xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“นายกฯ ลุงตู่” ครับ ถอดยศ “แม้ว” ได้ยัง?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ออกหมัดแย๊บบวกเต้นฟุตเวิร์กติ๊ดชึ่งกันอยู่นานสองนานจนกองเชียร์ปวดหัว ในที่สุด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กับ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ก็ถึงเวลา “แลกหมัดตรงๆ” กันเสียที โดยมีชนวนมาจาก “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็นน้องสาวซึ่งต้องคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

กระนั้นก็ดี การแลกหมัดครั้งนี้ กำลังเป็นที่จับตาของสังคมว่า จะฮึ่มฮั่มกันให้เจ็บคอพอเป็นพิธี หรือจะถึงขั้นประจันหน้ากันแบบหมัดต่อหมัดชนิดยิงหมัดฮุคหรืออัพเปอร์คัทเข้าปลายคางหรือลิ้นปี่ให้น็อกเอาท์คาเวที

โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องเพราะสงครามคารมของทั้งสองฝ่ายที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ถ้าปล่อยให้เงียบหายไปกับสายลมก็จะเกิดคำถามจากสังคมจนยากที่จะรับไหวและอาจส่งผลทำให้สถานภาพของรัฐบาลและ คสช.สั่นคลองกันเลยทีเดียว

นช.แม้วป้องน้องปู ดับเครื่องชน “สถาบัน”

สงครามครั้งนี้ เริ่มต้นเปิดฉากโดยนักโทษชายหนีคดีทักษิณที่ได้รับเชิญไปปาฐกถาที่ประเทศเกาหลีใต้ ได้ให้สัมภาษณ์พาดพิงถึงเบื้องหลังการทำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ว่า องคมนตรี ทหาร นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ร่วมมือกันยึดอำนาจรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

“คือ ประเทศไทยนี่ ... ตราบใดที่เขาปล่อยให้ทำงาน ก็ยังมีอำนาจ แต่ถ้าไม่ปล่อยให้ทำงานก็ไม่มีอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองคมนตรีทั้งหลาย ก็เที่ยวนี้ก็.. ทหารก็จะฟังองคมนตรี เพราะตอนที่เขาไม่ต้องการให้เราอยู่ เขาก็ให้สุเทพออกมา และให้ทหารเข้ามาช่วย เลยทำให้เราไม่มีอำนาจอะไร ผมก็เลยคุยกับนายกฯ ปูว่าเหตุการณ์เหมือนที่พี่โดนมา

“ทหารเขาอาจจะชื่นชอบประชาธิปไตยแบบพม่า ที่พม่าเลิกแล้ว แต่เค้าชอบอย่างนั้นไง เราไม่รู้ ผมก็ยังตำหนิเค้าไป เขาก็ยังอายุน้อย เค้าคงโกรธ...ที่ปฏิวัติแบบนี้ เค้าก็คงโกรธว่าประเทศไทยมาดีๆ แล้ว...แต่เค้าคงโกรธนะ เราเป็นครอบครัวสาธารณะ จะพูดอะไรต้องระมัดระวัง”

นั่นคือ คำพูดของ นช.ทักษิณที่ แฟนเพจ “หยุดดัดจริตประเทศไทย” ได้นำเผยแพร่ โดยอ้างว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ต่อ Chosun Media และต่อมามีการเผยแพร่ทาง youtube มีความยาว 1.32 นาที

เป็นการปล่อยคลิปคำให้สัมภาษณ์ของ นช.ทักษิณออกมาในวาระครบรอบ 1 ปีของการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดย พล.อ.ประยุทธ์

นช.ทักษิณประกาศชัดว่า ตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ก็คือ “องคมนตรี” โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณและทหารเป็นมือไม้ในการยึดอำนาจ

นี่คือการกล่าวหาสถาบันเบื้องสูงที่ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่าอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจ เพราะต้องไม่ลืมว่า นช.ทักษิณเจตนาใช้คำว่า “องคมนตรี” โดยไม่อ้อมค้อมเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา และคนไทยทั้งประเทศก็รู้ดีว่า องคมนตรีก็คือ “ที่ปรึกษาของสถาบัน”

