พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กรรมาธิการสาธารณสุข สนช.
21 พฤษภาคม 2558
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กรรมาธิการสาธารณสุข สนช.
21 พฤษภาคม 2558
มะเร็งสปสช.เริ่มจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แล้วลุกลามไปยังระบบสวัสดิการข้าราชการและกำลังจะลุกลามไปทำลายกองทุนอื่นและจะกัดกินประเทศไทยในไม่ช้านี้
พลเมืองไทยคนหนึ่งขอทำ “หน้าที่พลเมือง” ในการฝากความหวังกับหัวหน้าคสช.เป็นศัลยแพทย์ให้รีบผ่าตัดมะเร็งร้ายนี้ ออกจากประเทศไทยด่วน
จากการแถลงตอบโต้ของ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษกสปสช.เรื่อง ตรรกะวิบัติและมุมมองเรื่องหลักประกันสุขภาพไทย ใน www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000056823 นั้น ผู้เขียนในฐานะที่เคยเป็นข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขขอวิเคราะห์ดังนี้
1. สปสช. บอกว่าได้จ่ายเงินให้ รพ.ตามประกาศของ สปสช. แต่เมื่อ รพ.บอกว่าเงินที่ สปสช.จ่ายมานั้น ทำให้ รพ.มีเงินไม่พอในการจัดบริการให้ประชาชน มันเป็นหน้าที่ของ สปสช.ที่จะต้องรีบแก้ไขปัญหาให้โรงพยาบาล สธ.ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18(13) ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และมาตรา 46 กล่าวโดยสรุปคือ สปสช. ต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ให้บริการ (หมายถึงโรงพยาบาลต่างๆ) ก่อนแล้วจึงมากำหนด “ค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข”สำหรับที่สปสช.จะจ่ายให้แก่โรงพยาบาล
ผู้เขียนขอวิเคระห์ว่า สปสช.ตรรกะวิบัติแน่นอน เพราะหน้าที่หลักที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 38 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กำหนดไว้ว่า “ให้จัดตั้งกองทุนหนึ่งใน สปสช. เรียกว่า “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย สนับสนุน และส่งเสริมการจัดบริการสาธารณสุขของหน่วยบริการ
ทำไมผู้เขียนจึงว่าสปสช.มีตรรกะวิบัติ? ก็เพราะว่า สปสช.ต้องทำตามกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างเคร่งครัด แต่ สปสช.ออกประกาศของ สปสช.แล้วก็ไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการจัดสรรกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ทำให้ รพ.ไม่มีเงินพอที่จะดำเนินงานให้เกิดประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วย แต่ สปสช.กลับไปยึดถือเอาประกาศของ สปสช.เป็นสิ่งสำคัญเหนือกฎหมายที่ สปสช.จะต้องปฏิบัติตามทั้งๆ ที่หน่วยงานที่ “รับผลงานจาก สปสช.” จะร้องขอให้ช่วยเหลือแก้ไขให้เหมาะสม สปสช.ก็ไม่ทำ
แต่ สปสช. ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นรัฐบาลมีหน้าที่ต้องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎร แต่ สปสช. ละเลยไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดจากระเบียบที่ สปสช.ออกประกาศที่ไม่ยึดสาระสำคัญตามหลักกฎหมาย (เรียกว่าไม่ยึดหลักการตามกฎหมาย ยึดแต่หลักกูเป็นใหญ่) เพิกเฉยที่จะช่วยแก้ปัญหาให้โรงพยาบาลมา 13 ปีแล้ว
ผลแห่งการเพิกเฉยของ สปสช.ทำให้ โรงพยาบาลขาดเงินในการดำเนินงานให้การรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐาน แต่แทนที่ สปสช.จะแก้ไขประกาศและบริหารจัดการตามกฎหมายให้มีเงินพอให้บริการประชาชน สปสช.กลับไปออกประกาศห้ามใช้ยาโน่นนี่นั่น จนเกิดผลเสียหายแก่ผู้ป่วย
