xs
xsm
sm
md
lg

บี้หนักลากคอ “แก๊งล้มเจ้า” “ไอ้ตั้ง” ออกอาการโชว์เกรียน

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ป้อมพระสุเมรุ

ยังปากดีไม่เลิก!!!

สำหรับ “ไอ้ตั้ง อาชีวะ” หรือชื่อสกุลจริง “เอกภพ เหลือรา” ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แม้จะเพิ่งถูกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ทำหนังสือถึงรัฐบาลนิวซีแลนด์ เพื่อขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ตามพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 ก็ตาม

เพราะให้หลังวันเดียว “ไอ้ตั้ง” ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "เอกภพ เหลือรา" ตอบโต้ทันที ในลักษณะล้อเลียนต่อกรณีดังกล่าว โดยแสร้งทำเป็นรู้สึกเครียดหลังจากได้รับหนังสือจากทางการนิวซีแลนด์ พร้อมกับใจความเยาะเย้ย “…กูอุตส่าห์ low profile มาหลายเดือนล่ะกะว่า จะไม่ยุ่งเรื่องของประเทศไทยล่ะ แต่นี่มายุ่งกับผมเองน่ะ ปิดกั้นได้ก็แค่ในประเทศอัลไตย์แลนด์เท่านั้นแหละ มึงปิดนานาชาติไม่ได้หรอก คุณมึงจะมาโทษกูไม่ได้น่ะครับรอบนี้ นักข่าวมาสัมภาษณ์กูก็ให้คำตอบเขาหมด เมื่อกี้กูพึ่งวางสายจากสำนักข่าวนิวซีแลนด์เฮอรัลไป (หนังสือพิมพ์ที่ขายดีที่สุดในประเทศ) กูจะไปซื้อมาเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้ถ่ายมาให้ดู...."

ไม่แปลกสำหรับปฏิกิริยาที่ไม่สะทกสะท้านของ “ไอ้ตั้ง” กับปฏิบัติการรุกไล่ของ “รัฐบาลไทย” ในมาตรการดังกล่าวเลย เพราะอย่างที่ทราบกันว่า หลายประเทศมักจะหลิ่วตาสำหรับผู้ต้องหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่หนีออกไปจากประทศไทย โดยคิดว่า ข้อหานี้เป็นเรื่องของการเมือง

แม้ที่ผ่านมา “รัฐบาลไทย” ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะพยายามชี้แจงกับนานาประเทศทุกครั้งที่มีโอกาสว่า ข้อหาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นคดีอาญา ซึ่งอยู่ในข่ายที่สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้

ขณะที่ “บิ๊กต๊อก” พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และทีมงาน ก็พยายามรุกในประเด็นนี้เพื่อตอกย้ำให้นานาประเทศเข้าใจ

แต่อย่างที่รู้กันว่า มันไม่ง่ายเลย เพราะการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะเป็นข้อหาที่เป็นสากล หรือที่หลายประเทศมีเหมือนกัน อาทิ ยักยอกทรัพย์ ค้ามนุษย์ ค้าอาวุธสงคราม ยาเสพติด ฯลฯ ในลักษณะพวกอาชญากรเสียเป็นส่วนมาก ทว่ามาตรา112ของไทยนั้นแม้จะเป็นคดีอาญา แต่เป็นกฎหมายเฉพาะตัวที่มีอยู่ประเทศเดียว ประเทศอื่นไม่มี โดยเฉพาะประเทศที่ไม่มีระบบกษัตริย์

การประสานไปยังประเทศที่ผู้ต้องหาหลบหนีเลยมักจะ “จั่วลม” อยู่เสมอ และเป็นสาเหตุให้พวกนี้ได้ใจ ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เหมือนกับการแสดงออกของ "ไอ้ตั้ง“ ในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

“รัฐบาลไทย” เองนั้นทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากแสดงความพยายามเหมือนกับที่ทำกับ “ไอ้ตั้ง” ในครั้งนี้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่า ประเทศต้นทางสามารถพลิ้วได้หลายทาง ไม่ว่าจะในลักษณะหลิ่วตา หรือปล่อยให้เรื่องเงียบซาหายไปเอง

สิ่งที่ทำได้คือ ทำให้คนไทยด้วยกันเห็นว่า “รัฐบาลบิ๊กตู่” ไม่ได้นิ่งนอนใจกับผู้ต้องหาที่จาบจ้วงสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย มีความพยายามทุกวิถีทางเพื่อลากคอมาลงโทษ กับทำให้ประเทศต้นทางต่างๆ รับรู้ว่า คนไทยไม่สบายใจกับการที่ประเทศนั้นๆ ปล่อยให้คนเหล่านี้ใช้เป็นฐานในการใส่ร้ายป้ายสีสถาบันที่คนไทยรักและเทิดทูน