ไม่เพียงเท่านั้น นช.ทักษิณยังตอกลิ่มลงไปด้วยว่า การทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ผู้อยู่เบื้องหลังก็คือคนกลุ่มเดียวกัน

แม้ นช.ทักษิณจะไม่พูดชัดๆ ว่า องคมนตรีคือใคร แต่ก็มิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่า หมายถึง คณะองคมนตรีไทยที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งประธาน

นช.ทักษิณมีเจตนาชัดเจนที่จะสื่อสารเพื่อประกาศต่อประชาชนคนไทยว่า ถ้าหากเล่นงานนางสาวยิ่งลักษณ์ในคดีทุจริตรับจำนำข้าว เขาและกองทัพเสื้อแดงก็พร้อมจะออกมาโลดแล่นอยู่บนท้องถนนอีกครั้ง

ที่สำคัญคือ นช.ทักษิณระบุว่าต้องการให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่สนับสนุนและต้องการให้กลับประเทศไทย รอคอยอย่างอดทน จนกว่าเสียงเรียกร้องจะแข็งแกร่งขึ้น จึงจะเดินทางกลับประเทศ และกลับสู่การเมืองอีกครั้ง

และแน่นอนว่า ฉับพลันที่ นช.ทักษิณเปิดประเด็นสร้างวาทกรรมโจมตี การตอบโต้ก็ออกมาเป็นระลอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้นำการรัฐประหาร ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

พล.อ.ประยุทธ์ประกาศชัดเจนว่า ในการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นั้น ตัดสินใจทำคนเดียว ไม่มีใครมาสั่ง แม้แต่ครอบครัวก็ไม่รู้ เพราะถ้าไม่ทำบ้านเมืองจะเสียหาย

“เชื่อผมเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร ผมขอเปิดใจอีกครั้งว่า ไม่มีใครสั่งผมได้ เพราะชีวิตผมเข้าใจหรือยังคนเป็นหัวหน้ามีชีวิตและใช้ความรับผิดชอบและตัดสินใจเอง ไม่มีใครมาสั่งการ เหมือนกับจะสั่งให้ผมไปตาย ถ้ามีคนสั่งให้คุณไปตาย คุณไปกันหรือไม่ล่ะ ทหารเขาสั่งได้ สั่งลูกน้องถึงจะไป ผมต้องเป็นตัวอย่างให้เขาในการเข้าทำการสู้รบ ใช้ในเรื่องการสู้รบเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าจะสั่งให้ไปตาย ไปติดคุก ผมไม่ทำ ผมทำของผมเองเพราะเห็นว่าประเทศชาติและประชาชนมีอันตรายอย่างร้ายแรงอยู่ ผมจึงตัดสินใจทำของผมคนเดียว ผมไม่ได้พูดเท็จ ผมตัดสินใจคนเดียว แม้แต่ครอบครัวก็ไม่มีใครรู้ ทุกคนก็เดากันไปมา แต่ผมตัดสินใจวันนั้น เดี๋ยวนั้น นั่นคือตัวผม เมื่อคิดว่ามันไปไม่ได้แล้ว”

