xs
xsm
sm
md
lg

แฉเบื้องหลังทหารม้าบุกสันติบาล ตร.เปิดศึกวางยาล้มซื้อเครื่องดักฟัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะออกมาขอให้ทุกฝ่ายยุติหยุดวิพากษ์วิจารณ์กรณี กำลังทหารจากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ กว่า 10 นาย พร้อมอาวุธครบมือ บุกจู่โจมเข้าควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ บริษัท อิสราเอล ระหว่างสาธิตอุปกรณ์ดักฟังบนชั้นสอง ห้องเอนกประสงค์ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งตั้งอยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่กระแสความข้องใจซึ่งเกิดขึ้นต่อความรู้สึกของข้าราชการตำรวจ และประชาชนทั่วไป ยังคงสอบถามความเป็นมาเป็นไป รวมถึงเบื้องหลังที่แท้จริงของเหตุการณ์ครั้งนี้
แหล่งข่าวทหารเปิดเผยว่า ปฏิบัติการของทหารกองพลม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม. 2 รอ.) นั้น แม้เป็นเรื่องที่ยากต่อการตัดสินใจ แต่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเครื่องดักรับสัญญาณโทรศัพท์ดังกล่าว มีประสิทธิภาพในการดักฟังทั่วไป สามารถล็อกสัญญาณโทรศัพท์เป้าหมายได้เลยในทุกระบบ ทุกเครือข่าย กระทั่ง 4 จี ก็จับสัญญาณได้อย่างแม่นยำ
" เครื่องดักฟังดังกล่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 2 เครื่อง มีการอนุมัติจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่างถูกต้อง แต่ปัจจุบันเครื่องดักฟังที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างสูงสุดนี้ มีการประกาศขายกันอย่างกว้างขวาง หลายหน่วยงานต่างจัดหามาใช้เป็นขอตัวเอง โดยขออนุญาตผ่านคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. แต่ในช่วงรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ไม่มีการควบคุม หน่วยงานที่ซื้อไว้ใช้ คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และอื่นๆ แต่แจ้งจดทะเบียนเนเครื่องมือสื่อสารธรรมดา"
ฝ่ายความมั่นคงทหาร ยังระบุด้วยว่า การขออนุญาตจาก กสทช. เป็นการอาศัยช่องว่างของกฎหมาย และเป็นการแจ้งเท็จ กอปรกับเห็นเป็นหน่วยงานราชการด้วยกัน กสทช. จึงอนุญาต เพราะเข้าใจว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารปกติ ซึ่งจากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ บริษทเอกชนอิสราเอล ก็ยังไม่ยอมให้ข้อมูลว่า ได้เสนอขายให้กับใครไปบ้าง ในประเทศไทยมีกี่เครื่อง ทราบแต่เพียงว่า ยังมีบริษัทฝรั่งเศส มาเสนอขายให้กับทางการไทยด้วย
"ที่ผ่านๆมา ระบบการตรวจสอบหละหลวมมาก กรณีทหารเข้าล็อกตัว เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางนั้น เพราะมีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้สนใจกันทางสื่อออนไลน์ อย่างโจ๋งครี่ม ถ้าทหารที่ดูแลเรื่องความมั่นคงไม่ดำเนินการ ก็ถือว่าละเว้น ตามมาตรา 157 ขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงทหาร มีแนวคิดให้ คสช. ออกคำสั่งตรวจสอบหน่วยงานต่างๆ ที่ครอบครองเครื่องมือเหล่านี้ นำมาขึ้นทะเบียนยุทธภัณฑ์ให้ถูกต้อง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นผู้อนุมัติในการครอบครอง"
