ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -“เลอะเทอะ...” คงเป็นคำนิยามของกระแสข่าว “ปฏิวัติซ้อน” ที่ชัดเจนที่สุด
ที่สำคัญยังออกมาจากปาก “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งตามท้องเรื่องในฐานะผู้ที่อยู่ในอำนาจที่ต้องออกมาปฏิเสธเรื่องแบบนี้เป็นธรรมดา
ยิ่งในจังหวะอารมณ์ไทม์มิ่งช่วงนี้ยังไม่ได้สุกงอมถึงขนาดต้องมีใครคิดการใหญ่เอาชีวิตเข้าเสี่ยง “แอ่น..แอ๊น” อย่างที่ “บิ๊กตู่” เคยตัดสินใจเมื่อ 22 พ.ค.57
แต่ที่น่าแปลกก็คือท่าทีของบรรดา “ขุนทหาร” น้อยใหญ่ที่แม้จะเรียงหน้าออกมาปฏิเสธ แต่ก็เหมือนพยายามเลี้ยงกระแสเรื่องนี้ให้สังคมสนใจ ทั้งบุคคลที่อยู่ในข่ายการกระทำรัฐประหาร-ยึดอำนาจอย่าง “บิ๊กโด่ง-พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร” รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) หรือคนระดับ “ตั่วเฮีย” อย่าง “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ” รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ก็ยืนยันหนักแน่นว่า กองทัพไม่มีการปฏิวัติอย่างแน่นอน เพราะขณะนี้สถานการณ์ยังคงเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย
ประเมินตามคอมเมนต์ของคนในข่ายอำนาจปัจจุบันก็ดูจะไม่ให้ราคากับเรื่องนี้มากนัก แต่พอ “บิ๊กตู่” พูดเป็นนัยว่า รู้อยู่บ้างว่าใครปล่อยข่าว เพียงชั่วข้ามคืน “บิ๊ก อ๊อด - พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็เด้งดึ๋งขึ้นมาสนองนโยบายทันที โดยระบุชัดเจนว่า "ต้นตอ” ของข่าวปฏิวัติซ้อนมาจากเว็บไซต์ชื่อ “แดงดีดี ดอตคอม” หรือwww.dangdd.com ซึ่งพะยี่ห้อโทนโท่ว่า เป็นเว็บไซต์ที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” และมีความเชื่อมโยงกับ “จอม เพชรประดับ” ที่เคยประกาศตัวเป็นสื่อมวลชนเสื้อแดง และสั่งให้ “กระทรวงไอซีที” กระชับอำนาจเข้าไปบล๊อคเป็นที่เรียบร้อย
เรื่องไม่ใช่เรื่อง ก็กลายเป็นการต่อความยาวสาวความยืดเข้าไปอีก
หากจำกันได้ในยุคที่ คสช.เข้ามาบริหารประเทศได้ปีเศษ ก็มีข่าวการปฏิวัติซ้อนมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเดือน ก.ย.57 ที่มีการขับเคี่ยวกันชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ.ของ “บิ๊ก โด่ง” กับ “บิ๊กต๊อก - พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา” สุดท้ายฝ่ายแรกคว้าพุงปลาไปรับประทาน พ่วงด้วยเก้าอี้ รมช.กลาโหม ส่วนฝ่ายหลังได้เก้าอี้ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.สส.) ควบเก้าอี้ รมว.ยุติธรรม ปลอบใจ หลังจากนั้นก็มีข่าวกระเซ็นกระสายว่า “บิ๊กต๊อก” จะมีเซอร์ไพร์สครั้งใหญ่ ก่อนที่ข่าวจะเงียบหายเข้ากลีบเมฆไป
ต่อมาช่วงปลายปี “บิ๊กจิ๋ว - พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” อดีตนายกฯและนายทหารรุ่นพี่ก็ออกมาสวมบท “ขงเบ้ง” จับยามสามตาสะกิดเตือน “น้องตู่” ว่า ระวังถูกปฏิวัติซ้อน แต่เวลาล่วงเลยมาพอสมควร ก็ไม่เห็นเกิดเหตุการณ์ที่ “พี่จิ๋ว” ทำนายทายทักเอาไว้
หากจะพิจารณาถึงปัจจัยที่จะทำให้มี “ปฏิวัติซ้อน” ก็มีหลายปัจจัยด้วยกัน ในอดีตที่ผ่านมาความล้มเหลวในการบริหารประเทศก็ถือเป็นเหตุผลหลัก แต่นาที คสช.ยังกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ ชื่อของ “บิ๊กตู่” ยังพอขายได้ การที่จะโค่มล้มรัฐมนตรีโดย “เครื่องมือพิเศษ” จึงยังไม่มีน้ำหนักมากพอ
