วานนี้ (17พ.ค.) ที่สวนสันติพร อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม ถนนราชดำเนิน กรุงเทพฯ มูลนิธิพฤษภาประชาธรรม และคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ได้จัดพิธีรำลึกและสืบสาน 23 ปี พฤษภาประชาธรรม โดยมีการวางพวงมาลา ทำพิธีบรรจุอัฐิวีรชน ที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม และพิธีทอดผ้าบังสุกุลแก่พระสงฆ์ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่วิญญาณของผู้ล่วงลับ และร่วมเสริมสร้างความเป็นมงคลให้สังคมไทย สามารถข้ามพ้นความขัดแย้งที่รุนแรงในอดีต รวมทั้งพิธีทางศาสนาพุทธ คริสต์ และอิสลาม นอกจากนั้นภายในงานยังมีการรับบริจาคเลือดให้กับสภากาชาดไทยด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเสียเลือด เพื่อให้ชีวิต แทนการเสียเลือด เสียชีวิต โดยมีตัวแทนจากฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมงานจำนวนมาก อาทิ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนรัฐบาล นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 ตัวแทน สนช. พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ในฐานะตัวแทนประธาน สปช. , น.ส.รสนา โตสิตระกูล นายประสาร มฤคพิทักษ์ สมาชิกสปช. นายจุตพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ และ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พระอุทัย อุทาโย หรือ นายอุทัย ยอดมณี อดีตแกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรธปประเทศไทย (คปท.) รวมทั้ง นางคริสทีน ซาลาเนอร์ เบอร์เดอร์เนอร์ เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย
น.ส.รสนา ในฐานะประธานจัดงาน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของวีรชนในเหตุการณ์เดือนพฤษภา เพราะต้องการปฏิรูประบบการเมืองไม่ให้เกิดการครอบงำ โดยหวังว่า การเลือกตั้งจะนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ไม่ให้กลับสู่การรัฐประหาร แต่ในความเป็นจริง เป็นสิ่งที่สวนทางกัน เพราะในเวลาต่อมาเกิดการรัฐประหารอีก 2 ครั้ง ซึ่งเกิดจากความเห็นต่างของประชาชน 2 ขั้ว จนนำไปสู่การรัฐประหาร เพื่อไม่ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง จึงได้แต่หวังว่า การรัฐประหารครั้งนี้ จะสามารถคลอดประชาธิปไตยได้
อย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ประชาธิปไตยของคนเดือนพฤษภา ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน แต่ประชาชนต้องมีส่วนร่วมโดยตรง ตรวจสอบการใช้อำนาจ และมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายที่สำคัญของชาติ นอกจากนั้น คนเดือนพฤษภาเห็นว่า อำนาจประชาชนจะต้องได้มาด้วยสันติวิธีเท่านั้น
ขณะที่ ม.ล. ปนัดดา กล่าวว่า แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยรัฐประหาร แต่นายกฯและคนไทยเข้าใจร่วมกันดีว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริง คือความรัก ความสมัครสมานของคนในชาติ และหากย้อนไปในปี 35 วีรชนพยายามหาทิศทางนำประเทศไปสู่ความเจริญ โดยหลักการปกครองที่กล่าวถึง คือ ธรรมาภิบาล ซึ่งจะเร่งบรรลุผลโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นความสงบคงเกิดได้ยาก ฉะนั้นจึงหวังว่าประเทศไทย จะไม่มีการแบ่งแยก ไม่แตกแยกอีก
ด้านนายสุรชัย ในฐานะตัวแทน สนช. กล่าวว่า เวลานี้แม่น้ำ 5 สาย กำลังหาทางออกให้ประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ว่า อะไรคือปัญหา และอุปสรรคในการพัฒนาประเทศไทย แต่ภารกิจที่จะบรรลุได้ด้วยแม่น้ำ 5 สาย ถือเป็นภารกิจของประชาชนทุกคน เช่นเดียวกับวีรชนที่คาดหวังจะมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน ไม่ใช่การนำโดยพรรคการเมืองเดียวเท่านั้น ฉะนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การรวมตัวครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการรำลึก แต่จะเป็นการสานต่ออุดมการณ์วีรชนอีกด้วย
