**ไม่รู้ว่าจนถึงนาทีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จะยังยืนยันหนักแน่นอีกหรือเปล่าว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล ในความหมายว่าไม่ปรับคณะรัฐมนตรีอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทีมเศรษฐกิจ หรือทีมไหนๆ ก็ตาม
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากข่าวร้าย ข่าวด้านลบที่ประดังเข้ามาในตอนนี้มันทำให้แนวโน้มในอนาคตข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงปลายปีนี้น่าเป็นห่วง และแน่นอนว่าหากไม่ปฏิเสธความเป็นจริงก็ต้องย้ำว่า เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่น่าห่วงมากที่สุด
ในช่วงที่ผ่านมาเราเริ่มเจอกับปัญหาหนักๆ เข้ามาเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ผลรายงานการส่งออกในช่วงไตรมาสแรกที่ติดลบต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ยังไม่มีแนวโน้มที่ฟื้นขึ้นมาเลย ล่าสุดทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้เตรียมปรับลดเป้าหมายทางเศรษฐกิจของไทยทั้งปีลงมาเหลือร้อยละ 3 แล้ว และเชื่อว่าการส่งออกทั้งปีจะติดลบ
นั่นเป็นการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ที่ต้องรายงานข้อมูลตามความเป็นจริง ซึ่งหากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมาแบบไม่อ้อมค้อม ตัวเลขดังกล่าวยังถือว่า "เกรงใจ" กันด้วยซ้ำไป เพื่อไม่ให้กระทบกับความเชื่อมั่นในระยะยาว ซึ่งในอนาคตก็เป็นไปได้ว่าจะมีการ"ทบทวนตัวเลข"กันใหม่ได้อีกเป็นระยะ
ที่ผ่านมานอกจากเรื่องการส่งออกของเราที่ยังติดลบ ซึ่งปัญหามาจากปัจจัยภายนอก เกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ตลาดส่งออกของเรา ทั้งยุโรป สหรัฐเมริกา และจีนยังไม่ฟื้นตัว ทำให้เกิดปัญหา หลังจากนั้นเราก็มาเจอกับปัญหาเรื่องการ "ถูกขึ้นบัญชี" เรื่องการค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย มีการขีดเส้นให้เวลาแก้ไขในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งก็ต้องลุ้นว่า มาตรการในการแก้ปัญหาของไทยที่ผ่านมาจะสร้างความพอใจจนยกเลิกคำเตือนลงมาในระดับปกติ
**แต่ข่าวร้ายในตอนนี้ก็คือ การที่องค์การการบินระหว่างประเทศหรือ ไอซีเอโอ ไม่รับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทย หรือประกาศให้ไทย "สอบตก"กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่รวมไปถึงข่าวแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางหรือ เมอร์ ในไทย ที่แม้ว่าล่าสุดน่าจะสามารถควบคุมไม่ให้แพร่กระจายออกไป แต่ก็สร้างความหวั่นไหวกันพอสมควร หลังจากที่มีการระบาดหนักในเกาหลีใต้
แน่นอนว่าทั้งสองเรื่องดังกล่าว ย่อมต้องส่งผลกระทบทางด้านการท่องเที่ยวที่เวลานี้กำลังกลายเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจเอาไว้ แต่หากต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้อีกมันก็ยิ่งสาหัสเข้าไปอีก
หากโฟกัสกันเฉพาะเรื่องที่องค์การการบินระหว่างประเทศไม่รับรองมาตรฐานการบินของไทย มันทำให้เกิดคำถามตามมาทันทีว่า ที่ผ่านมาเราแก้ปัญหากันอย่างไร และตรงจุดตามมาตรฐานที่เขาต้องการหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาหากจำกันได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้ใช้กฎหมายพิเศษตาม มาตรา 44 เข้าไปผ่าตัดในกรมการบินพลเรือน รวมทั้งมีการมีการประสานงานกับทางฝ่าย ซีไอเอโอ เป็นระยะ แม้กระทั่งล่าสุดรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ก็ได้เดินทางไปพูดคุยเจรจากับประธานไอซีเอโอ ตอนนั้นก็มีการส่งข่าวมาถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ว่า ทางฝ่ายโน้นพอใจในแนวทางการแก้ไขของไทย แต่แล้วผลออกมาเป็นตรงกันข้าม มันหมายความว่าอย่างไร
ในการแถลงข่าวร่วมกันระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม อาคม เติมพิทยาไพสิฐ และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง อาคม ยอมรับว่า ที่ผ่านมาไอซีเอโอ ได้ปักธงแดงประเทศไทยมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 มาแล้ว จนกระทั่งในวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมาจึงได้ประกาศให้สาธารณะได้ทราบ เป็นเพราะเรายังไม่ได้แก้ไขในด้านมาตรฐานความปลอดภัยได้ทันตามที่เขากำหนดในระยะเวลา 90 วัน และยังหวังว่า ภายในปลายปีนี้จะสามารถปลดล็อกปัญหาดังกล่าวได้ทัน