“ผมยอมรับว่า ผมทำผิด แต่ถามว่าถ้าหากผมปล่อยวันนั้นไป มันจะมีวันนี้ไหม บ้านเมืองอาจจะล่มสลายไปแล้วก็ได้นะ ถ้ามองในแง่ร้ายและอีกอย่างหนึ่งบ้านเมืองจะไปกันอย่างไร รัฐบาลยังอยู่ มีทหาร มีตำรวจคอยดูแลรักษาความปลอดภัย และก็มีม็อบใช้อาวุธยิงใส่กัน ถ้าหากแก้ปัญหาไม่ได้ เจ็บตายกันไปทุกวัน การค้าการลงทุนก็ทำไม่ได้ นักธุรกิจก็จะอพยพหนีไปกันหมด รวมทั้งยังมีปัญหาในเรื่องเสถียรภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งรัฐบาลที่ไม่มีอำนาจเต็มมันทำอะไรไม่ได้ ผมถามว่า ถ้าวันนั้นปัญหาทุกอย่างยังมีอยู่แล้วผมเกษียณออกมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ใครจะทำงานและดูแล เพราะกฎหมายก็เขียนล็อกทุกอย่างไว้หมดแล้ว โดยเฉพาะระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณ ใครจะสามารถปลดล็อกได้ ผมก็เอาตัวเข้ามาเสี่ยงทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของผมเลย ผมควรจะเกษียณอายุราชการไปด้วยความสายใจ และมอบภาระความรับผิดชอบให้คนหลังทำงานต่อไป แต่เหตุการณ์มันรอไม่ได้ ผมจึงต้องตัดสินใจ”

ส่วนที่ นช.ทักษิณพูดพาดพิงถึงองคมนตรีว่าอยู่เบื้องหลังนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คิดว่าองคมนตรีคงไม่สบายใจ แต่องคมนตรีเป็นผู้ใหญ่แล้วคงไม่อยากฟัง

ชัดเจนและตรงไปตรงมา พร้อมทั้งท้าให้ นช.ทักษิณกลับประเทศไทยมาสู้คดีอีกด้วย

คสช.จำต้องโต้แรง กต.ยึดพาสปอร์ต

แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้เป็นพิเศษก็คือคำให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ถัดจากวันนั้นไม่กี่วันเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่นักศึกษาออกมาจัดชุมนุมเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีของการทำรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ที่หอศิลปะแห่งกรุงเทพมหานคร

“ถ้าถูกกฎหมายก็กลับมา ถ้าไม่ถูกกฎหมายก็แสดงว่าเขาผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ถึงกลับบ้านไม่ได้ เชื่อมั่นว่าทำความดีไม่ต้องกลัว พระก็เยอะ พกพระอยู่ด้วย สรุปแล้วคนไทยต้องรักกัน พระมหากษัตริย์ไม่ได้ต่อสู้กับสงคราม แต่ต่อสู้กับความยากจน แต่คนเลวก็ไปพูดกันกลับไปกลับมาบิดเบือนไปหมด แล้วก็มีคนเชื่อตาม ท่านเคยใช้เงินอะไรหรือเปล่า เคยไปศูนย์การค้าหรือเปล่าก็ไม่เคย เงินที่มีก็เอาไปช่วยตามโครงการหลวงต่างๆ เท่านั้น ตอนนี้ท่านมีพระชนมายุขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีความสุข คนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจแล้วคล้อยตามมีไม่กี่คนหรอก”

“มี 2 อย่างที่เขายังยึดอำนาจไม่ได้ คือทหารและสถาบัน เขาต้องการทำลาย ถ้าทำลายทั้ง 2 อย่างนี้ได้ก็จะยึดประเทศไทยทั้งหมด โดยใครก็ไม่รู้ ซึ่งทุกคนรู้จักกัน แต่ผมไม่อยากเอ่ยชื่อ”

แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แต่คนไทยรู้ดีว่าคนที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงคือใคร

และตอกย้ำอีกครั้งในการกล่าว ปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “นายกฯพบหอการค้า รวมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2558 ว่า “ผมไม่เคยไปเกลียดใคร แต่ใครจะมาแตะผมไม่ได้ ถ้าว่าผม ผมก็สวนเอา และไม่ได้นั่งทำ feeling เวลาเขาพูดอะไรมาทีก็ตกใจที พูดมาทีก็เอาอีกแล้ว ก็ข้ามกันไม่พ้นเสียทีใช่หรือไม่ อะไรที่เป็นความเลวร้าย เราหยุดไปก็จบ เขาอยากจะพูดก็พูดไป ผมก็พูดได้เพียงอย่างเดียวว่า ถ้าถูกกฎหมายก็กลับมา ถ้าไม่ถูกกฎหมายก็แสดงว่าเขาผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ถึงกลับบ้านไม่ได้ นั่นแหละคือเรื่องของผม อย่างไรผมก็ชนะเขาอยู่แล้วตอนนี้ แต่วันหน้าอยู่ที่พวกท่านว่าจะดูแลผมหรือเปล่า ผมเชื่อมั่นว่าทำความดี ไม่ต้องกลัว พระก็เยอะ พกพระอยู่ด้วย”