ขณะที่ความไม่พอใจต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่ “สภาปฎิรูปแห่งชาติ” กำลังขะมักเขม้นแก้ไขตามคอนเมนต์ที่ได้รับฟังมา กว่าจะรู้บทสรุปว่าคว่ำไม่คว่ำก็ปา เข้าไปช่วงต้นเดือน ก.ย. ซึ่งไม่สอดคล้องกับข่าวปฏิวัติในช่วงเวลานี้
ส่วนที่มีการคาดการณ์ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในช่วงเดือน ก.ย.นี้จะทำให้เกิดรอยปริร้าวภายใน โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพที่มีตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งว่างลง แต่ก็เป็น “บิ๊กตู่” เองที่ยืนยันว่า ทหารไม่มีปัญหาเรื่องการแต่งตั้ง ไม่ต้องกลัวเรื่องการปฏิวัติซ้อน ซึ่งก็เป็นตามกระแสข่าวว่า การจัดทำบัญชีรายชื่อนายทหารระดับสูงปิดหีบลงตัว ได้ชื่อครบถ้วนหมดแล้ว
ประเมินจากหลายปัจจัยจึงฟันธงฉับเลยว่า ปฏิวัติซ้อนเป็นเรื่องไร้สาระ แหกตากันทั้งเพ
และสาเหตุที่มีการพูดต่อกันเป็นวรรคเป็นเวร โดยเฉพาะคนในรัฐบาลที่ออกต่อความยาว ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แค่ต้องการสร้างประเด็นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ กลบเรื่องต่างๆที่ไม่อยากตอบ หรือไม่ต้องการให้ตกกระแสไป ทั้งปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มะงุ้มมะงาหราไม่คืบหน้า หรือกระทั่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับลูกลงมติกันทีเดียว 3 วาระรวด ซึ่งว่ากันว่าเป็นการ “ต่อสัมปทาน-ยึดโรดแมป” ให้ “บิ๊กตู่” และองคาพยพนั่งคร่อมอยู่ในอำนาจได้ต่อไปอย่างแนบเนียน หรือที่ถูกขนานนามว่า “ยึดอำนาจซ้ำ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เพราะ 7 ประเด็นที่ถูกยัดไส้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว โดยใช้ประเด็น “ประชามติ” บังหน้านั้น ถูกตั้งคำถามมากมายในวงกว้าง เพราะเนื้อหาในประเด็นอื่นๆไม่ได้สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกับการทำประชามติแม้แต่น้อย แต่เป็นการขยับเพื่อปลดข้อจำกัดในการทำงานของรัฐบาลและ คสช.มากกว่า
และเป็นการตอบโจทย์ที่ “บิ๊กตู่” เคยพูดทำนองว่า หากต้องการให้อยู่ต่อ ก็ไปหาทางมา ได้อย่างลงตัว ทั้งการห้อยติ่งคำถามให้ สนช.และสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ตั้งคำถามพ่วงไปในการทำประชามติได้สภาละ 1 คำถาม
ซึ่งมีการประเมินว่า คำถามคงหนีไม่พ้นเรื่องการให้โอกาส “รัฐบาลบิ๊กตู่” อยู่ต่อเพื่อปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง2ปีหรือไม่อย่างไร
อีกทั้งการแปรเปลี่ยนสถานะของ สปช.ให้ไปเป็น “สภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ” นั้นก็เป็นการจัดระเบียบ สปช.เสียใหม่ หลังจากที่บางส่วนออกลายทำตัวขัดแข้งขัดขารัฐบาล คสช.โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปพลังงาน ยิ่งไปกว่านั้นพูดได้ว่าอำนาจการแต่งตั้งสมาชิกสภาขับเคลื่อนฯ 200 คนนั้นอยู่ในกำมือ “บิ๊กตู่” แต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้มีพิธีรีตองในการคัดสรรเหมือนเมื่อครั้งตั้ง สปช.
