดในภาคอีสาน และ 2. ยังใช้รูปแบบของอนุกรรมการโดยภาคีในระดับพื้นที่เสนอค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมไปให้บอร์ดค่าจ้าง แต่เพิ่มการพิจารณาในระดับบอร์ดค่าจ้างภาค ซึ่งจะต้องแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ ก็จะช่วยให้ตัดสินใจในการปรับค่าจ้างจากส่วนกลางมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการพิจารณาขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นอยู่กับข้อมูลความจำเป็นของฝ่ายลูกจ้างในเรื่องภาระค่าใช้จ่าย และนายจ้างว่ามีขีดความสามารถในการแบกรับต้นทุนได้มากน้อยเพียงใด ถ้าแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้พร้อมกับการที่แรงงานได้ค่าจ้างที่คุ้มค่าครองชีพ การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำย่อมส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมไม่มาก