สน.พระอาทิตย์
ในสายตา “ตำรวจ” ส่วนใหญ่ดูจะไม่คิดเช่นเดียวกับ พล.ต.อ.สมยศ เพราะหากทหารต้องการตัวจริงเพียงแค่ประสานงานมา ตำรวจก็ต้องนำตัวไปส่งให้ ไม่จำเป็นต้องเข้ามา ถึงจะอ้างประกาศ คสช. อ้างการควบคุมตัวตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่ให้อำนาจไว้ แต่ในความเป็นจริง พล.ต.อ.สมยศ ในฐานะ ผบ.ตร. เป็นถึงรองหัวหน้า คสช. สามารถคุมตัวไปส่งได้ไม่ต่างกัน
นับถอยหลังยังเหลือเวลาอีกกว่า 5 เดือน “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จะเกษียณอายุราชการตำแหน่ง “ผบ.ตร.” แต่ดูท่า 5 เดือนที่เหลือจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบให้เดินลงจากเก้าอี้แบบสง่าผ่าเผยอย่างที่ตั้งใจเสียแล้ว
ดีไม่ดีอาจมีรายการสะดุดแข้งสะดุดขา ล้มหัวทิ่มหัวคะมำได้ตลอดเวลา
ยิ่งพักหลังดวงชะตา พล.ต.อ.สมยศ ดูท่าจะตกเกณฑ์ “พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” ลำพังสังคมทั่วไปวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานกันก็ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้สิ่งที่ “บิ๊กอ๊อด” กำลังเผชิญ คือ การเกิด “วิกฤตศรัทธา” จากตำรวจ จากลูกน้อง จากผู้ใต้บังคับบัญชา นี่สิเป็นเรื่องใหญ่
การเสียชีวิตของ “ตำรวจหญิง” ที่ทำงานอยู่สำนักงาน ผบ.ตร. ที่มีการทิ้งปริศนาจาก “สามี” ซึ่งเป็นตำรวจด้วยกันเอง และเป็นผู้ลงมือฆ่าภรรยา ด้วยการนำนามบัตร พล.ต.อ.สมยศ สมัยเป็นรอง ผบ.ตร.ไปปักหมุดติดอยู่ข้างศพตัวเอง ถูกยึดโยงให้มองไปในทำนองชู้สาว แม้ “บิ๊กอ๊อด” จะชิงออกมายืนยันการันตีไม่เคยเป็น “สมภารกินไก่วัด” สยบกระแสข่าวลือใต้สะดือไประดับหนึ่ง แต่ยังมีเสียงนินทาว่ากินปูนรัอนท้องหรือเปล่า
ว่าก็ว่าเถอะ หลายปมหลายประเด็นก็ยังคาใจไร้คำตอบ และฝังอยู่ในความรู้สึกของคนสีกากี
กระนั้นพอเวลาผ่าน สถานการณ์ความรู้สึกทุกอย่างก็คลี่คลาย แต่สิ่งที่ทำให้ “ตำรวจ” ต้องกลับมาตั้งคำถามตัวโตๆ ต่อท่าที่ “ผบ.สมยศ” อีกครั้ง ก็เพราะเรื่องการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งเชื่อมโยงมาจากการพบหลุมศพชาวโรฮีนจา จำนวนมากบนยอดเขาแก้ว บ้านตะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา และกรณีทหารนำกำลังบุกเข้ามาควบคุมตัว 9 อิสราเอลที่มาสาธิตการใช้เครื่องดักฟังที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เจ้านาย “รักตำรวจ” หรือเจ้านาย “รักตัวเอง” กันแน่?
ปัญหาการค้ามนุษย์ การลักลอบนำชาวโรฮีนจาเข้ามาในประเทศไทย เพื่อผ่านไปประเทศที่ 3 แน่นอนนอกจากกลุ่มก้อนขบวนการทั้งคนไทย และคนโรฮีงญา รวมทั้งคนต่างชาติแล้ว เข้ามาหากินกับเพื่อนมนุษย์แล้ว เจ้าหน้าที่รัฐย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าก็ต้องเข้ามามีเอี่ยวผลประโยชน์ก้อนโตเช่นกัน
ทว่าการที่ พล.ต.อ.สมยศ เลือกที่จะเชือด “ตำรวจ” ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโรฮีงญา ก่อนเป็นประเด็นถึง 52 ราย หรือเกินกว่าครึ่งร้อย ตั้งแต่ระดับนายพลลงมาถึงชั้นประทวน ก็เหมือนเป็นการรับเต็มๆ ว่า การค้ามนุษย์ การลักลอบนำพาชาวโรฮีนจาเข้าประเทศ “ตำรวจ” เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ก้อนนี้แน่นอน
ดูจะต่างจากหน่วยงานอื่นไม่ว่าจะเป็นทหาร, กอ.รมน..กระทรวงมหาดไทย.กระทรวงยุติธรรม ฯลฯ ยังไม่มีใครขยับออกมาดำเนินการอะไรกับเจ้าหน้าที่ในสังกัด เพราะส่วนใหญ่จะเลือกสอบสวนกันภายในก่อนที่จะลงโทษ ต่างจาก “ตำรวจ” ที่เลือกลงโทษก่อนสอบสวนข้อเท็จจริง
