ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ยังคงเส้นคงวาในการออกลีลาเต้นฟุตเวิร์กรอบเวทีโชว์ฟอร์มต่อสายตาประชาราษฎร์ว่า คราวนี้หากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งระวังเจอดีแน่ และการให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ล่าสุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิ์เจออาญา มาตรา 112 แต่ถามว่าจะลงมือจัดการจริงจังเมื่อไหร่ คำตอบคือ ยังไม่รู้ ขอดูก่อน อย่ามากดดัน เรื่องข้อกฎหมายจะผลีผลามไม่ได้
น่าสงสัยเหตุไฉน คสช. และคณะผู้มีอำนาจถึงแสดงอาการลังเล โยนเผือกร้อนกันไปมา หะแรกก็กะว่า กองทัพบกจะเดินหน้าลุยเอง แต่ไปๆ มาๆ กองทัพบกก็เห็นสมควรยื่นฟ้องฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และมาตรา 328 เท่านั้น
ส่วนความผิดอาญาตามมาตรา 112 “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ก็เตะลูกออกไปให้ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.กระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รับไปดำเนินการ
ท่าทีของ “บิ๊กต๊อก” แรกรับลูกก็ทำเข้มขึงขัง ออกมาขีดเส้นว่า วันที่ 2 มิ.ย. 2558 นี้คงจะชัดเจน เพราะสั่งให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการฯ ไปไล่รายละเอียดมาให้หมดและสั่งให้มารายงานในวันดังกล่าว แต่ไปๆ มาๆ ก็ยังอ้ำๆ อึ้งๆ ต้อง รอความเห็นจากทางตำรวจก่อนว่าจะเห็นพ้องกันหรือไม่ว่ามีบางถ้อยคำเข้าข่ายผิดมาตรา 112 แปลไทยเป็นไทย สรุปก็คือยังไม่ชัดเจน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำให้อดถามไม่ได้ว่าในความไม่ชัดเจนนั้น มันชัดเจนว่า คำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แค่เฉียดๆ อาญา มาตรา 112 ทำให้ฟันโช๊ะลงไปได้ลำบาก ใช่หรือไม่โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องดูให้รอบคอบ ไม่นับว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งคนแกว่งปากหาเรื่อง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ที่ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่นั้นเขาลองของกันทางการเมืองหยั่งกระแสอยู่เป็นประจำตามจังหวะเวลาและโอกาส และการขู่งัดใช้มาตรา 112 ก็แค่ต้องการให้อีกฝ่ายสงบปากสงบคำหรือไม่
ก่อนอื่น ย้อนกลับมาดูต้นตอของเรื่องคือคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกสักครั้ง
เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2558 ที่ผ่านมา เพจเฟซบุ๊ก “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ความยาว 1.32 นาที ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ผ่าน Chosun Media สื่อเกาหลีใต้ โดยกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยว่า “คือ ประเทศไทยนี่ ... ตราบใดที่เขาปล่อยให้ทำงาน ก็ยังมีอำนาจ แต่ถ้าไม่ปล่อยให้ทำงานก็ไม่มีอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองคมนตรีทั้งหลาย ก็เที่ยวนี้ก็.. ทหารก็จะฟังองคมนตรี เพราะตอนที่เขาไม่ต้องการให้เราอยู่ เขาก็ให้สุเทพออกมา และให้ทหารเข้ามาช่วย และก็มีพวกบางคนจาก(....) มาช่วย เลยทำให้เราไม่มีอำนาจอะไร ผมก็เลยคุยกับนายกฯ ปูว่าเหตุการณ์เหมือนที่พี่โดนมา
“ทหารเขาอาจจะชื่นชอบประชาธิปไตยแบบพม่า ที่พม่าเลิกแล้ว แต่เค้าชอบอย่างนั้นไง เราไม่รู้ ผมก็ยังตำหนิเค้าไป เขาก็ยังอายุน้อย เค้าคงโกรธ...ที่ปฏิวัติแบบนี้ เค้าก็คงโกรธว่าประเทศไทยมาดีๆ แล้ว...แต่เค้าคงโกรธนะ .... ”
หากพิจารณาจากเนื้อหาข้างต้นในเบื้องต้นแล้วจะเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีอาญา มาตรา 112 ก็คงลำบาก ต้องดูแล้วดูอีกว่าจะเข้าข่ายหรือไม่
โดยเนื้อความตามมาตรา 112 ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
ปรมาจราย์ด้านกฎหมายอาญา เช่น ศ.จิตติ ติงศภัทิย์, ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย, รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, ศ.สุปัน พูนพัฒน์ อธิบายตัวบทกฎหมายนี้ไว้ชัดเจนว่า บุคคลที่มาตรา 112 ประสงค์จะคุ้มครอง คือ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เท่านั้น ไม่รวมถึงเชื้อพระวงศ์องค์อื่นๆ หรือองคมนตรี แต่อย่างใด และบุคคลที่บทบัญญัติกฎหมาย ประสงค์จะคุ้มครองนั้นก็มีนิยามขอบเขตไว้ด้วย ดังนี้
1.พระมหากษัตริย์ (The King) หมายถึง องค์ที่ทรงครองราชย์อยู่ขณะที่มีการกระทำความผิด มิใช่พระมหากษัตริย์ที่ทรงสละราชบัลลังก์แล้วหรือพระมหากษัตริย์ในอดีต มิฉะนั้นก็จะหาขอบเขตอันเป็นองค์ประกอบความผิดมิได้
2.พระราชินี ( The Queen ) หมายถึง สมเด็จพระมเหสีที่เป็นใหญ่กว่าพระราชชายาทั้งหลายซึ่งมีเพียงพระองค์เดียว ได้ผ่านการอภิเษกสมรส โดยเป็นพระมเหสีในพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์อยู่ขณะมีการกระทำความผิด ไม่ใช่พระราชินีในรัชกาลก่อน แม้ยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม
3.รัชทายาท ( The Crown Prince) บางครั้งเรียกว่า “มกุฎราชกุมาร” หมายถึง พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงครองราชย์อยู่ และจะได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไป ตามนัยที่ตราไว้ในกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467