ส่วนการเคลื่อนไหวทางด้านตำรวจ ตลอดวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งผู้สื่อข่าวประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจในระดับต่างๆ ยังพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ต่างยังข้องใจปฏิบัติการของทหาร เพราะถือว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็คือหน่วยงานราชการ มีส่วนดูแลความมั่นคง และทำงานกับฝ่ายทหารอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ แม้ในอดีต จะมีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง โดยฝ่ายตำรวจมักเป็นฝ่ายรองรับ ก็พอเข้าใจได้ เพราะต้นทุนทางสังคมต่ำ แต่กรณีทหารพร้อมอาวุธครบมือ จู่โจมเข้าควบคุมการสาธิต และล็อกตัวเจ้าหน้าที่อิสราเอล ต่อหน้าต่อตา นายตำรวจน้อยใหญ่ ถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น การยุติเรื่องดังกล่าว ทางออกที่ดีที่สุดก็คือให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. สอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ว่ามีเบื้องหน้า เบื้องหลังอะไร และให้ลงโทษกับทุกฝ่ายหากพบความบกพร่อง มิใช่ผู้นำออกมาขอโทษแล้วๆ กันไป
แหล่งข่าวระดับสูง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข้อมูลสำคัญว่าความผิดพลาดดังกล่าวน่าจะเกิดจากสาเหตุหลักๆ 2-3 ประเด็นคือตำรวจเองโดย กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ก็มีพฤติการณ์ไม่เคลียร์ 100 % เพราะเรื่องมือดักฟังที่ว่านี้ มีข้อละเอียดอ่อนทางกฎหมาย คำชี้แจงของฝ่ายทหาร สามารถรับฟังได้ ส่วนจะเหมาะสม หรือรุนแรงเกินไปจนมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติกันนั้น ก่อนวิพากษ์วิจารณ์กันไป ก็ควรรับรู้ข้อมูลต่างๆ ให้มากที่สุด
" เรื่องที่ควรประสานงานกันได้ แต่กลายเป็นประสานงา น่าจะมาจากประเด็นแรก มีบริษัทคู่แข่งของอิสราเอล ต้องการจะเสนอขายด้วย แต่ถูกผู้มีอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กีดกัน จึงเกิดการหักหน้ากันขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ ต้องมองไปว่ามีการล็อกสเปก เข้าข่ายทุจริตกันหรือไม่ เพราะขั้นตอนต่อไป ก็คงชงเรื่องให้มีการจัดซื้อจัดจ้างในระบบพิเศษ ทราบมาว่า เครื่องมือดังกล่าวมีราคาตกชุดละ 250 ล้านบาท หากท่านนายกฯจะให้เลิกๆ กันไป คนที่พยายามทำผิด หรือกระบวนการหากินกับงบประมาณ ก็จะรอดตัวไป จึงอยากให้จัดการสอบสวนให้ชัดเจน ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด"
มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากบริษัทคู่แข่งต้องการล้มประมูลเครื่องดักฟังแล้ว ยังมีกรณีศึกประลองยุทธระหว่าง นรต.35 และ นรต.36 เข้ามาแทรกด้วย โดยแหล่งข่าวระบุว่า เครื่องมือดักฟังที่มีประสิทธิภาพใก้ลเคียงกับที่นำมาสาธิตนั้น อยู่ในครอบครองของตำรวจ ที่ปฏิบัติการสามจังหวัดชายแดนใต้ ต่อมาเมื่อไม่นานมานี้ มีการนำมาใช้นอกภารกิจ ดักฟังการเคลื่อนไหวของพวกกันเองภายในกรุงเทพมหานคร และความลับเกิดรั่วไปเข้าหู “บิ๊กนครบาล” คนหนึ่งซึ่งมีความขัดแย้งกันระหว่างรุ่นต่อรุ่น จนเกิดความไม่พอใจ และเตรียมปฏิบัติการเอาคืน จนเมื่อมีการเสนอจัดซื้อจัดจ้างเครื่องดักฟังของอิสราเอล ซึ่งชงเรื่องโดยสายอำนาจ นรต.36 ที่คุมกำลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างกว้างขวาง ไล่มาตั้งแต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง หัวหอกของรุ่น พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล เป็นต้น