คำถามก็คือ ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาดังกล่าวได้ทำในแนวทางตามมาตรฐานที่ ไอซีเอโอ กำหนดอย่างเคร่งครัดหรือเปล่า รวมไปถึงมีความเข้าใจตรงกันหรือไม่ เพราะแม้กระทั่งวันสุดท้ายก่อนที่จะมีการประกาศปักธงแดงกับไทยทาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ยังเข้าใจผลการหารือระหว่าง ประธานไอซีเอโอ กับ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ที่นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งไปเจรจา มีการรายงานกลับมาว่าเข้าใจดี และผลออกมาในทางบวก แต่ผลที่ออกมากลับคนละเรื่อง นี่คือตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความสับสน ขณะเดียวกันที่ผ่านมาก็มีการใช้มาตรการพิเศษเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อความรวดเร็ว แต่ดูแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าที่เรียกว่า "มันนัยสำคัญ" นั่นแหละ
นี่คือตัวอย่างในเรื่องมาตรฐานการบินที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญสำหรับกลไกด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศ ดังนั้นหากการแก้ปัญหาตามมาตรฐานไอซีเอโอ เป็นตัวชี้วัดแล้ว ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ในปลายปีนี้เรื่อง "การค้ามนุษย์" และการ "ทำประมงผิดกฎหมาย" ที่ทางสภาพยุโรปขีดเส้นให้ไทยเร่งแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมว่าจะออกมาแบบเดียวกันอีกหรือไม่ เพราะถ้าปลดล็อกไม่ได้ ทั้งการท่องเที่ยว และการส่งออกที่ติดลบอยู่แล้ว มันจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก นี่ยังไม่นับข่าวร้ายเรื่องโรคเมอร์ส เข้ามาสมทบอีก จนไม่กล้าหลับตานึกภาพ
** ดังนั้นนี่คือช่วงเวลาของข่าวร้ายที่ประดังเข้ามา และถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ฝีมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และทีมเศรษฐกิจ ว่าจะรับมือได้แค่ไหน เพราะหากยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องมั่นใจว่าต้อง "เจ๋งจริง" เท่านั้น !!
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากข่าวร้าย ข่าวด้านลบที่ประดังเข้ามาในตอนนี้มันทำให้แนวโน้มในอนาคตข้างหน้า โดยเฉพาะในช่วงปลายปีนี้น่าเป็นห่วง และแน่นอนว่าหากไม่ปฏิเสธความเป็นจริงก็ต้องย้ำว่า เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่น่าห่วงมากที่สุด
ในช่วงที่ผ่านมาเราเริ่มเจอกับปัญหาหนักๆ เข้ามาเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ผลรายงานการส่งออกในช่วงไตรมาสแรกที่ติดลบต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ยังไม่มีแนวโน้มที่ฟื้นขึ้นมาเลย ล่าสุดทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้เตรียมปรับลดเป้าหมายทางเศรษฐกิจของไทยทั้งปีลงมาเหลือร้อยละ 3 แล้ว และเชื่อว่าการส่งออกทั้งปีจะติดลบ
นั่นเป็นการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ที่ต้องรายงานข้อมูลตามความเป็นจริง ซึ่งหากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมาแบบไม่อ้อมค้อม ตัวเลขดังกล่าวยังถือว่า "เกรงใจ" กันด้วยซ้ำไป เพื่อไม่ให้กระทบกับความเชื่อมั่นในระยะยาว ซึ่งในอนาคตก็เป็นไปได้ว่าจะมีการ"ทบทวนตัวเลข"กันใหม่ได้อีกเป็นระยะ
ที่ผ่านมานอกจากเรื่องการส่งออกของเราที่ยังติดลบ ซึ่งปัญหามาจากปัจจัยภายนอก เกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ตลาดส่งออกของเรา ทั้งยุโรป สหรัฐเมริกา และจีนยังไม่ฟื้นตัว ทำให้เกิดปัญหา หลังจากนั้นเราก็มาเจอกับปัญหาเรื่องการ "ถูกขึ้นบัญชี" เรื่องการค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย มีการขีดเส้นให้เวลาแก้ไขในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งก็ต้องลุ้นว่า มาตรการในการแก้ปัญหาของไทยที่ผ่านมาจะสร้างความพอใจจนยกเลิกคำเตือนลงมาในระดับปกติ