ทั้งนี้ ต้องบอกว่า นี่คือมาตรการแรกที่รัฐบาล คสช.กระทำกับนักโทษชายหนีคดี โดยสัญญาณแตกหักดูจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่​นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โคลนนิ่งผู้น้อง ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.​) ลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่งในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ส่งผลให้ถูกกันออกจากสนามการเมืองเบื้องต้น 5 ปี ตามต่อด้วยการไล่บี้เอาผิดทั้งทางความผิดทางอาญาที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งสุดท้ายนางสาวยิ่งลักษณ์ใช้หลักทรัพย์ 30 ล้านบาท ประกันตัวออกไปต่อสู้คดีและศาลห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

ขณะที่พระสุเทพ ปภากโร เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ก็ออกมาตอบโต้ นช.ทักษิณเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้เป็นประเด็นที่ส่งอะไรมากนัก

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์และนายสุเทพแล้ว ยังมีบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งที่ให้สัมภาษณ์เอาไว้อย่างน่าสนใจในอีกไม่กี่วันถัดมาและเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยแม้แต่น้อยแม้จะเป็นการพูดต่างกรรมต่างวาระ และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ข้างต้นเลยแม้แต่น้อย

นั่นก็คือคำให้สัมภาษณ์ของ “เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา” ที่ชื่อ “ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล”

ดร.สุเมธออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องโครงการรับจำนำข้าวในวาระที่มูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ 4 องค์กรพันธมิตร ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศรายชื่อครอบครัวชาวนาที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จากโครงการคัดเลือกครอบครัวชาวนาตัวอย่าง เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา

“ ในส่วนปัญหาข้าวค้างสต๊อกกว่า 18 ล้านตัน คนที่ทำพลาดในการบริหารจัดการข้าวจนเกิดเป็นหนี้ 6-7 แสนล้านบาท ก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งมันแก้กลับคืนยากมากยิ่งบริหารยิ่งตกอันดับ ต้องระวังมากขนาดยังไม่เปิดเออีซี ทั้งนี้ ผมไปดูงานมหาวิทยาลัยที่ประเทศเวียดนาม พบว่าตอนนี้เวียดนามทุ่มงบประมาณมหาศาลในการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวและวางระบบเพาะปลูกใหม่ ต่อไปเราอาจได้กินข้าวหอมมะลิเวียดนาม”

จริงอยู่ แม้จะเป็นการให้สัมภาษณ์ในงานมอบรางวัลครอบครัวชาวนาตัวอย่าง ไม่ได้เป็นการตอบโต้หรืออ้างอิงถึงใคร หรือผู้ใด แต่เนื้อหาสาระที่เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาระบุชัดเจนถึงความผิดพลาดในโครงการรับจำนำข้าว โดยตำหนิอย่างตรงไปตรงมา และพูดชัดว่าคนที่ทำพลาดในการบริหารจัดการข้าวจนเกิดเป็นหนี้ 6-7 แสนล้านบาทต้องรับผิดชอบ

แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อว่า เกิดขึ้นในยุคไหนสมัยไหน แต่คนไทยทุกคนรู้ดีว่า หมายถึงใคร

ส่วนจะเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของนักโทษสัมภเวสีหรือไม่ ไม่ทราบ

กล่าวสำหรับคำพูดและความเคลื่อนไหวของ นช.ทักษิณล่าสุด คำถามที่ประชาชนคนไทยอยากรู้ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์จะทำอะไรกับ นช.ทักษิณ เพราะสิ่งที่นักโทษชายหนีคดีกล่าวถึงคือการจาบจ้วงสถาบันที่ชัดเจนยิ่ง และมิอาจปล่อยให้นิ่งเฉยเลยผ่านไปได้

