วานนี้ (27พ.ค.) พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลงว่า ที่ประชุมสภากลาโหม เห็นชอบตามข้อเสนอขอคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนและค่าตอบแทนของข้าราชการทหาร ตามร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการทหาร ( ฉบับที่.. ) พ.ศ. ... ในการปรับปรุงบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการทหารฯ เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ มีสาระสำคัญ คือ ปรับเพดานอัตราเงินเดือนระดับ พ.อ. ขึ้นไป ให้เทียบเท่ากับ ข้าราชการพลเรือน ระดับตำแหน่งนายอำเภอขึ้นไป เพื่อให้เทียบกับข้าราชการพลเรือน ที่ได้มีการปรับปรุงระบบจำแนกตำแหน่งใหม่เป็น 4 กลุ่ม ตามลักษณะงานไปแล้ว เมื่อปี 51 ดังนี้ โดย น.7 ระดับ พล.ท. + 1 ขั้น , น.6 พล.ต. + 2 ขั้น, น.5 พ.อ.(พิเศษ) + 0.5 ขั้น , น.4 พ.อ. + 0.5 ขั้น
นอกจากนั้น ยังขยายเพดานเงินเดือนของนายทหารประทวน (ส.) ระดับ ป.1 และ ป.2 ให้เท่ากับระดับ ป.3 เพื่อให้เงินเดือนสามารถเลื่อนไหลไปได้จนถึงระดับชั้นสูงสุดของ ป.3 ได้ต่อเนื่องโดยไม่ติดขัด เช่นเดียวกับข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ที่มีอัตราเงินเดือนชั้นนายดาบรองรับ
พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า เหตุผลความจำเป็นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของข้าราชการทหารให้เทียบเท่าและใกล้เคียงกับข้าราชการพลเรือน ที่มีการปรับขึ้นไปแล้วเมื่อปี 51 โดยในอดีต เมื่อปี 38 ข้าราชการทุกประเภท มีบัญชีอัตราเงินเดือนอัตราแนบท้ายอยู่ในกฎหมายฉบับเดียวกัน คือ พ.ร.บ.เงินเดือน และเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2538 ซึ่งเดิมเงินเดือนของข้าราชการแต่ละระดับ เป็นอัตราที่เทียบเคียงกันได้ พล.อ.–พล.ท. เท่ากับข้าราชการพลเรือนระดับ 11 , พล.ต. เท่ากับข้าราชการพลเรือนระดับ 10 พ.อ.( พิเศษ) เท่ากับข้าราชการพลเรือน ระดับ 9 , พ.อ. เท่ากับข้าราชการพลเรือนระดับ 8
นอกจากนั้น ยังเห็นชอบ แนวทางการกำหนดค่าตอบแทนให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดเงินค่าตอบแทนให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ ในอัตรา นายทหารสัญญาบัตร วันละ 200 บาท นายทหารประทวน วันละ 180 บาท โดยการเบิกจ่าย ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ พ.ศ. 2550 โดยอนุโลม กลุ่มเป้าหมาย คือ กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ ที่ต้องถืออาวุธประจำกายในหน่วยทหาร ที่มีคลังอาวุธยุทโธปกรณ์ และพร้อมแสดงกำลังได้ทันที เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤตเกิดขึ้น เหตุผลความจำเป็น ข้าราชการทหารมีภารกิจหลัก คือ การป้องกันประเทศ และปฏิบัติการอื่น นอกเหนือจากการสงคราม ซึ่งต้องจัดกำลังให้มีความพร้อมเพื่อเผชิญเหตุ ตามระดับเหตุการณ์ เวรรักษาการณ์ จึงถือว่าเป็นกำลังเผชิญเหตุการณ์ระดับต้น ที่ต้องพร้อมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง
โฆษกระทรวงกลาโหม กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันรัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดกฎหมายอย่างจริงจังในหลายๆ เรื่อง โดยมักมีขบวนการของผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งข้าราชการ พลเรือน ทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะการค้ามนุษย์ ขอให้หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ กวดขันปกครองบังคับบัญชากำลังพลได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพบว่ามีกำลังพลของหน่วยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องมีคำสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที และปรับย้ายออกนอกพื้นที่เป็นการชั่วคราว เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนและลงโทษเด็ดขาดทั้งวินัยและอาญา พร้อมกันนี้ ขอให้ หน.หน่วยขึ้นตรง.กห. และผู้บังคับบัญชาการเหล่าทัพ ชี้แจงการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลในสังกัดในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้เข้มงวด บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพื่อสร้างความสงบสุขของประชาชนและให้ประเทศสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