วันเวลาดังกล่าว ก่อนการสาธิต นรต.รุ่น 35 บางคนที่มีความสนิทคุ้นเคยกับฝ่ายความมั่นคงของทหารเป็นอย่างดี จึงนำข้อมูลไปแจ้งให้ทราบ ก่อนลงมือปฏิบัติการล็อกตัวเจ้าหน้าที่บริษัทเอกชนอิสราเอล ระหว่างการสาธิตเครื่องมือดักฟังโทรศัพท์ ที่สันติบาล ดังกล่าว รายงานข่าวระบุด้วยว่าความขัดแย้งระหว่างรุ่น นรต. 35 และ นรต.36 นับวันจะรุนแรง และมีความสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในเรื่องนี้ ยังเป็นที่หนักอกหนักใจของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. เป็นอย่างยิ่ง เพราะแวดล้อมของ “บิ๊กอ๊อด” ล้วนแต่เป็น นรต.รุ่น 36 จนเกิดการกระทบกระทั่งกับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. มาแล้วครั้งหนึ่ง จากกรณีเข้าจับบ่อนการพนันเตาปูน จนเกิดการย้ายกราวรูดตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันว่า ระหว่าง “เก่งเล็ก” กับ “เก่งใหญ่” ใครจะไปก่อนกัน ซึ่งหมายถึง ผบ.ตร. หรือ ผบช.น. ใครกันแน่จะโดนย้ายก่อนวาระ
สำหรับแนวคิดการสาธิตเครื่องดักฟังโทรศัพท์ ในหน่วยงานราชการนั้น แหล่งข่าวรายเดียวกันบอกว่า ไม่เคยปรากฏว่ามีหน่วยงานไหนทำอย่างเต็มรูปแบบ เป็นเรื่องเป็นราวอย่างกองบัญชาการตำรวจสันติบาลมาก่อน ข้อน่าสังเกตก็คือ ทำไปเพื่ออะไร ทั้งที่รู้ว่าอาจจะมีปัญหาแง่มุมเรื่องกฎหมาย หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่คำตอบน่าจะอยู่ตรงที่เป็นการ “ลับ ลวง พราง” ทำเสมือนว่าโปร่งใส มีการทดลองต่อหน้าข้าราชการจำนวนมากสามารถนำไปอ้างเป็นสักขีพยานได้ แต่ในทางหนึ่งการสาธิตในวันนั้น แหล่งข่าวระบุว่า ตัวแทนของสันติบาล มีเพียง พล.ต.ต.สมชาย พัชรอินโต รอง ผบช. สันติบาล ( นรต. 36) มาเป็นประธาน ส่วนพล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย (นรต.36) ผบช.สันติบาล ติดภารกิจ ไม่สามารถมาชมการสาธิตได้ หากมีการตำหนิกันในฐานะเจ้าภาพ หรือเจ้าของสถานที่ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ “บิ๊กช้าง” คนสนิท ผบ.ตร. ก็คงรอดไปอย่างฉิวเฉียด
" ดูจากการชี้แจงของท่าน ผบ.ตร. สังคมเห็นอะไรกันบ้าง ท่านยืนยันว่า เข้าใจผิด การพูด หรือแก้ต่างกับนักข่าว ก็เป็นเรื่องที่ท่านต้องไปทางนั้นอยู่แล้ว แต่หากสังเกตภาษากาย ก็จะเห็นได้ชัดว่า ผู้นำองค์กรตำรวจกำลังอ่อนล้า มีความวิตกกับเรื่องนี้อย่างมาก อาจจะเพราะเกิดจากคนใกล้ตัว เป็นเรื่องงัดข้อระหว่างตำรวจระดับหัวหอก ที่ต่างรุ่นกัน เหตุการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในระยะนี้ ท่านคงอึดอัดอย่างที่สุด" แหล่งข่าวระบุในตอนท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น