และในที่สุดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2558 รูปธรรมที่ชัดเจนนอกเหนือจากการทำสงครามตอบโต้ไปมาก็เกิดขึ้นเมื่อกระทรวงการต่างประเทศที่มี “พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร” เป็นรัฐมนตรีได้ประกาศยกเลิกหนังสือเดินทางของ นช.ทักษิณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ด้วยฝ่ายความมั่นคงได้เสนอให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายในอำนาจหน้าที่ เกี่ยวกับเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาเห็นว่า ถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร มีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยหรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย ประกอบกับกรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒, ๓๒๖ และ ๓๒๘ และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ (๓) (๕)

“กระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เข้าข่ายที่จะยกเลิกหนังสือเดินทางตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๒๑ (๔) และข้อ ๒๓ (๒) จึงได้ประกาศยกเลิกหนังสือเดินทาง เลขที่ U957441 และเลขที่ Z530117 ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘”

แน่นอนว่า การยกเลิกหนังสือเดินทางย่อมเกี่ยวข้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ นช.ทักษิณ ไม่เช่นนั้นคงไม่ระบุชัดว่า ถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร มีเนื้อหาบางส่วนที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยหรือชื่อเสียงและเกียรติภูมิของประเทศไทย

นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายว่า กระทรวงฯ ได้ดำเนินการตามหน้าที่ภายหลังได้รับการประสานงานจากหน่วยงานด้านความมั่นคงในการยกเลิกพาสปอร์ต และจากนี้จะส่งหนังสือเวียนถึงสถานเอกอัครราชทูตไทยทั่วโลก เพื่อแจ้งให้ทราบถึงคำสั่งดังกล่าว และถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีพาสปอร์ตไทยอยู่ในการครอบครองแล้ว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ แต่หากจะเคลื่อนไหวในต่างประเทศอย่างไรต่อไปนั้น เป็นการดำเนินการส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ

ทั้งนี้ หากยังจำกันได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ นช.ทักษิณถูกเพิกถอนหนังสือเดินทาง เพราะสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีคำสั่งยกเลิกพาสปอร์ตของ นช.ทักษิณไปแล้วครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่าสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ทว่า ในยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมี “อ้ายปึ้ง-สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้สั่งให้คืนหนังสือเดินทางให้กับนักโทษชายหนีคดีผู้นี้อีกครั้ง

กองเชียร์บี้ “ถอดยศ” รุกดำเนินคดี ม.112

กระนั้นก็ดี แม้จะถูกเพิกถอนหนังสือเดินทางของไทย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้สร้างความกระทบกระเทือนกับนักโทษชายหนีคดีผู้นี้เท่าใดนัก เพราะเขายังคงมีพาสปอร์ตของประเทศมอนเตเนโกร และประเทศนิการากัวใช้อยู่ ซึ่งในช่วงที่ถูกถอนหนังสือเดินทาง เขาได้พิสูจน์ให้เห็นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้วยเหตุนี้ การตอบโต้เพียงแค่การยึดหนังสือเดินทางน่าจะยังไม่พอสำหรับคนชื่อทักษิณ เพราะเมื่อกระทำการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงถึงขนาดนี้แล้ว สมควรอย่างยิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะต้องดำเนินการถอดยศ “พ.ต.ท.” ของชายผู้นี้เสียที เนื่องจากนี่ไม่ใช่ครั้งแรก และถ้อยคำที่ นช.ทักษิณพูดครั้งล่าสุดนี้ไม่ได้มีเพียงแค่คำว่า “องคมนตรี” เท่านั้น หากแต่ยังตั้งใจพูดจาจาบจ้วงสถาบันเกินกว่าที่คนไทยจะรับได้