ตีฆ้องร้องป่าวให้เห็นถึง “ใจเขา ใจเรา” หากวันหนึ่งประเทศตัวเองต้องเจอปัญหานี้บ้าง

แน่นอนมีบางประเทศที่เริ่มรับรู้ถึง “สาร” ที่ “รัฐบาลไทย” พยายามส่งสัญญาณไปถึง และพยายามตอบสนองด้วยวิธีการอื่นเท่าที่พอทำได้ โดยเฉพาะการกดดันคนเหล่านี้ไม่ให้เคลื่อนไหวอะไรมากนักหากยังจะใช้ประเทศของเขาเป็นที่พักพิงต่อไป

ไม่เพียงแต่เรื่องของ “ไอ้ตั้ง” เท่านั้น บรรดาผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 อีก 30 รายที่หลบหนีอยู่ในหลายประเทศก็ประสบปัญหาเฉกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศใกล้ไกล ซึ่งปรากฎชื่อตามที่คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความั่นคงภายในราชอาณาจักรเคยชงชื่อใหห้ประทรวงการต่างประเทศประสานเพื่อติดตามตัวไปก่อนหน้านี้

ไล่ตั้งแต่ประเทศลาว จำนวน 14 ราย ประกอบด้วย 1. นายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ อั้ม เนโกะ 2. นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ สุรชัย แซ่ด่าน 3. นายอิทธิพล สุขแป้น หรือ ดีเจเบียร์ แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ 4. นายวัฒน์ วรรลยางกูร 5. นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี 6. นายชูชีพ ชีวสุทธิ์ หรือ ชีพ ชูชัย 7. นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล หรือ หนุ่ม เรดนนท์ 8. นายพิพัฒน์ พรรณสุวรรณ 9. นายนิธิวัต วรรณศิริ 10. นายชฤต โยนกนาคพันธุ์ หรือโยนก ไฟเย็น 11. นายชัยอนันต์ ไผ่สีทอง หรือ อุ๊ ไฟเย็น 12. นายไตรรงค์ สินสืบวงศ์ หรือ ขุนทอง ไฟเย็น 13. นางสุดา รังกุพันธุ์ หรือ อาจารย์หวาน 14. นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์

ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย 1. นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน 2. นายเสน่ห์ ถิ่นแสน หรือ เพียงดิน 3. นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน 4. นายริชาร์ด สายสมร 5. นาย จุติเทพ (เลอพงษ์) วิไชยคำมาตย์ หรือ โจ กอร์ดอน ประเทศกัมพูชา 3 ราย ประกอบด้วย 1. นายพิษณุ พรหมศร 2. นายจักรภพ เพ็ญแข 3. นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ประเทศออสเตรเลีย 1 ราย คือ นายองอาจ ธนกมลนันท์ ประเทศนิวซีแลนด์ 1 ราย คือ นายเอกภาพ เหลือรา หรือ ตั้ง อาซีวะ ประเทศญี่ปุ่น 1 ราย คือ นายปวิณ ชัชวาลพงศ์พันธ์ ประเทศฝรั่งเศส 1 ราย คือ นายจรัล ดิษฐาภิชัย ประเทศสเปน 1 ราย คือ นายอิมิลิเอ เอสเทแบบ ประเทศฟินแลนด์ 1 ราย คือ นางจรรยา ยิ้มประเสริฐ ประเทศแคนาดา 1 ราย คือ พ.ต.อ.หญิง ณหัทย- ตัญญะ

ซึ่งผู้ต้องหาเหล่านี้ก็รู้ดีถึงแรงกดดันที่ “รัฐบาลไทย” พยายามส่งสัญญาณไปยังประเทศต่างๆ จึงมีหลายรายที่ดิ้นพล่านเพื่อขอลี้ภัยไปยังประเทศอื่น โดยหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจาก “สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ” หรือยูเอ็นเอชซีอาร์ เหมือนกับกรณีของ “ไอ้ตั้ง” ที่ได้เป็นพลเมืองของประเทศนิวซีแลนด์ไปก่อนหน้านี้

