xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ย้อนรอยคำสั่ง คสช. ถึง ครม.อนุมัติยืมเงินกองทุน กสทช. 1.43 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบให้ “สำนักงบประมาณ” กระทรวงการคลัง ยืมเงินจากกองทุน กสทช. จำนวน 14,300 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน ที่มี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน

โครงการดังกล่าว จะต้องกู้เงินกว่า 7 หมื่นล้านบาท และกระทรวงคลังสามารถกู้เงินสกุลต่างประเทศได้ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท แต่หากการเงินการคลังในประเทศมีเสถียรภาพก็อนุมัติให้กู้เงินบาทได้ ดังนั้น ทางกระทรวงคลัง จึงขอกู้เงินจากกองทุน กสทช.แทน เพราะมีเงินเหลือจากการประมูลคลื่นความถี่ 4,351.90 ล้านบาท

เรื่องนี้จากเดิม ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่า ด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงให้สามารถส่งเสริมสนับสนุนด้านงบประมาณ ให้กระทรวงการคลังสามารถยืมเงินกองทุนของ กสทช.เพื่อใช้ในกิจการของรัฐ อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะได้นั้น

“พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า การให้ยืมเงินจากกองทุนดังกล่าวจำนวน 14,300 ล้านบาทเพื่อใช้ในโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน ที่มี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน ซึ่งโครงการดังกล่าวจะต้องมีการกู้เงินกว่า 7 หมื่นล้านบาท และกระทรวงคลังสามารถกู้เงินสกุลต่างประเทศได้ราว 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากการเงินการคลังในประเทศมีเสถียรภาพก็อนุมัติให้กู้เงินบาทได้

กรณีนี้ “กระทรวงคลัง” จึงขอกู้เงินจากกองทุน กสทช.แทน ซึ่งมีเงินเหลือจากการประมูลคลื่นความถี่ 4,351.90 ล้านบาท และเงินกองทุนเหลืออยู่ 15,440 ล้านบาท แต่เงินจำนวนหลังต้องเก็บไว้ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับบริการโทรคมนาคมประมาณ 5,400 ล้านบาท จึงเหลือเงินกองทุนฯ ที่สามารถให้ยืมได้ 10,000 ล้านบาท รวมกับเงินเหลือจากการประมูลคลื่นความถี่ 4,300 กว่าล้านบาท เป็นให้กู้ได้ 14,300 ล้านบาท ทำให้สามารถประหยัดดอกเบี้ยได้ถึง 560 ล้านบาท

ทั้งนี้ มติ ครม.เมื่อวันที่ 17 มี.ค.58 เป็นแผนงานโครงการตามเงินกู้เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน ซึ่งของเดิมมี 1,200 รายการ ของใหม่เพิ่มเป็น 1,297 รายการ แต่ให้ใช้วงเงินเท่าเดิมคือ 78,294.85 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเงินกู้จาก กสทช.จำนวน 14,300 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้ ครม.ได้มีมติอนุมัติให้ “กระทรวงการคลัง” กู้เงิน จำนวน 78,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำและการสร้างถนน อย่างไรก็ดี สำนักงบประมาณรายงานว่า ถ้าเปลี่ยนไปกู้จากกองทุนจะช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยซึ่งเป็นภาระของรัฐบาลได้ 560 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนั้น ที่ประชุม ครม.ยังรับทราบแผนจัดการน้ำระยะเร่งด่วน แต่ให้มีการปรับรายละเอียดโครงการตามมติ ครม.เมื่อ 24 ก.พ.58 ที่กำหนดใช้งบกลาง มีการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดจากเดิม 224 รายการ จากทั้งหมด 1,838 รายการ เนื่องจากบางพื้นที่ไม่สามารถดำเนินการได้ เช่น อยู่ในเขตพื่นที่ป่าอนุรักษ์ พื้นที่อุทยาน พื้นที่ประวัติศาสตร์ บางกรณีเป็นพื้นที่ซ้ำซ้อนกับโครงการอื่น

"เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตำหนิว่าการบูรณาจัดทำแผนงานในระดับกระทรวง กรมเป็นไปตามปกติ แต่ระดับล่างหรือระดับท้องถิ่นคิดแผนมาไม่ดี ถ้าทำตามที่สั่งตั้งแต่แรกคือมีการบูรณาการแผนงานตั้งแต่ระดับจังหวัดก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้"แหล่งข่าว กล่าว