นอกจาก สปสช.จะไม่สนใจความเสียหายแก่ผู้ป่วยแล้ว สปสช.ยังข้ามกรอบองค์กรออกไปให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่กรมบัญชีกลางว่าข้าราชการใช้ยาฟุ่มเฟือย จนกรมบัญชีกลางหลงเชื่อออกประกาศห้ามแพทย์จ่ายยาให้แก่ข้าราชการจนข้าราชการเหลืออด ไปยื่นฟ้องกรมบัญชีกลางต่อศาลปกครอง และศาลปกครองก็ให้ความยุติธรรมต่อข้าราชการแล้ว ให้ยกเลิกคำสั่งห้ามใช้ยาของกรมบัญชีกลางแล้วและออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว (ตามรูปที่ 1)
2. การที่โฆษก สปสช.อ้างว่า สปสช.ได้รับรางวัลการบริหารกองทุนดีเด่นอย่างต่อเนื่องจากกระทรวงการคลังทุกปีตั้งแต่พ.ศ. 2551-2557 และยังได้รับกองทุนหมุนเวียนเกียรติยศด้วยนั้น ผู้เขียนขอวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นการให้รางวัลที่ “อวยกันเอง”อย่างหูหนวกตาบอดที่สุด เพราะกรรมการที่ให้รางวัลคงฟังรายงานจากสปสช.เพียงข้างเดียว ถ้ากระทรวงการคลังทำงานอย่างรอบคอบยึดหลักการตรวจสอบให้ครบถ้วนตามกฎหมายที่องค์กรต่างๆ ต้องบริหารงานอย่างสุจริต โปร่งใส และยึดประโยชน์ของประเทศชาติ โดยไปถามและวิเคราะห์ข้อมูลจาก “หน่วยบริการที่ต้องรับผลงานจากการบริหารของสปสช”แล้ว กระทรวงการคลังจะต้องเอาปี๊บคลุมหัวที่ให้รางวัล “ผู้บริหารกองทุนดีเด่น”แก่สปสช.ได้
การได้รับรางวัลของสปสช.จึงไม่ใช่เครื่องหมายการันตีได้ว่าสปสช.บริหารกองทุนได้ดีจริง ถ้าท่านผู้อ่านไม่เชื่อคำกล่าวของผู้เขียน ขอให้ไปสอบถามข้าราชการและบุคลากรสาธารณสุข 300,000 กว่าคน ก็จะได้ทราบเองว่าเห็นด้วยกับการให้รางวัลของกระทรวงการคลังหรือไม่?
3. การอ้างว่า สปสช.นำเงินไปสนับสนุนหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดบริการของหน่วยบริการโน่นนี่นั่นนั้น ยิ่งแสดงถึงตรรกะวิบัติของ สปสช. เนื่องจากหลักการสำคัญอันดับหนึ่งของการจัดตั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น ก็เพื่อ “จ่ายค่าบริการสาธารณสุขแทนประชาชนที่มีสิทธิ์ 48 ล้านคน”
แต่แทนที่สปสช.จะจ่ายเงินในส่วนนี้ให้เพียงพอเหมาะสมแก่ภารกิจอันสำคัญนี้ กลับนำไปสนับสนุนโครงการอื่นที่มิใช่งานสำคัญอันดับหนึ่ง เปรียบเหมือน สปสช.เป็นแม่บ้านที่มีลูกอดข้าวหิวโซต้องการอาหารสำคัญอย่างยิ่ง แต่แม่บ้านดันเอาเงินนี้ ไปแจกให้เพื่อนสนิทไปเที่ยวต่างประเทศเสียนี่ ลูกเต้าจะร้องระงมด้วยความหิวอย่างไรแม่ก็ไม่สนใจ เพราะมีเอี่ยวกับเงินก้อนนั้นด้วย
4. ส่วนการอ้างว่าสปสช.มีการบันทึกข้อมูลมาตรฐานนั้น ผู้เขียนยืนยันว่า บางข้อมูลของสปสช.ก็สามารถลบทิ้งได้ เช่นข้อมูลการรักษาผู้ป่วยไตวายทางหน้าท้อง (CAPD-first) นั้นมีอัตราตายสูงเกินกว่า 40 % (เนื่องจากผู้ป่วยต้องรับการรักษาแบบที่ สปสช.ออกประกาศให้สิทธ์รักษาตามที่สปสช.กำหนดเท่านั้น) แต่เมื่อมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไตวิจารณ์ว่าอัตราตายสูงเกินกว่าที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะยอมรับได้ สปสช.ก็ลบข้อมูลนี้ออกจาก website ของสปสช.ทันที แต่ผู้เขียนได้พิมพ์ข้อมูลเหล่านี้ไว้แล้ว (แต่สปสช.อาจจะแถได้อีกว่าข้อมูลของผู้เขียนนั้นเป็นข้อมูลเท็จ)
ฉะนั้นข้อมูลของ สปสช.จึงไม่สามารถเชื่อถือได้ทุกข้อมูล สปสช.อาจจะถือคติว่า “to tell the truth but not the whole truth!”
