xs
xsm
sm
md
lg

“จอม” จัดให้ สัมภาษณ์ “ไอ้ตั้ง” ข้ามทวีป อ้างเป็นเด็ก ขู่ประจานไทยทั่วโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ตั้ง อาชีวะ หรือ นายเอกภพ เหลือรา ผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่ง รัฐบาลไทย เตรียมที่จะขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากนิวซีแลนด์ เพื่อดำเนินคดีในไทย ให้สัมภาษณ์  Thaivoicemedia ดำเนินรายการโดยนายจอม เพชรประดับ
“จอม เพชรประดับ” จัดให้ สัมภาษณ์ “ไอ้ตั้ง อาชีวะ” ข้ามทวีป อ้าง “ผมเป็นเด็ก ไม่มีศักยภาพอะไร” ระบุเฟซบุ๊กถูกปิดแล้ว ไม่ทนถูกกระทำ ขู่ประจานประเทศไทยในเวทีโลก ด้าน “ส.ศิวรักษ์” วอนผู้ใหญ่ใน คสช.เข้าใจเวทีสื่อต่างประเทศ ชี้อย่าหลงระเริงอยู่กับอำนาจอันจอมปลอม ยันมีความหวังดี แต่ถ้า คสช.ไม่ฟังก็จนใจ เปรยสื่อต่างประเทศไม่ใช่คนไทย พึงสังวร รัฐบาลมีอำนาจที่จะไล่คนต่างประเทศออกนอกราชอาณาจักรได้ แถมมีอำนาจถึงขั้นไม่ต่อ VISA ให้ก็ได้

วันนี้ (18 มิ.ย.) มีรายงานว่า ตั้ง อาชีวะ หรือนายเอกภพ เหลือรา ผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งรัฐบาลไทยเตรียมที่จะขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากนิวซีแลนด์ เพื่อดำเนินคดีในไทย ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia ดำเนินรายการโดยนายจอม เพชรประดับ ว่าหลังจากรัฐบาลไทยเตรียมที่จะติดต่อมายังรัฐบาลนิวซีแลนด์ เพื่อส่งตัวตนกลับไปดำเนินคดีในประเทศไทยนั้น เฟซบุ๊กของตนก็ถูกปิดทันที ขณะที่สื่อนิวซีแลนด์ และ ออสเตรเลียก็มาสัมภาษณ์ที่โรงเรียน ตนตกใจมากเพราะไม่คิดว่ารัฐบาลไทยยังคงตามล่าอยู่อีก ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะยุติการเคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อได้เป็นพลเมืองนิวซีแลนด์แล้ว แต่ถ้ารัฐบาลไทยยังไม่หยุด ตนก็จะเดินหน้าประจานประเทศไทยในเวทีโลกต่อไป

“ผมเป็นเด็ก ไม่มีศักยภาพอะไร และเป็นเหยื่อ การที่รัฐบาลไทยยังไม่หยุด เท่ากับเป็นการทำร้ายประเทศไทย เพราะทำให้ชาวโลกได้เห็นความเลวร้ายของการใช้ มาตรา 112 มากขึ้นอีก และยิ่งทำให้ชาวโลกตั้งคำถามวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ไทยมากยิ่งขึ้นด้วย” นายเอกภพ กล่าวและว่า เชื่อมั่นร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า รัฐบาลนิวซีแลนด์ ไม่มีวันที่จะส่งตัวตนกลับไทย เพราะเป็นการทำผิดกฎหมาายสากลเรื่องผู้ลี้ภัย และขณะนี้ รัฐบาลนิวซีแลนด์ยังส่งคนมาให้คำแนะนำกับตนในเรื่องการใช้ชีวิตในนิวซีแลนด์ด้วย

วันเดียวกัน นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักวิชาการอิสระ เขียนเฟซบุ๊กส่วนตัววิพากษ์วิจารณ์กรณี คสช.สั่งให้สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ยกเลิกจัดอภิปรายเรื่องมาตรา 112 เกี่ยวกับกรณี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” รวมถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามว่า แม้เพียงตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรานี้ ก็ไม่ใช่คนไทย

มีใจความว่า

“อนุสนธิจากการจัดอภิปรายเรื่องมาตรา ๑๑๒ ของ FCCT ]”

“หลายคนคงทราบแล้วว่า คสช.โทรศัพท์มาถึงสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ให้เลิกจัดอภิปรายเรื่องมาตรา ๑๑๒ เกี่ยวกับกรณี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” หัวหน้า คสช. บอกว่า แม้เพียงตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรานี้ ก็ไม่ใช่คนไทยเสียแล้ว ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่ไม่ใช่คนไทยพึงสังวรความข้อนี้ไว้ รัฐบาลมีอำนาจที่จะไล่คนต่างประเทศออกนอกราชอาณาจักรได้ไม่ยาก ไม่ต่อ VISA ให้ก็ได้ และไม่ให้ VISA นักข่าวซึ่งจะมาก่อกวนความสงบเรียบร้อยภายในราชอาณาจักร ผมก็เห็นใจพวกผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ซึ่งจำต้องกลัวเกรงอำนาจบาตรใหญ่จากเผด็จการ