นายกรัฐมนตรี ยังได้สอบถามว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อภาพใหญ่แผนบริหารจัดการน้ำหรือไม่ ซึ่ง พล.อ.ฉัตรชัย ชี้แจงว่าไม่มีผลกระทบ เพราะได้ปรับแผนทุกอย่างให้สอดคล้องกับข้อมูลสภาพอากาศที่ได้จากกรมอุตุนิยมวิทยา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแล้ว สามารถตอบโจทย์ต่อวิกฤติการณ์ต่างๆได้

"สมหมาย" แจงดอกเบี้ยถูกกว่ากู้จากแหล่งเงินทั่วไป นับเป็นหนี้สาธารณะเหมือนกัน

เช้าวันรุ่งขึ้น “นายสมหมาย ภาษี” รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ว่า มติ ครม. อนุมัติให้ยืมเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะของสำนักงาน กสทช. จำนวน 14,300 ล้านบาท เพื่อใช้แทนเงินกู้เดิมที่ ครม.เห็นชอบไปก่อนหน้านี้ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างระบบบริหารจัดการน้ำและการสร้างถนน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยจะถูกกว่าการกู้จากแหล่งเงินอื่น

"กสทช.เขาโอเคมาแล้ว เงินเขาเหลือ โดยถ้ากู้ได้จากกองทุนของ กสทช ได้เท่าไหร่ ก็จะลดการกู้ตามมติ ครม.เดิมไปได้เท่านั้น คือเป็นการกู้มาแทน กู้ได้ ก็เหมือนกู้จากแหล่งเงินกู้ทั่วไป กระทรวงการคลังต้องกู้ให้ นับเป็นหนี้สาธารณะเหมือนกัน แต่ดอกเบี้ยอาจจะถูกกว่า" นายสมหมายกล่าว

นอกจากนั้น ยังได้สอบถามนายสมศักดิ์ โชติรัตนศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณว่า เงินนี้จะใช้ได้นานแค่ไหน ก็ได้รับรายงานว่า กองทุนยังจะมีเงินเข้ามาอีก โดยเมื่อมีกระทรวงดิจิตอลก็จะต้องใช้เงินจากกองทุนนี้ด้วยเช่นกัน

“อภิสิทธิ์” ชี้เป็นดุลพินิจรัฐบาล แต่หวั่นใช้เงินเดิมผิดวัตถุประสงค์กองทุน

ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า หากรัฐบาลคิดว่า กสทช.มีเงินมากไป และกฎหมายที่เพิ่งแก้ระบุให้นำเงินที่ได้จาก กองทุน กสทช.ให้นำมาเข้าคลัง ก็สามารถใช้ดุลพินิจได้ แต่ถ้าเป็นเงินก้อนเดิมที่อยู่ในกองทุนฯก็จะเป็นการใช้เงินผิดประเภท เพราะแต่ละกองทุนจะมีวัตถุประสงค์ ดังนั้นทางที่ดีคือ รัฐบาลควรหารายได้แทนการกู้เงิน จึงต้องปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้เงินให้มากกว่านี้ ถ้าหากเป็นตนคงไม่ใช้วิธีนี้เป็นทางเลือกแรก

ย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 9 ก.ค. 2557 มีประกาศ คสช. ฉบับที่ 80/2557 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฏหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (พ.ร.บ. กสทช.) โดยมีประเด็นสำคัญคือการแก้ไขให้เงินที่ได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการ เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วให้ส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน (รวมถึงเงินประมูลทีวีดิจิตอลในงวดที่ 2-6 รวมถึงเงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ในอนาคต)

นอกจากนี้ในประกาศได้มีการแก้ไข พ.ร.บ. กสทช. ในส่วนอื่นๆ โดยเพิ่มวัตถุประสงค์ของ “กองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)” ให้กระทรวงการคลังยืมเงินไปใช้ในกิจการของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะได้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยเพิ่ม ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เข้ามาเป็นกรรมการ และตัดผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ออก ให้เหลือเพียงผู้ทรงคุณวุฒิ เพียง 2 คน

แถมยังมี คำสั่งว่า ให้นำเงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ที่ยังไม่ได้ส่งเข้ากองทุนฯ ส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดินภายใน 15 วัน

เรื่องนี้ทำเอา “กรรมการ กสทช.” อย่าง “สุภิญญา กลางณรงค์” โพตส์ทวิตเตอร์ ในวันนั้นว่า “คำสั่ง คสช. คงหวังรื้อคณะกรรมการ กสทช. ด้วย คนที่หวังให้เอาเงินประมูลคลื่นไปสร้างโรงเรียน ให้เด็กยืมเรียน ก็มีความหวังแล้วนะฮะ...”



กำลังโหลดความคิดเห็น