**แต่ข่าวร้ายในตอนนี้ก็คือ การที่องค์การการบินระหว่างประเทศหรือ ไอซีเอโอ ไม่รับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทย หรือประกาศให้ไทย "สอบตก"กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่รวมไปถึงข่าวแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางหรือ เมอร์ ในไทย ที่แม้ว่าล่าสุดน่าจะสามารถควบคุมไม่ให้แพร่กระจายออกไป แต่ก็สร้างความหวั่นไหวกันพอสมควร หลังจากที่มีการระบาดหนักในเกาหลีใต้
แน่นอนว่าทั้งสองเรื่องดังกล่าว ย่อมต้องส่งผลกระทบทางด้านการท่องเที่ยวที่เวลานี้กำลังกลายเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจเอาไว้ แต่หากต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้อีกมันก็ยิ่งสาหัสเข้าไปอีก
หากโฟกัสกันเฉพาะเรื่องที่องค์การการบินระหว่างประเทศไม่รับรองมาตรฐานการบินของไทย มันทำให้เกิดคำถามตามมาทันทีว่า ที่ผ่านมาเราแก้ปัญหากันอย่างไร และตรงจุดตามมาตรฐานที่เขาต้องการหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาหากจำกันได้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้ใช้กฎหมายพิเศษตาม มาตรา 44 เข้าไปผ่าตัดในกรมการบินพลเรือน รวมทั้งมีการมีการประสานงานกับทางฝ่าย ซีไอเอโอ เป็นระยะ แม้กระทั่งล่าสุดรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ก็ได้เดินทางไปพูดคุยเจรจากับประธานไอซีเอโอ ตอนนั้นก็มีการส่งข่าวมาถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ว่า ทางฝ่ายโน้นพอใจในแนวทางการแก้ไขของไทย แต่แล้วผลออกมาเป็นตรงกันข้าม มันหมายความว่าอย่างไร
ในการแถลงข่าวร่วมกันระหว่าง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม อาคม เติมพิทยาไพสิฐ และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง อาคม ยอมรับว่า ที่ผ่านมาไอซีเอโอ ได้ปักธงแดงประเทศไทยมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 มาแล้ว จนกระทั่งในวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมาจึงได้ประกาศให้สาธารณะได้ทราบ เป็นเพราะเรายังไม่ได้แก้ไขในด้านมาตรฐานความปลอดภัยได้ทันตามที่เขากำหนดในระยะเวลา 90 วัน และยังหวังว่า ภายในปลายปีนี้จะสามารถปลดล็อกปัญหาดังกล่าวได้ทัน
คำถามก็คือ ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาดังกล่าวได้ทำในแนวทางตามมาตรฐานที่ ไอซีเอโอ กำหนดอย่างเคร่งครัดหรือเปล่า รวมไปถึงมีความเข้าใจตรงกันหรือไม่ เพราะแม้กระทั่งวันสุดท้ายก่อนที่จะมีการประกาศปักธงแดงกับไทยทาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ยังเข้าใจผลการหารือระหว่าง ประธานไอซีเอโอ กับ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ที่นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งไปเจรจา มีการรายงานกลับมาว่าเข้าใจดี และผลออกมาในทางบวก แต่ผลที่ออกมากลับคนละเรื่อง นี่คือตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความสับสน ขณะเดียวกันที่ผ่านมาก็มีการใช้มาตรการพิเศษเข้ามาแก้ปัญหาเพื่อความรวดเร็ว แต่ดูแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าที่เรียกว่า "มันนัยสำคัญ" นั่นแหละ
นี่คือตัวอย่างในเรื่องมาตรฐานการบินที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญสำหรับกลไกด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศ ดังนั้นหากการแก้ปัญหาตามมาตรฐานไอซีเอโอ เป็นตัวชี้วัดแล้ว ทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ในปลายปีนี้เรื่อง "การค้ามนุษย์" และการ "ทำประมงผิดกฎหมาย" ที่ทางสภาพยุโรปขีดเส้นให้ไทยเร่งแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมว่าจะออกมาแบบเดียวกันอีกหรือไม่ เพราะถ้าปลดล็อกไม่ได้ ทั้งการท่องเที่ยว และการส่งออกที่ติดลบอยู่แล้ว มันจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก นี่ยังไม่นับข่าวร้ายเรื่องโรคเมอร์ส เข้ามาสมทบอีก จนไม่กล้าหลับตานึกภาพ
** ดังนั้นนี่คือช่วงเวลาของข่าวร้ายที่ประดังเข้ามา และถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ฝีมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และทีมเศรษฐกิจ ว่าจะรับมือได้แค่ไหน เพราะหากยืนยันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องมั่นใจว่าต้อง "เจ๋งจริง" เท่านั้น !!