ใครเป็น “เด็กดื้อ” ก็จะถูกไล่ลงจาก “เรือแป๊ะ” ส่วน “เด็กดี” อาจจะได้ไปต่อกับสภาขับเคลื่อนฯ
ขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรของทีมงาน “เดอะปี๊ด - บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ประธาน กมธ.ยกร่างฯ ก็มีการเปิดช่องไว้แล้วหากไม่ผ่านการลงมติของ สปช.หรือหากเนื้อหาในร่างสุดท้ายไม่ถูกใจ คสช. ก็จะทำให้ 36 อรหันต์ กมธ.ยกร่างฯต้องสิ้นสุดหน้าที่ เพื่อส่งไม้ต่อให้ “กรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ที่มีสมาชิก 21 คน มาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เสร็จภายใน 6 เดือน
ที่น่าสนใจคือการรวบอำนาจการแต่งตั้ง 21 กรรมการยกร่างฯโดยหัวหน้า คสช. ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น “บิ๊กตู่” นั่นเอง
เมื่อเป็นไปตามรูปการณ์แม่น้ำ 5 สาย ที่เคยประกอบด้วย “คสช.-ครม.-สนช.-สปช.-กมธ.ยกร่างฯ” พลันที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวก็จะทำให้ สปช. และ กมธ.ยกร่างฯส่อแววที่จะตายตกกันตามไป
และแม้จะมีการ “รีโนเวท” ในชื่อใหม่อย่าง สภาขับเคลื่อนฯ หรือกรรมการยกร่างฯ แต่ก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นแม่น้ำที่แตกแขนงออกมา เพราะทั้ง “แม่น้ำน้อย” ทั้ง 2 สายที่เกิดใหม่ก็เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จของหัวหน้า คสช.ในการแต่งตั้ง
ในทำนองเดียวกัน คสช.และ ครม.ก็ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะภายใน ครม.ก็มีคนที่พะยี่ห้อ คสช.นั่งอยู่เต็มพรึ่บ โดยเฉพาะหัวโต๊ะก็เป็นคนๆเดียว
ส่วน สนช.ก็ไม่ต่างจาก “สภาสีเขียว” เพราะแค่ทีมงานขุนทหารก็มีอยู่ร่วม 100 ชีวิต มากกว่าครึ่งของจำนวนสมาชิก ย่อมกำหนดทิศทางการทำงาน หรือการลงมติได้โดยง่ายอยู่แล้ว
เท่ากับว่าจากที่เคยพยายามวาดภาพให้เห็นว่ามีการแตกแขนงเป็นแม่น้ำ 5 สาย สุดท้ายเอาเข้าจริงก็รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ คสช. และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 ซึ่งอัพเกรดอำนาจของหัวหน้า คสช.ที่เข้ามาควบคุมทั้งเรื่องการปฏิรูปประเทศ และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอย่างชัดเจน
ตรงนี้เองที่ถูกมองเป็นการ “ยึดอำนาจซ้ำ - ปฏิวัติซ้อน” โดยที่ไม่ต้องลากปืนเข็นรถถังออกมาแล่นกลางเมืองเหมือนเมื่อปีกลาย
คนไทยเคยถูก “ลักหลับ” มาแล้วเมื่อสมัยรัฐบาลสมัยที่แล้วกับ “พ.ร.บ.สุดซอย” มาหนนี้ก็ถูก “ลักหลับ” อีกครั้งโดยฝีมือของ “ขุนทหาร” กับการกระชับอำนาจผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว
แถมยังเป็นการ “ลักหลับ” แบบกลางวันแสกๆ ด้วย