“ไอ้ตั้ง อาชีวะ” ไม่รอด! อสส.ไฟเขียวใช้กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนถึงนิวซีแลนด์

“ไอ้ตั้ง อาชีวะ” ไม่รอด! อสส.ทำหนังสือแจง สตช.อนุมัติดำเนินการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศนิวซีแลนด์ แม้ “ไอ้ตั้ง” แสดงความมั่นใจเมื่อเร็วๆ นี้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลนิวซีแลนด์จะอัปเปหิกลับไทย เหตุได้รับรองสถานะการขอลี้ภัยเป็นพลเมืองของนิวซีแลนด์ ด้านสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในไทยออกแถลงการณ์ยกเลิกการจัดเสวนามาตรา 112 อ้างตำรวจ-คสช.สั่งยกเลิก


วันนี้ (16 มิ.ย.) มีรายงานว่า สำนักงานอัยการสูงสุดได้ทำเอกสารข่าวระบุว่า สำนักงานอัยการสูงสุด ดำเนินการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายเอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขอร้องให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายเอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 2429/2556 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2556 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งฟ้องมายังพนักงานอัยการ และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่าย 6 ได้มีคำสั่งฟ้องแล้ว โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติสืบสวนได้ความว่า ปัจจุบันผู้ต้องหาพักอาศัยอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์

สำนักงานอัยการสูงสุด ผู้ประสานงานกลางตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ส. 2551 จึงได้ดำเนินการร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังทางการประเทศนิวซีแลนด์เพื่อพิจารณาส่งตัวนายเอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” ผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีในประเทศไทยในความผิดดังกล่าวแล้ว ลงวันที่ 16 มิ.ย. 2558

มีรายงานว่า กรณีของนายเอกภพที่หลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์โดยมีเจ้าหน้าที่ของข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) เป็นผู้ดูแลภายหลังถูกหมายจับในข้อหาหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมถึงถูกศาลทหารอนุมัติออกหมายจับเนื่องจากไม่ยอมเข้ารายงานตัวตามคำประกาศของ คสช.

โดยมีรายงานว่า คสช.ได้ดำเนินการ 1 ใน 2 ช่องทาง คือ ช่องทางที่มีข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างสองประเทศก็จะใช้ช่องทางทางกฎหมายในการดำเนินการ โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนผู้ต้องหาอื่นๆ ถ้าไม่มีข้อตกลงส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็จะใช้ช่องทางของกระทรวงการต่างประเทศในการขอความร่วมมือ

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายเอกภพให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ไทยวอยซ์มีเดีย กระบอกเสียงของกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีนายจอม เพชรประดับ อยู่เบื้องหลัง โดยแสดงความมั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลนิวซีแลนด์จะส่งตัวกลับประเทศไทย เพราะขณะนี้รัฐบาลนิวซีแลนด์ได้รับรองสถานะการขอลี้ภัยให้กับตนแล้ว ถือเป็นพลเมืองของนิวซีแลนด์

“สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เป็นผู้ส่งตัวผมมาที่นิวซีแลนด์ หลังจากที่ทำเรื่องขอลี้ภัย เพราะเห็นว่ากรณีของผมเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และมองว่ายิ่งรัฐบาลไทยติดตามตัวผมมากเท่าใด ยูเอ็นจะเห็นใจและให้ความช่วยเหลือมากขึ้นเท่านั้น และนิวซีแลนด์เป็นประเทศประชาธิปไตยที่เห็นความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนมากที่สุดประเทศหนึ่ง ดังนั้นเชื่อว่าเขาไม่ฟังรัฐบาลไทย แต่ฟังยูเอ็นมากกว่า”

เมื่อถามว่า รัฐบาลนิวซีแลนด์ดูแลความปลอดภัยให้มากน้อยแค่ไหน นายเอกภพกล่าวว่า รัฐบาลนิวซีแลนด์กังวลว่าจะมีคนมาทำร้ายมากกว่า และเตือนไม่ให้เคลื่อนไหวอะไรในขณะนี้ แต่รัฐบาลนิวซีแลนด์ไม่กลัวการเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. นิวซีแลนด์แน่นอน โดยอ้างว่ารัฐบาลนิวซีแลนด์รับไม่ได้กับการทำรัฐประหารในประเทศไทยอยู่แล้ว ดังนั้น กปปส.นิวซีแลนด์เคลื่อนไหวอย่างไรก็ไม่มีผล ตนก็ไม่กลัวด้วยแต่รำคาญมากกว่า

เมื่อถามว่า ได้รับความช่วยเหลือจากยูเอ็นในลักษณะไหนอย่างไร ก่อนที่จะมาอยู่ในนิวซีแลนด์ นายเอกภพกล่าวว่า ได้รับการช่วยเหลือจากยูเอ็นเป็นอย่างดี ทั้งจะให้เงินช่วยเหลือเป็นรายเดือนด้วย แต่ได้ปฏิเสธไป เห็นว่าควรจะเอาเงินไปช่วยผู้ลี้ภัยคนอื่นดีกว่า เพราะเมื่อเป็นพลเมืองนิวซีแลนด์แล้วก็สามารถทำงานได้ ตอนนี้มีทำงานเป็นช่างเครื่องกลอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งในนิวซีแลนด์ ได้ใช้ความรู้ตามวิชาชีพที่เรียนมา มีรายได้และเลี้ยงชีพได้แล้วขณะนี้

วันเดียวกัน มีรายงานว่าสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือ FCCT ได้ออกแถลงการณ์ยกเลิกการจัดเสวนาเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ หลังได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับคำสั่งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. โดยทาง FCCT ได้แจ้งว่า หากยังมีการจัดกิจกรรมต่อไปทางทหารจะส่งกำลังมาปิดล้อมอาคารมณียาเซ็นเตอร์ ที่จัดตั้งของสมาคมฯ โดยที่จดหมายขอความร่วมมือจากตำรวจถูกส่งมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ระบุว่า งานเสวนาดังกล่าวจะทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย อีกทั้งยังเป็นการยุยงให้คนทำผิดกฎหมาย และสร้างความวุ่นวายในสังคม

“เราได้รับจดหมายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจขอความร่วมมือให้ยกเลิกการจัดกิจกรรมที่ระบุว่าจะนำไปสู่การแตกแยกในสังคมไทยและส่งเสริมให้คนกระทำผิดกฎหมายและกระทบความไม่สงบ”