5. การที่สปสช.บอกว่านโยบาย 30 บาทไม่ใช่นโยบายประชานิยมนั้น ก็แสดงถึงตรรกะวิบัติของสปสช. เพราะชาวไทยทุกคนทั้งประเทศต่างก็เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่านโยบาย 30 บาทเป็น นโยบายประชานิยมที่ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือญาติของเขาได้รับการเลือกตั้งและได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลายคนแล้ว สปสช.ก็รู้ดีว่าถ้าพูดถึง 30 บาทแล้ว ประชาชนทั้งยากจนและอยากจน ต่างก็นึกถึงทักษิณ ชินวัตรทั้งสิ้น
ส่วนการที่ สปสช. บอกว่า สปสช.ไม่ใช่ลูกหนี้ของโรงพยาบาลก็เหมือนกับข้อแก้ตัวของลูกหนี้ทั่วไป กล่าวคือ สปสช.มีหน้าที่ “จ่ายค่าบริการสาธารณสุขให้แก่หน่วยบริการ” แต่สปสช.จ่ายเงินไม่ครบเท่าที่หน่วยบริการจ่ายไปแล้ว อย่างนี้จะไม่เรียกว่าสปสช.เป็นลูกหนี้ของ รพ.สธ.ได้อย่างไร
วิญญูชนทั้งหลายโปรดใช้สมองตรองดูเถิด
การกระทำของ สปสช.จึงเหมือนลูกหนี้ชั้นเลว ที่นอกจากจะไม่ใช้หนี้ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแล้ว สปสช.ยังปฏิเสธความรับผิดชอบหน้าตาเฉย แบบที่ว่า “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย”
นอกจากพฤติกรรมเบี้ยวหนี้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว สปสช.ยังรับอาสาเป็น “clearing house” สำหรับจะรับประสานงานในการจ่ายเงินแทนผู้ป่วยฉุกเฉินทุกสิทธิ์(ประกันสังคม ข้าราชการและระบบ 30 บาท) พร้อมกับออกประกาศโฆษณาชวนเชื่อว่า ต่อนี้ไปประชาชนทุกคนทุกสิทธิ์เจ็บป่วยฉุกเฉินให้ไปรักษาได้ทุกโรงพยาบาล ไม่เว้นเอกชน โดย สปสช.จะให้บริการจ่ายเงินแทน ประชาชนก็หลงเชื่อพอเจ็บป่วยฉุกเฉินก็ไป รพ.เอกชนใกล้บ้าน แล้วก็นอนรักษาตัวอย่างสบายใจ แต่เมื่อ รพ.เอกชนไปเก็บค่ารักษาผู้ป่วยฉุกเฉินจากสปสช.แล้ว สปสช.ก็ทำพฤติกรรมแบบเดิมที่ใช้กับ รพ.ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวคือ จ่ายเงินตามอำเภอใจที่สปสช.อยากจ่าย โดยไม่สนใจว่ารพ.จะใช้เงินในการรักษาผู้ป่วยไปเท่าไร(สปสช.ไม่สนใจกูสปสช.จะจ่ายแค่นี้แหละ) แต่รพ.เอกชนนั้นต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง ไม่สามารถจะทนนิ่งเฉยกับการเบี้ยวหนี้ของสปสช.ได้ ก็ต้องมาเรียกเก็บค่ารักษาจากประชาชน
แต่แทนที่ประชาชนจะไปด่า สปสช.ว่าไหนบอกว่าไปรักษาการเจ็บป่วยฉุกเฉินจาก รพ.ไหนก็ได้ โดย สปสช.จะไปจ่ายเงินแทน แต่ สปสช.กลับไปส่งผู้ที่อ้างว่าเป็นตัวแทนประชาชน ออกมากล่าวหาว่า รพ.เอกชนขูดรีดประชาชนแทน จนนำไปสู่การที่รัฐบาลตั้งกระทรวงพาณิชย์ออกมาเพื่อกำหนดมาตรการในการควบคุมราคาโรงพยาบาลเอกชน (ตามรูปที่ 2)