นอกจากนั้น ยังขยายเพดานเงินเดือนของนายทหารประทวน (ส.) ระดับ ป.1 และ ป.2 ให้เท่ากับระดับ ป.3 เพื่อให้เงินเดือนสามารถเลื่อนไหลไปได้จนถึงระดับชั้นสูงสุดของ ป.3 ได้ต่อเนื่องโดยไม่ติดขัด เช่นเดียวกับข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ที่มีอัตราเงินเดือนชั้นนายดาบรองรับ
พล.ต.คงชีพ กล่าวว่า เหตุผลความจำเป็นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของข้าราชการทหารให้เทียบเท่าและใกล้เคียงกับข้าราชการพลเรือน ที่มีการปรับขึ้นไปแล้วเมื่อปี 51 โดยในอดีต เมื่อปี 38 ข้าราชการทุกประเภท มีบัญชีอัตราเงินเดือนอัตราแนบท้ายอยู่ในกฎหมายฉบับเดียวกัน คือ พ.ร.บ.เงินเดือน และเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2538 ซึ่งเดิมเงินเดือนของข้าราชการแต่ละระดับ เป็นอัตราที่เทียบเคียงกันได้ พล.อ.–พล.ท. เท่ากับข้าราชการพลเรือนระดับ 11 , พล.ต. เท่ากับข้าราชการพลเรือนระดับ 10 พ.อ.( พิเศษ) เท่ากับข้าราชการพลเรือน ระดับ 9 , พ.อ. เท่ากับข้าราชการพลเรือนระดับ 8
นอกจากนั้น ยังเห็นชอบ แนวทางการกำหนดค่าตอบแทนให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดเงินค่าตอบแทนให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ ในอัตรา นายทหารสัญญาบัตร วันละ 200 บาท นายทหารประทวน วันละ 180 บาท โดยการเบิกจ่าย ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ พ.ศ. 2550 โดยอนุโลม กลุ่มเป้าหมาย คือ กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ ที่ต้องถืออาวุธประจำกายในหน่วยทหาร ที่มีคลังอาวุธยุทโธปกรณ์ และพร้อมแสดงกำลังได้ทันที เมื่อมีเหตุการณ์วิกฤตเกิดขึ้น เหตุผลความจำเป็น ข้าราชการทหารมีภารกิจหลัก คือ การป้องกันประเทศ และปฏิบัติการอื่น นอกเหนือจากการสงคราม ซึ่งต้องจัดกำลังให้มีความพร้อมเพื่อเผชิญเหตุ ตามระดับเหตุการณ์ เวรรักษาการณ์ จึงถือว่าเป็นกำลังเผชิญเหตุการณ์ระดับต้น ที่ต้องพร้อมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง
โฆษกระทรวงกลาโหม กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันรัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดกฎหมายอย่างจริงจังในหลายๆ เรื่อง โดยมักมีขบวนการของผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งข้าราชการ พลเรือน ทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะการค้ามนุษย์ ขอให้หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ กวดขันปกครองบังคับบัญชากำลังพลได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพบว่ามีกำลังพลของหน่วยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องมีคำสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที และปรับย้ายออกนอกพื้นที่เป็นการชั่วคราว เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนและลงโทษเด็ดขาดทั้งวินัยและอาญา พร้อมกันนี้ ขอให้ หน.หน่วยขึ้นตรง.กห. และผู้บังคับบัญชาการเหล่าทัพ ชี้แจงการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลในสังกัดในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้เข้มงวด บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพื่อสร้างความสงบสุขของประชาชนและให้ประเทศสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้