ทำให้ “ตำรวจ” ต่างรู้สึกว่า เหตุใด “ผบ.สมยศ” ไม่ปกป้องลูกน้องก่อน ทำไมรีบชิงออกตัวเชือดลูกน้อง แทนที่จะตั้งกรรมการขึ้นมาสอบสวนหาผู้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์โรฮีนจาจริงๆ แล้วถึงดำเนินการ ไม่ใช่หว่านแห “ฆ่าน้อง เอาใจนาย” เพราะการทำเช่นนี้สังคมภายนอกก็ย่อมพิพากษาไปแล้วว่า “ตำรวจ” คือตัวการสำคัญในการรับประโยชน์สินบนขบวนการค้ามนุษย์
และที่สำคัญการเลือก “ฆ่าน้อง เอาใจนาย” พล.ต.อ.สมยศ ใช้มาตรฐานเดียวในการดำเนินการหรือไม่ เพราะยืนยันการลงโทษข้อบกพร่องครั้งนี้ ยึดตามคำสั่ง ตร.234/2558 ที่แก้ไข ทั้งหน่วยปฏิบัติและหน่วยเสริมที่รับผิดชอบพื้นที่ต้องรับผิดชอบ รวมทั้งผู้บังคับบัญชาก็ต้องรับผิดชอบ
แต่พอย้อนไปดูท้ายคำสั่ง 234 ที่ระบุว่า การพิจารณาทางการปกครองกับผู้บังคับบัญชาระดับกองบัญชาการ ในกรณีที่มีการจับกุมอบายมุขเป้าหมายในพื้นที่รับผิดชอบของสถานีตำรวจ ตั้งแต่ 3 สถานีขึ้นไป ภายในหรือต่าง บก.และ ภ.จว. อำนาจเรียกระดับ ผบช. และ รอง ผบช.ไปปฏิบัติหน้าที่ ตร. หรือหน่วยอื่นได้
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการลงโทษทางวินัยครั้งนี้ กลับเกิดคำถามขึ้นว่า กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 มี ผกก.ในสังกัด ถูกคำสั่งช่วยราชการถึง 4 ราย คือ พ.ต.อ.ชัยสิทธิ์ ดีสุข ผกก.บริการคนต่างด้าว บก.ตม.6 พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ ผกก.ตม.จว.ระนอง พ.ต.อ.ธีระยุทธ บุตรน้ำเพชร ผกก.ตม.จว.สตูล พ.ต.อ.สุนทร อรุณนารา ผกก.ตม.จว.สงขลา ซึ่งอยู่ในสังกัด บก.ตม.6 เหตุใด พล.ต.ต.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผบก.ตม.6 ยังไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ
หรือกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) มี ผกก.ในสังกัดถูกคำสั่งช่วยราชการ 2 ราย คือ พ.ต.อ.อริยพล สินสอน ผกก.5 บก.ปคม.กับพ.ต.อ.สง่า ธีรศรัณยานนท์ ผกก.6 บก.ปคม.ทำไมพล.ต.ต.ธิติ แสงสว่าง ผบก.ปคม. ยังได้ทำงานตามปกติ รวมทั้ง พล.ต.ต.อำพล บัวรับพร ผบก.ภ.จว.สงขลา ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ที่มีหลุมศพชาวโรฮีนจาอยู่จำนวนมาก เหตุใดไม่ต้องรับผิดชอบ หรือทั้งหมดมีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสีกากีขั้วอำนาจปัจจุบัน
เช่นเดียวกับกรณีทหาร 3 รถฮัมวี่ เข้ามาควบคุมตัวชาวอิสราเอล 9 คน ที่มาสาธิตการใช้เครื่องดักฟังโทรศัพท์ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลดูคุณภาพ ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้ พล.ต.อ.สมยศ จะออกมาแก้ต่างบอกมีการประสานการเข้าควบคุมตัวเพื่อนำไปซักถามจากฝ่ายทหารแล้ว ไม่ใช่การหวาดระแวงระหว่าง ทหารกับตำรวจ หรือการหมิ่นศักดิ์ศรีกัน
แต่ในสายตา “ตำรวจ” ส่วนใหญ่ดูจะไม่คิดเช่นเดียวกับ พล.ต.อ.สมยศ เพราะหากทหารต้องการตัวจริงเพียงแค่ประสานงานมา ตำรวสจก็ต้องนำตัวไปส่งให้ ไม่จำเป็นต้องเข้ามา ถึงจะอ้างประกาศ คสช. อ้างการควบคุมตัวตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ที่ให้อำนาจไว้ แต่ในความเป็นจริง พล.ต.อ.สมยศ ในฐานะ ผบ.ตร. เป็นถึง รองหัวหน้า คสช.สามารถคุมตัวไปส่งได้ไม่ต่างกัน
การที่ พล.ต.อ.สมยศเลือกที่จะออกลูกรอมชอม ชนิดบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นกับการกระทำของทหารครั้งนี้ อาจได้ใจผู้มีอำนาจ อาจได้ใจรัฐบาลท็อปบูท แต่สำหรับ “ตำรวจ” พล.ต.อ.สมยศ ไม่ได้ใจแม้แต่น้อย เพราะโดนลูบหน้า โดนลูบคมถึงบ้านตัวเอง
ท่าทีของ “พล.ต.อ.สมยศ” อาจจะทำให้วิกฤตเก้าอี้ “ผบ.ตร.” ที่โดนลือมาตลอดว่าสั่นคลอนจากความไม่พอใจจากรัฐบาลท็อปบูตไปได้ แต่วิกฤตศรัทธาจาก “ตำรวจ” ลูกน้องตัวเองกำลังก่อตัวขึ้นเป็นเกลียวคลื่นใต้น้ำรอวันปะทุอยู่ทุกเมื่อ