4.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ( The Regent ) หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ประมุขแทนพระมหากษัตริย์เป็นการชั่วคราว ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ[4]
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากจะอาศัยการตีความอย่างกว้างจากบางถ้อยคำที่ว่า "....ก็มีพวกบางคนจาก(....)มาช่วย..." จะเข้าข่ายหรือไม่นั้น นักกฎหมายที่ตีความตามตัวอักษรก็คงตอบได้ทันทีว่า ไม่น่าจะได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังต้องติดตามอีกหลายช็อตว่า คสช. จะสามารถจัดการกับพ.ต.ท.ทักษิณ ได้หรือไม่ และด้วยวิธีการใด ข้อหาใด ถ้อยคำที่น่าจะเข้าข่ายผิดมาตรา 112 นั้นจะมัดได้แน่นหนาเพียงใด หรือว่าจะหลุดเหมือนเคย
อย่าลืมว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการตั้งข้อกล่าวหาเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ตามมาตรา 112 จากพฤติกรรมจาบจ้วงเบื้องสูงต่างกรรมต่างวาระ แต่ถึงที่สุดก็หลุดคดี เช่น กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเป็นประธานในพระอุโบสถวัดพระแก้ว สุดท้ายอัยการก็สั่งไม่ฟ้องคดีเพราะไม่ถือเป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
สำหรับผู้ที่จะออกหน้ามารับบทไล่ล่าอดีตนายกรัฐมนตรีในข้อหาอาญา ตามมาตรา 112 คราวนี้ เห็นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก “บิ๊กต๊อก” เพราะนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยตรง ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 2558 ดีเอสไอได้ส่งแฟ้มรายงานผลการติดตามคดีความมั่นคงตามมาตรา 112 ซึ่งหมายรวมถึงกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กับพล.อ.ไพบูลย์ เรียบร้อยแล้ว
นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการ รายงานว่า มีการรวบรวมรายชื่อได้ทั้งหมด 125 รายชื่อ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. คนอยู่ต่างประเทศที่ถูกออกหมายจับ 2. คนที่อยู่ในประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เฝ้าระวัง และ 3. บุคคลที่กำลังติดตามพฤติกรรม โดยแยกหน่วยงานที่รับผิดชอบว่ามีคดีอยู่ในขั้นตอนใดบ้าง และตัวผู้กระทำผิดอยู่ที่ประเทศใด คาดว่า ภายในสัปดาห์หน้าจะทำรายงานเสนอต่อนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนกรณีคลิปวิดีโอ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์เกาหลีใต้นั้น พล.อ.ไพบูลย์ ได้รับทราบจากอธิบดีดีเอสไอแล้วว่ากรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์มีบางถ้อยคำเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 โดยต้องดูว่าทางตำรวจมีความเห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ซึ่งขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นฝ่ายทำสำนวนคดี
สำนวนคดีที่ไปจาก สตช.นอกจากจะส่งตรงไปคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความมั่นคงฯ แล้ว ยังส่งถึงมืออัยการแล้วเช่นกัน เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2558 นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ส่งสำนวนคดีให้อัยการ เพื่อให้ดำเนินคดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ว่า ทางอัยการได้พิจารณาสำนวนแล้ว แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีที่เกิดขึ้นภายนอกราชอาณาจักร นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานชุดพนักงานสอบสวนในคดี โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปอท. และคณะทำงานอัยการ สำนักงานการสอบสวน เป็นทีมพนักงานสอบสวนร่วมกันพิจารณาสำนวนคดีดังกล่าว
ทั้งนี้ หากคณะทำงานดังกล่าวพิจารณาสำนวนคดีเสร็จสิ้นแล้วก็จะต้องส่งให้อัยการสูงสุด พิจารณาเพื่อชี้ขาดอีกครั้งและมีคำสั่งทางคดีต่อไป
น่าจับตาอย่างยิ่งว่า อัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีนี้ หรือจะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับคดีวัดพระแก้วหรือไม่
อย่างไรก็ตาม กระบวนการทางกฎหมายจะใช้เวลาอีกยืดยาว และข่าวคราวก็จะค่อยๆ สร่างซาไปตามกาลเวลา แต่ไม่ว่าผลทางกฎหมายจะออกมาเป็นเช่นใด อัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่แน่ๆ ก็คือ การขู่ใช้มาตรา 112 ปรามไม่ให้เคลื่อนไหวใดๆ น่าจะเป็นเป้าหมายหลักของ คสช. มากกว่า
อย่างที่ “บิ๊กโด่ง” ว่าไว้หลังจากกองทัพบกยื่นฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 เพราะถ้าเพิกเฉยก็เท่ากับยอมรับในสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดมา “....ถ้าไม่ออกมาสร้างความขัดแย้ง ถ้าไม่ออกมาทำอะไรที่เป็นปัญหาคงไม่มีการไปดำเนินการอะไร ถ้าปฏิบัติชีวิตประจำวันไปด้วยความสุจริต ไม่กระทบ กระเทือนคนอื่นก็จะไม่เกิดปัญหาเกิดเรื่องราวขึ้นมาเป็นลำดับอย่างนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะมาโทษคนปลายทางที่ยื่นฟ้องคงไม่ถูก ...”
เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับก็คือ นอกจากจะเจอกองทัพบกฟ้องแล้ว หน่วยงานต่างๆ กำลังตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิดอาญามาตรา 112 ด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ ยังชัดเจนจากปากของบิ๊กโด่งว่าถ้า นช.ทักษิณ อดีตผู้นำประเทศ ไม่ออกมาสร้างความขัดแย้ง ไม่ออกมาปลุกระดมมวลชน ก็คงไม่มีอะไร ความหมายในทางกลับกันก็คือ ถ้าหากยังเคลื่อนไหวทางการเมือง จุดกระแสให้มวลชนลุกฮือก็จะต้องเจอบทตอบโต้ทันควัน แล้วจะมาโทษกันไม่ได้
ด้วยเหตุฉะนี้ จึงเห็นบัญชีคดีความที่กล่าวโทษเอาผิดกับคนในระบอบทักษิณไล่เรียงมายังกะลูกระนาด นับตั้งแต่น้องรัก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมพวกที่เจอล็อกจากคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ตามด้วยการถูกตั้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง 2,000 ล้านบาท โดยไม่มีกฎหมายรองรับ รวมถึงการที่ ป.ป.ช.กำลังเร่งไต่สวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ข้อหาออกพาสปอร์ตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมิชอบ
##ล้อมกรอบ##
29 “ผู้ต้องหา” คดี ม. 112
สหรัฐอเมริกา : 5 ราย ประกอบด้วย 1.นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน 2.นายเสน่ห์ ถิ่นแสน หรือเพียงดิน 3.นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน 4.นายริชาร์ด สายสมร 5.นายจุติเทพ (เลอพงษ์) วิไชยคำมาตย์ หรือโจ กอร์ดอน
ออสเตรเลีย : 1 ราย คือนายองอาจ ธนกมลนันท์
ญี่ปุ่น : 1 ราย คือนายปวิณ ชัชวาลพงศ์พันธ์
ฝรั่งเศส : 1 ราย คือนายจรัล ดิษฐาภิชัย
นิวซีแลนด์ : 1 ราย คือนายเอกภาพ เหลือรา หรือตั้ง อาซีวะ
สเปน : 1 ราย คือนายอิมิลิเอ เอสเทแบบ
ฟินแลนด์ : 1 ราย คือนางจรรยา ยิ้มประเสริฐ
แคนาดา : 1 ราย คือพ.ต.อ.หญิง ณหทัย ตัญญะ
กัมพูชา : 3 ราย ประกอบด้วย 1.นายพิษณุ พรหมศร 2.นายจักรภพ เพ็ญแข 3.นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
สปป. ลาว : 14 ราย ประกอบด้วย 1.นายศรัญ ฉุยฉาย หรืออั้ม เนโกะ (พยายามขอลี้ภัยไปยังประเทศฝรั่งเศส) 2.นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสร หรือสุรชัย แซ่ด่าน 3.นายอิทธิพล สุขแป้น หรือดีเจเบียร์ 4.นายวัฒน์ วรรลยางกูร 5.พุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ 6.นายชูชีพ ชีวสุทธิ์ หรือชีพ ชูชัย 7.นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล 8.นายพิพัฒน์ พรรณสุวรรณ 9.นายนิธิวัต วรรณศิริ 10นายธกฤ โยนกนาคพันธุ์ 11นายชัยอนันต์ ไผ่สีทอง 12.นายไตรรงค์ สินสืบวงศ์ 13.นางสุดา รังกุพันธ์ หรืออาจารย์หวาน 14.นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์
ที่มา : สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org