ผู้เขียนในฐานะพลเมืองไทย (ไม่ได้เป็นแค่ประชาชน แต่เป็นพลเมืองตามความหมายในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) มองดูเหตุการณ์เรื่องนี้ตั้งแต่แรก ก็เห็นด้วยว่า รพ.เอกชนบางแห่งก็คิดราคายาแพงเกินไปจริงๆ แต่กระทรวงพาณิชย์เองก็คงรู้ดีอยู่ว่าโรงพยาบาลเอกชนนั้นได้รับรักษาผู้ป่วยชาวต่างชาติจนนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาเป็นรายได้ของรัฐบาลปีละหลายพันหลายหมื่นล้านบาทมิใช่หรือ? การที่รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะ “ควบคุมราคา” การบริการของโรงพยาบาลเอกชนนั้น จะนำไปสู่ความถดถอยของมาตรฐานการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชน เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วในโรงพยาบาลราชการกระทรวงสาธารณสุข
ผู้เขียนได้คาดการณ์แล้วว่า ไม่ช้ากลุ่มพรรคพวกของ สปสช. ก็คงไปเสนอรัฐบาล ให้ตั้งกองทุนใหม่อีกกองทุนหนึ่งเรียกว่า “กองทุนรักษาผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน” เพื่อให้ สปสช.หรือพรรคพวกของ สปสช.มาเป็นผู้มีอำนาจบริหารกองทุนนี้ และความคาดหมายของผู้เขียนก็ไม่ผิดเลย เพราะมีข่าวว่า ดร.อัมมาร์ สยามวาลา นักเศรษฐศาสตร์คู่ใจกลุ่ม สปสช. ได้เสนอรัฐบาลมากกว่าที่ผู้เขียนคาดการณ์เสียอีก กล่าวคือ เขาไม่คิดจะบริหารแค่กองทุนผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น แต่เขาวางแผนจะ “บริหารกองทุนทุกกองทุนสุขภาพในประเทศไทย” ด้วย (ตามรูปที่3)
ฉะนั้น ผู้เขียนจึงขอสรุปบทวิเคราะห์การแถลงของ สปสช.ว่า ตรรกะวิบัติของ สปสช. นำไปสู่การบริหารที่เป็นผลร้ายต่อผู้ป่วยในกองุน 30 บาท ระบบสวัสดิการข้าราชการและกำลังจะลุกลามไปยังทุกระบบการประกันสุขภาพในประเทศไทย ไม่เว้นโรงพยาบาลเอกชนด้วย จึงเห็นได้ว่าการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของ สปสช.และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นมะเร็งร้ายที่ทำลายระบบนิติธรรม คุณธรรม ทำลายระบบมาตรฐานการแพทย์ที่ดี ส่งผลต่อความเสียหายต่อสุขภาพประชาชนในระบบ 30 บาท และกำลังแผ่ขยายความอำมหิต (ภาษาหมอเรียกว่ามี Metastasis ไปยังอวัยวะอื่น) คือกองทุนสุขภาพที่ครอบคลุมประชาชนพลเมืองไทยทุกคน
รัฐบาลไทยโดยการนำของนายกรัฐมนตรี รีบตรวจเช็คสุขภาพของรัฐบาลจากมะเร็งหลักประกันสุขภาพ แล้วตัดสินใจใช้คาบอาญาสิทธิ์ รีบเฉือนเนื้อมะเร็งร้าย สปสช.โดยด่วน ก่อนที่ประชาชนพลเมืองและรัฐบาลจะถูกมะเร็งร้ายนี้ทำลายจนสิ้นชาติ ถ้าหมอยังมีรีบจัดการลงมีดเสียที