แต่พวกเราที่มีชื่อว่าจะต้องอภิปรายกันเมื่อคืนนี้ ทุกคนก็ไปยังสำนักงานของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศด้วยกันทั้งนั้น ที่หน้าสำนักงานชั้นล่างมีตำรวจไม่น้อยกว่า ๒๐-๓๐ นายยืนรออยู่ ผมก็เดินถือไม้ตะพดผ่านเข้าไป เขาก็ไม่ได้ห้ามปรามผม ผมก็ยิ้มให้ทุกๆ คน ด้วยความปรารถนาดี กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นสูงสุด อันเป็นที่ตั้งสำนักงานของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ที่หน้าสมาคมนั้นก็มีตำรวจไม่น้อยกว่า ๑๐ นาย แสดงว่าตำรวจเป็นสุนัขรับใช้ของทหารอีกที เขาคงจะไม่ทำอะไรเว้นแต่ทหารจะสั่ง แต่ไม่มีตำรวจคนใดกล้าโผล่เข้าไปในสมาคมของผู้สื่อข่าวต่างประเทศ

ในนั้นมีคนมิใช่น้อย หนังสือพิมพ์ Washington Times สัมภาษณ์ผมเรื่องสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย อันอึมครึมอยู่ในบัดนี้ สถานี ThaiPBS ก็มีผู้แทนอยู่ในห้องนั้นด้วย แต่ไม่ได้มาสัมภาษณ์ผม โดยที่ ประวิตร โรจนพฤกษ์ ได้สัมภาษณ์ผม สุกัญญา พฤกษาเกษมสุข สาธิต เสกัล รวมถึง David Streckfuss ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับกรณี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ทุกคนแสดงจุดยืนของตนอย่างมั่นคง และเราพร้อมที่จะขึ้นเวทีอภิปรายตามคำเชิญของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในเรื่องนี้ แต่กรรมการสมาคมกลัวว่าสมาคมจะถูกปิด เผด็จการจะใช้ความกลัวเป็นเจ้าเรือน ข่มขู่คนได้ด้วยวิธีการต่างๆ เพราะเขาถือว่าเขามีความชอบธรรมในการปกครองบ้านเมือง ทั้งนี้เพราะอำนาจอยู่ในมือเขา กล่าวคือ อำนาจเป็นธรรม ไม่ใช่ธรรมเป็นอำนาจ

น่าชมสุกัญญาที่กล้าหาญ แม้สามีของเธอจะถูกขังคุกมา ๔ ปีแล้ว โดยกระบวนการยุติธรรมอันอยุติธรรมอย่างยิ่ง เขาถูกเบียดเบียนบีฑาทุกประการ ผมเองต้องคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” มาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งได้รับการประกันตัว นี่แสดงว่า ผมอภิสิทธิชนด้วย หรือมิใช่ ระบบชนชั้นเข้ามาก้าวก่ายกับขบวนการยุติธรรมของไทย อย่างที่ไม่มีใครเคยพูดถึงอย่างซึ่งๆ หน้า และอย่างเปิดเผยกันเอาเลย ถ้าสมยศเป็นเนติบัณฑิตอังกฤษ หรือเป็น ม.ร.ว. หรือมีทรัพย์ศฤงคารอย่างโอฬาริก เขาจะได้รับทุกข์ทรมานอย่างที่เป็นอยู่เช่นนี้หรือ

ความข้อนี้ คนในวงการ คสช. ไม่มีทางเข้าใจ ดังที่คนเล็กคนน้อยเป็นอันมาก ถูกเบียดเบียนบีฑาแทบทุกหนแห่ง ด้วยมาตรการอันป่าเถื่อนของทหารและตำรวจ ตลอดจนข้าราชการพลเรือน ที่เข้าข้างพ่อค้าและนายทุน ทำลายสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวบ้านร้านตลาด ถ้าผู้ที่กุมอำนาจอยู่ ไม่ตระหนักในความข้อนี้ อำนาจของเขาก็เป็นอำนาจอันอธรรม ไม่มีทางที่เขาจะนำสันติประชาธรรม มาสู่บ้านนี้เมืองนี้ได้ แม้พวกเนติบริกรที่รับใช้เผด็จการเหล่านี้ ก็เป็นผู้ซึ่งปราศจากคุณธรรมด้วยประการใดๆ สิ้น

ยิ่งสื่อมวลชนส่วนใหญ่ ทำตัวดังสื่อมวลสัตว์ด้วยแล้ว บ้านนี้เมืองนี้ก็จะเดินรอยตามทุนนิยมบริโภคนิยมอย่างเซื่องๆ โดยมีจักรวรรดิจีนเข้ามาบงการบ้านนี้เมืองนี้ยิ่งกว่าจักรวรรดิอเมริกันที่เคยทำมาก่อนเสียอีก ทั้งนี้ โดยไม่จำต้องกล่าวถึงบรรษัทข้ามชาติ ซึ่งเป็นตัวทำลายล้างที่สำคัญยิ่ง บางบรรษัทอยู่ในเมืองไทยนี่เอง เช่น CP และ ThaiBev เป็นตัวอย่าง

