ASTVผู้จัดการรายวัน-บอร์ดรฟม.เห็นชอบปรับรูปแบบลงทุนรถไฟฟ้าสีชมพูและสีเหลือง ให้สัมปทานเอกชนลงทุน100% หรือ PPP Net Cost เหมือนรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อลดความเสี่ยงและการลงทุนของภาครัฐ ชี้เหมาะสมกับระบบโมโนเรล เร่งชงคมนาคมเพื่อเสนอครม. ส่วนเดินรถสีน้ำเงิน คาดกลางมิ.ย.บอร์ดสภาพัฒน์จะพิจารณา พร้อมเร่งประสานกทม.และตำรวจจราจร วางแผนก่อสร้างสีเขียวเหนือช่วงรื้อสะพานรัชโยธินและเกษตร เริ่มก.ย.นี้
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดรฟม. เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. มีมติเห็นชอบ การลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 34.5 กม. ค่าก่อสร้างงานโยธา 31,261 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง(ลาดพร้าว-สำโรง ) ระยะทาง 30.4 กม. ค่าก่อสร้างงานโยธา 31,675 ล้านบาท ในรูปแบบ PPP Net Cost
โดยให้สัมปทานเอกชน ซึ่งเอกชนจะต้องรับภาระลงทุน 100% (ทั้งค่าก่อสร้างงานโยธา ระบบราง ขบวนรถไฟฟ้า รวมถึงบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุง) โดยให้ รฟม. ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 56 ) ซึ่งรูปแบบนี้เหมาะสมกับระบบรถโมโนเรลโดยมีข้อดีคือ รัฐรับภาระความเสี่ยงน้อยที่สุด รับภาระการลงทุนน้อย ระยะเวลาก่อสร้างสั้นลง 6-12 เดือน มีข้อดีในการบริหารจัดการในระระยาว โดยเอกชนเป็นผู้รับความเสี่ยงในการลงทุนแทนรัฐ โดยรฟม.จะสรุปรายละเอียดเสนอกระทรวงคมนาคมภายในสัปดาห์นี้ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ หลักการประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าทั่วไปในระบบเฮฟวี่เรล เช่น รถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉลิมมหานครนั้นจะประมูล 3 สัญญา คือ สัญญาก่อสร้างงานโยธาและราง สัญญาจัดหาระบบรถ และสัญญาผู้เดินรถ โดยทยอยประมูลทีละสัญญา แต่ระบบโมโนเรลนั้น จำเป็นต้องคัดเลือกระบบรถก่อนว่าเป็นโมโนเรลแบบใด
เนื่องจากแต่ละระบบมีศักยภาพในการขนผู้โดยสารแตกต่างกันดังนั้นรฟม.จึงทบทวนโดยปรับเป็นการประมูลรวมเป็นแพคเกจทั้งงานก่อสร้างราง จัดหาระบบรถและบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงพร้อมกัน โดยจะกำหนดรายละเอียดคุณสมบัติ เทคนิคเป็นกรอบกว้างๆ ไว้ในเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ เช่น กำหนดความต้องการในการขนผู้โดยสารประมาณ
35,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง การให้บริการ การซ่อมบำรุง และคัดเลือกรายที่มีข้อเสนอดีที่สุด คือ มีมูลค่าลงทุนต่ำที่สุด หรือกรณีที่ต้องให้รัฐสนับสนุนจะต้องน้อยที่สุด จึงจะเป็นผู้ชนะ โดยคาดว่าอายุสัมปทานที่เหมาะสมที่ประมาณ 30 ปี
“รูปแบบจะเหมือนโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสที่เอกชนลงทุนก่อสร้างทั้งหมดและรับสัมปทานเดินรถรับความเสี่ยงแทนภาครัฐ ซึ่งรฟม.ได้เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย แต่ละวิธีอย่างรอบคอบ พบว่า การให้เอกชนลงทุน 100% สะดวกที่สุด สำหรับระบบโมโนเรล โดยวงเงินลงทุนรวมทั้งโครงการจะอยู่ที่ประมาณ 5.4-5.5 หมื่นล้านบาท รัฐจะรับภาระค่าเวนคืน และข้อเสนอที่เอกชนขอให้อุดหนุนเท่านั้น และรัฐจะกำหนดค่าโดยสารที่เหมาะสมได้เอง ซึ่งจะเปิดประมูลแบบสากล เอกชนจอยเวนเจอร์กันเข้ามา โยปัจจุบัน เทคโนโลยีโมโนเรล มีหลายประเทศ เช่น ฉงชิ่ง ของจีน, ฮิตาชิของญี่ปุ่น, บอมบาร์ดิเอร์ ฝรั่งเศส, สโคมิของมาเลเซีย”
ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต)ขณะนี้กำลังประสานกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตำรวจจราจรเพื่อจัดทำแผนก่อสร้างเพื่อให้กระทบต่อการจราจรน้อยที่สุด โดยมีกำหนดรื้อสะพานข้ามแยกรัชโยธินเดือนก.ย.และ สะพานข้ามแยกเกษตรเดือนพ.ย.นี้ และใช้เวลาก่อสร้างรวมประมาณ 2 ปีในช่วงดังกล่าว
ส่วนการคัดเลือกเอกชนลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระคาดว่า คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดสภาพัฒน์)จะประชุมกลางเดือนมิ.ย.นี้ หากบอร์ดสภาพัฒน์ฯและคลังเห็นชอบตามที่ คณะกรรมการ มาตรา13 พรบ.ว่าด้วยเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ให้เจรจาตรงกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL จะเสนอ ครม.เห็นชอบต่อไป นอกจากนี้บอร์ดยังให้รฟม.ศึกษาแผนก่อสร้างรถไฟฟ้าใน 5 เมืองใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาจราจร คือ เชียงใหม่ นครราชสีมา หาดใหญ่ ภูเก็ต และชลบุรี
พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมบอร์ดรฟม. เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. มีมติเห็นชอบ การลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 34.5 กม. ค่าก่อสร้างงานโยธา 31,261 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง(ลาดพร้าว-สำโรง ) ระยะทาง 30.4 กม. ค่าก่อสร้างงานโยธา 31,675 ล้านบาท ในรูปแบบ PPP Net Cost
โดยให้สัมปทานเอกชน ซึ่งเอกชนจะต้องรับภาระลงทุน 100% (ทั้งค่าก่อสร้างงานโยธา ระบบราง ขบวนรถไฟฟ้า รวมถึงบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุง) โดยให้ รฟม. ดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 56 ) ซึ่งรูปแบบนี้เหมาะสมกับระบบรถโมโนเรลโดยมีข้อดีคือ รัฐรับภาระความเสี่ยงน้อยที่สุด รับภาระการลงทุนน้อย ระยะเวลาก่อสร้างสั้นลง 6-12 เดือน มีข้อดีในการบริหารจัดการในระระยาว โดยเอกชนเป็นผู้รับความเสี่ยงในการลงทุนแทนรัฐ โดยรฟม.จะสรุปรายละเอียดเสนอกระทรวงคมนาคมภายในสัปดาห์นี้ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ หลักการประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าทั่วไปในระบบเฮฟวี่เรล เช่น รถไฟฟ้าใต้ดินสายเฉลิมมหานครนั้นจะประมูล 3 สัญญา คือ สัญญาก่อสร้างงานโยธาและราง สัญญาจัดหาระบบรถ และสัญญาผู้เดินรถ โดยทยอยประมูลทีละสัญญา แต่ระบบโมโนเรลนั้น จำเป็นต้องคัดเลือกระบบรถก่อนว่าเป็นโมโนเรลแบบใด
เนื่องจากแต่ละระบบมีศักยภาพในการขนผู้โดยสารแตกต่างกันดังนั้นรฟม.จึงทบทวนโดยปรับเป็นการประมูลรวมเป็นแพคเกจทั้งงานก่อสร้างราง จัดหาระบบรถและบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงพร้อมกัน โดยจะกำหนดรายละเอียดคุณสมบัติ เทคนิคเป็นกรอบกว้างๆ ไว้ในเงื่อนไขการประกวดราคา (TOR) เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ เช่น กำหนดความต้องการในการขนผู้โดยสารประมาณ
35,000 คนต่อชั่วโมงต่อทิศทาง การให้บริการ การซ่อมบำรุง และคัดเลือกรายที่มีข้อเสนอดีที่สุด คือ มีมูลค่าลงทุนต่ำที่สุด หรือกรณีที่ต้องให้รัฐสนับสนุนจะต้องน้อยที่สุด จึงจะเป็นผู้ชนะ โดยคาดว่าอายุสัมปทานที่เหมาะสมที่ประมาณ 30 ปี
“รูปแบบจะเหมือนโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสที่เอกชนลงทุนก่อสร้างทั้งหมดและรับสัมปทานเดินรถรับความเสี่ยงแทนภาครัฐ ซึ่งรฟม.ได้เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย แต่ละวิธีอย่างรอบคอบ พบว่า การให้เอกชนลงทุน 100% สะดวกที่สุด สำหรับระบบโมโนเรล โดยวงเงินลงทุนรวมทั้งโครงการจะอยู่ที่ประมาณ 5.4-5.5 หมื่นล้านบาท รัฐจะรับภาระค่าเวนคืน และข้อเสนอที่เอกชนขอให้อุดหนุนเท่านั้น และรัฐจะกำหนดค่าโดยสารที่เหมาะสมได้เอง ซึ่งจะเปิดประมูลแบบสากล เอกชนจอยเวนเจอร์กันเข้ามา โยปัจจุบัน เทคโนโลยีโมโนเรล มีหลายประเทศ เช่น ฉงชิ่ง ของจีน, ฮิตาชิของญี่ปุ่น, บอมบาร์ดิเอร์ ฝรั่งเศส, สโคมิของมาเลเซีย”
ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต)ขณะนี้กำลังประสานกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตำรวจจราจรเพื่อจัดทำแผนก่อสร้างเพื่อให้กระทบต่อการจราจรน้อยที่สุด โดยมีกำหนดรื้อสะพานข้ามแยกรัชโยธินเดือนก.ย.และ สะพานข้ามแยกเกษตรเดือนพ.ย.นี้ และใช้เวลาก่อสร้างรวมประมาณ 2 ปีในช่วงดังกล่าว
ส่วนการคัดเลือกเอกชนลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระคาดว่า คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดสภาพัฒน์)จะประชุมกลางเดือนมิ.ย.นี้ หากบอร์ดสภาพัฒน์ฯและคลังเห็นชอบตามที่ คณะกรรมการ มาตรา13 พรบ.ว่าด้วยเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ให้เจรจาตรงกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BMCL จะเสนอ ครม.เห็นชอบต่อไป นอกจากนี้บอร์ดยังให้รฟม.ศึกษาแผนก่อสร้างรถไฟฟ้าใน 5 เมืองใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาจราจร คือ เชียงใหม่ นครราชสีมา หาดใหญ่ ภูเก็ต และชลบุรี