เช่นเดียวกับการที่ “ไอ้ตั้ง” ออกมา “โชว์เกรียน” ผ่านคีย์บอร์ดอีกครั้ง หลังเงียบหายไปนาน แม่หนึ่งอาจจะเป็นการท้าทาย “รัฐบาลไทย” แต่อีกแง่เหมือนเป็นการยอมรับกลายๆว่า ที่ผ่านมาต้องทำตัว “โลว์โปรไฟล์” สงบปากสงบคำอย่างที่ว่า แท้จริงแล้วเป็นเพราะถูกกดดันจากรัฐบาลต้นทางให้ลดการเคลื่อนไหวลงหรือไม่ แลกกับการที่ซุกหัวนอน จากคนปากเก่งเลยต้องลดดีกรีความดุเดือดลงไป

อีกทั้งถูกคนไทยในแผ่นดินกีวีที่จงรักภักดีสถาบันฯ ก็ยังเคลื่อนไหวต่อต้าน “ไอ้ตั้ง” อย่างหนัก ทำให้ชีวิตผู้ร้ายหลบหนีดีมีความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน

แม้ที่ผ่านมา “ไอ้ตั้ง” พยายามจะสื่อออกมาหลายครั้งว่า ไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับมาตรการต่อต้านของคนไทยที่นั่น แต่โดยธรรมชาติของคนเมื่อถูกตอดเล็กตอดน้อยบ่อยๆ ย่อมเกิดความรำคาญใจได้ ไม่ได้อยู่อย่างสบายใจเหมือนภาพที่ออกมา

หรือการออกไปพะบู๊ตามนิสัยอันธพาลก็คงไม่ส่งผลดีต่อสถานภาพ “ผู้ลี้ภัย” เป็นแน่ การจะย่างกรายออกจากที่ซุกหัวนอนแต่ละครั้งจึงต้องคิดแล้วคิดอีก

ขณะที่การออกมาทำ “ปากกล้าขาสั่น” เที่ยวนี้ก็ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปต้องการแสดงให้เห็นว่า ยังอยู่ดีมีสุข ไม่ได้สะพรึงกลัวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอะไรนั่น เพื่อเป็นการ “ตบหน้า” รัฐบาล ดังนั้น เป็นเรื่องของอารมณ์ “เกรียน” ล้วนๆ

แต่ข้อเท็จจริงก็คือ “ไอ้ตั้ง” เองก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้เช่นกัน จาก “อันธพาลปากเก่ง” จึงต้องมาสวมบทเป็น “นักเลงคีย์บอร์ด” ในโลกโซเชียลมีเดีย การจะใช้ประเทศดังกล่าวเป็นฐานในการโจมตีประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องที่หมิ่นเหม่กระทบความรู้สึกคนไทยคงยากขึ้น เพราะย่อมรู้อยู่เต็มอกว่า ไม่ง่ายเหมือนก่อน

ช่วงนี้อาจจะมีซ่าๆถี่ขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เป็นไปโดยปกติเหมือนทุกครั้งเวลาที่สื่อหันกลับไปนำเสนอข่าวนี้ ก็มักจะเคลื่อนไหวนู่นเคลื่อนไหวนี่ให้ตกเป็นข่าวเพื่อส่งสัญญาณให้เห็นว่า อยู่สุขสบาย ไม่ได้มีผลกระทบอะไร แต่สักพักจะเงียบหายไปเอง

ฝ่ายรัฐก็ยอมรับว่า การลากคอ “ไอ้ตั้ง” กลับเข้ามานอนซังเตในประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องยาก ยกเว้นทางการไทยจะสามารถเชื่อมโยงว่า “ไอ้ตั้ง” มีส่วนรู้เห็นในคดีอาญาอื่นๆ ที่เป็นคดีสากล ซึ่งสามารถทำเรื่องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้

แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ว่า ไม่สามารถทำอะไรผู้ต้องหาหมิ่นบรมเดชานุภาพคนนี้ได้เลย เพราะมาตรการกดดันต่างๆ ทั้งจากทางไทย และจากประเทศที่ให้ที่พักพิง สามารถทำให้การดำรงชีวิตของ “ไอ้ตั้ง” ไม่ราบรื่น เหมือนกิจวัตรประจำวันของคนอื่นๆ ทั่วไป

สิ่งที่ “ไอ้ตั้ง” พยายามถ่ายทอดออกมาว่า อยู่ดีมีสุข บางครั้งก็ไม่ได้สุขจริงๆ อย่างที่ปากว่า แต่เป็นการ “โชว์เกรียน” กลบเกลื่อนไปเท่านั้นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น