ถ้าตีประเด็นนี้ไม่แตก คสช.ก็หลงระเริงอยู่กับอำนาจอันจอมปลอมไป ที่พูดมาทั้งนี้ก็ด้วยความหวังดี แต่ถ้า คสช.ไม่ฟังก็จนใจ หรือจะมาจับตัวผู้พูดคนนี้ไปก็พร้อม ที่จะเดินเข้าคุกอย่างสง่า”

“ส. ศิวรักษ์”

ก่อนหน้านั้น สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือ FCCT ได้ออกแถลงการณ์ยกเลิกการจัดเสวนาเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17 มิ.ย. หลังได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับคำสั่งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. มีใจความว่า ทางสมาคมได้รับแจ้งว่าถ้ายังมีการจัดงานเสวนาต่อไป ทางทหารจะเข้ามาปิดทางเข้าอาคารมณียาที่เป็นที่ตั้งของ FCCT ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้สำหรับผู้เช่ารายอื่นในอาคารแห่งนี้ ดังนั้น FCCT จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยกเลิกงานเสวนา

FCCT ระบุว่า ได้รับหนังสือจากทางตำรวจขอความร่วมมือให้ยกเลิกงานเสวนาครั้งนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยในจดหมายได้ให้เหตุผลว่างานเสวนาในประเด็น 112 จะเป็นเหมือนการหว่านเชื้อความแตกแยกในสังคมไทย และปลุกปั่นให้ประชาชนทำผิดกฎหมาย และเป็นการยั่วยุให้เกิดความไม่สงบ ทางสมาคมได้แจ้งแก่ทางตำรวจไปว่าความกลัวเหล่านี้ไม่มีเหตุผล และปฏิเสธคำขอดังกล่าวไป

ทั้งนี้ เมื่อทางตำรวจแจ้งว่าไม่มีข้อกำหนดใดในการห้ามจัดงานเสวนาในครั้งนี้ ดังนั้น FCCT จึงขอคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรจาก คสช. เพื่อใช้อธิบายการยกเลิกงานเสวนา แต่ คสช. ได้แจ้งทางสมาคมว่าไม่สามารถออกจดหมายเช่นนั้นได้ เพราะเกรงว่าจะถูกสื่อนำไปใช้เพื่อทำลายภาพลักษณ์ของ คสช.

“ในอดีตนั้นทางสมาคมก็ได้จัดงานเสวนาในประเด็นเรื่อง 112 หลายครั้ง ซึ่งถือเป็นบทบาทที่สมาคมต้องทำตั้งแต่การเข้าควบคุมอำนาจของทหารปีที่แล้ว และภูมิใจว่างานเสวนานี้เป็นที่สำหรับการอภิปรายที่เสรี ตั้งแต่ตอนนั้นที่ทางสมาคมได้จัดงานเสวนาหลากหลายและกว้างขวางและบางงานยังเปิดโอกาสให้รัฐบาลทหารได้โต้แย้งถึงแผนการสำหรับประเทศอย่างเต็มที่”

ทั้งนี้ FCCT มองว่า การใช้มาตรา 112 เป็นเรื่องที่เป็นข้อถกเถียงมานานแล้วและเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่การรัฐประหาร ทางสมาคมเชื่อว่ากฎหมาย 112 นี้เป็นประเด็นที่อภิปรายได้โดยถูกกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแค่ในหมู่คนไทย แต่ยังรวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยหรือมาลงทุนในประเทศไทย และทางสมาคมเชื่อว่า ในงานเสวนาของทางสมาคมจะเป็นไปในทางสร้างสรรค์

มีรายงานว่า เวทีมาตรา 112 : บทบาทในสังคมไทย ในวันนั้น ตามกำหนดการเดิม วิทยากรประกอบด้วย สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักวิชาการอิสระ, เดวิด สเตรกฟัสส์ นักวิชาการอิสระชาวอเมริกัน, สาธิต เซกัล นักธุรกิจชาวอินเดีย แกนนำ กปปส. และ สุกัญญา พฤกษาเกษมสุข ภรรยาของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข นักโทษคดี 112

ต่อมา มีผู้สื่อข่าวไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ถึงกรณี คสช. มีคำสั่งห้ามสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศจัดเสวนาเรื่องมาตรา 112 โดยนายกฯกล่าวอย่างมีอารมณ์ ว่า “คิดว่าควรจัดหรือไม่ คุณเป็นคนไทย คิดว่าควรหรือไม่ ถ้าไม่ควรก็ไม่ควรตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ถ้าคิดว่าควรก็คงไม่ใช่คนไทย”


นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักวิชาการอิสระ เขียนเฟซบุ๊คส่วนตัววิพากษ์วิจารณ์กรณี คสช. สั่งให้สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) ยกเลิกจัดอภิปรายเรื่องมาตรา 112 เกี่ยวกับกรณี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”รวมถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามว่า  แม้เพียงตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรานี้ ก็ไม่ใช่คนไทย

กำลังโหลดความคิดเห็น