ดังที่ประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เรียกร้องไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้ติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดีในประเทศไทย รวมถึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินการ “ถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ” ด้วย เพราะความผิดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทำนั้น ถือมีความโจ่งแจ้งมาก

ทั้งนี้ หลายคนมองว่า การยกเลิกหนังสือเดินทางคือการส่งสัญญาณตอบโต้ความเคลื่อนไหวของ นช.ทักษิณที่เดินเกมเตะตัดขารัฐบาล คสช.อยู่ในต่างประเทศ ส่วนจะถึงขึ้นตัดความสัมพันธ์หรือไม่นั้น ต้องพิสูจน์ด้วยการ “ถอดยศ” เป็นประการสำคัญ ซึ่งแหล่งข่าวระดับสูงเปิดเผยว่า ความเห็นในเรื่องนี้ของ คสช.ยังไม่เป็นเอกภาพและมีปัจจัยหลายประการที่ต้องระมัดระวัง ดังเช่น พล.อ.ประยุทธ์ แสดงความคิดเห็นเอาไว้

“จริงๆ เรื่องนี้ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่แล้ว ในส่วนของเราทุกคนมองว่าไม่อยากให้รุนแรงเกินไป เดี๋ยวจะเข้าทางและถูกกล่าวหาว่ารังแก ซึ่งอยากให้เขาเข้าใจและลดระดับลงไปบ้าง แต่เขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย เดี๋ยวมันก็ถึงขั้นนั้นจนได้ โดยทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้ปฏิบัติ

“เรื่องการถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณ มันหนักนิดนึง เพราะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วทำไมต้องนำพระองค์ท่านลงมาอีก ตอนนี้พระองค์ท่านก็ถูกอ้างอิงเยอะ สถาบันเสียหายพออยู่แล้ว”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอบคำถามถึงแนวทางในการถอดยศ โดยใช้อำนาจจากการทำรัฐประหารด้วยว่า “สามารถทำได้ ถ้าถึงเวลาแล้วจะทำ ไม่ต้องมาเร่งนักหรอก ต้องเก็บไว้บ้าง”

ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้มีความเคลื่อนไหวเด้งรับในเรื่องนี้เช่นกัน โดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ “พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล” ที่ปรึกษา (สบ.10) ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐานว่า จะเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติปี 2547 เรื่องการถอดยศนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรหรือไม่ ซึ่งแนวโน้มพบว่า เข้าข่ายที่จะดำเนินการได้

ขณะที่เรื่องการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กับ นช.ทักษิณก็เป็นที่ชัดเจนว่า มีการแจ้งความดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งจากฝ่ายทหาร นำโดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งให้นายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความเอาผิด และภาคประชาชน

นายวันชัย รุจนวงศ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.)ส่งสำนวนคดีให้อัยการ เพื่อให้ดำเนินคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แล้ว ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นความผิดที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ตามขั้นตอนแล้วจึงต้องเสนอเรื่องให้นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณา โดยทางอัยการสูงสุดจะเป็นผู้สั่งตั้งพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีนี้เพื่อพิจารณาต่อไป

ถึงตรงนี้ ทำให้เห็นว่า สงครามครั้งล่าสุดนี้ มิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า หนักหน่วงและรุนแรง แต่จะถึงขั้น “น็อก” หรือสุดท้ายจะปรองดองสมานฉันท์ อีกไม่นานคงรู้กัน

และต้องยอมรับว่า สถานการณ์บีบหัวใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชายิ่งนัก



ลิปที่ นช.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ต่อ Chosun Media ของเกาหลีใต้ ซึ่งมีข้อความจาบจ้วงสถาบันและขณะนี้ได้ถูกแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
นช.ทักษิณ ชินวัตร ขณะเดินทางไปกล่าวปาฐกถา ที่เวทีการประชุม Asian Leadership Conference 2015 ที่เกาหลีใต้เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา
เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศลงประกาศเพิกถอนพาสปอร์ต นช.ทักษิณ 2 เล่ม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กำลังโหลดความคิดเห็น