ด้าน พล.อ.เอกชัย ในฐานะตัวแทนประธานสปช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐตลอด และทุก ๆ 20 ปี จะมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น เราจะปล่อยเวลาให้ผ่านไป และเกิดเหตุรุนแรงขึ้นอีก 20 ปีข้างหน้าไม่ได้ เราต้องหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก ซึ่งสปช.กำลังทำเรื่องปรองดอง เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านมา และวางแนวทางป้องกันปัญหาในอนาคต ขอย้ำว่า การแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องใช้สันติวิธีเท่านั้น เพราะจะเป็นทางเดียวที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างยั่งยืนได้
น.ส.รสนา ในฐานะประธานจัดงาน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของวีรชนในเหตุการณ์เดือนพฤษภา เพราะต้องการปฏิรูประบบการเมืองไม่ให้เกิดการครอบงำ โดยหวังว่า การเลือกตั้งจะนำไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ไม่ให้กลับสู่การรัฐประหาร แต่ในความเป็นจริง เป็นสิ่งที่สวนทางกัน เพราะในเวลาต่อมาเกิดการรัฐประหารอีก 2 ครั้ง ซึ่งเกิดจากความเห็นต่างของประชาชน 2 ขั้ว จนนำไปสู่การรัฐประหาร เพื่อไม่ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง จึงได้แต่หวังว่า การรัฐประหารครั้งนี้ จะสามารถคลอดประชาธิปไตยได้
อย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ประชาธิปไตยของคนเดือนพฤษภา ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบตัวแทน แต่ประชาชนต้องมีส่วนร่วมโดยตรง ตรวจสอบการใช้อำนาจ และมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายที่สำคัญของชาติ นอกจากนั้น คนเดือนพฤษภาเห็นว่า อำนาจประชาชนจะต้องได้มาด้วยสันติวิธีเท่านั้น
ขณะที่ ม.ล. ปนัดดา กล่าวว่า แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยรัฐประหาร แต่นายกฯและคนไทยเข้าใจร่วมกันดีว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริง คือความรัก ความสมัครสมานของคนในชาติ และหากย้อนไปในปี 35 วีรชนพยายามหาทิศทางนำประเทศไปสู่ความเจริญ โดยหลักการปกครองที่กล่าวถึง คือ ธรรมาภิบาล ซึ่งจะเร่งบรรลุผลโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นความสงบคงเกิดได้ยาก ฉะนั้นจึงหวังว่าประเทศไทย จะไม่มีการแบ่งแยก ไม่แตกแยกอีก
ด้านนายสุรชัย ในฐานะตัวแทน สนช. กล่าวว่า เวลานี้แม่น้ำ 5 สาย กำลังหาทางออกให้ประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ว่า อะไรคือปัญหา และอุปสรรคในการพัฒนาประเทศไทย แต่ภารกิจที่จะบรรลุได้ด้วยแม่น้ำ 5 สาย ถือเป็นภารกิจของประชาชนทุกคน เช่นเดียวกับวีรชนที่คาดหวังจะมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน ไม่ใช่การนำโดยพรรคการเมืองเดียวเท่านั้น ฉะนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การรวมตัวครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการรำลึก แต่จะเป็นการสานต่ออุดมการณ์วีรชนอีกด้วย
ด้าน พล.อ.เอกชัย ในฐานะตัวแทนประธานสปช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐตลอด และทุก ๆ 20 ปี จะมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น เราจะปล่อยเวลาให้ผ่านไป และเกิดเหตุรุนแรงขึ้นอีก 20 ปีข้างหน้าไม่ได้ เราต้องหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก ซึ่งสปช.กำลังทำเรื่องปรองดอง เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านมา และวางแนวทางป้องกันปัญหาในอนาคต ขอย้ำว่า การแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องใช้สันติวิธีเท่านั้น เพราะจะเป็นทางเดียวที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างยั่งยืนได้