xs
xsm
sm
md
lg

แฉเบื้องหลังทหารม้าบุกสันติบาล ตร.เปิดศึกวางยาล้มซื้อเครื่องดักฟัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

แฉเบื้องหลังทหารม้าบุกสันติบาล เหตุตำรวจทำพิลึกสาธิตเครื่องดักฟังประสิทธิภาพสูงอันตรายต่อความมั่นคงอย่างโจ๋งครึ่ม เตรียมจัดระเบียบทุกหน่วยงานรัฐต้องขอความเห็นชอบจาก รมว.กลาโหม แต่วงลึกระบุมีไอ้โม่งเตรียมงาบเปอร์เซ็นต์ราคาเครื่องละ 250 ล้าน เผย “บิ๊กนครบาล” เจ้าเก่าเจ็บใจคู่ปรับเอาเครื่องดักฟังจากชายแดนใต้มาใช้นอกภารกิจ ได้ทีรู้ข้อมูลแจ้งข่าวทหารไล่กระเจิง ชี้ นรต. รุ่น 35 - 36 เปิดศึกกันเต็มตัว

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะออกมาขอให้ทุกฝ่ายยุติหยุดวิพากษ์วิจารณ์กรณีกำลังทหารจากกองพลม้าที่ 2 รักษาพระองค์กว่า 10 นาย พร้อมอาวุธครบมือบุกจู่โจมเข้าควบคุมตัวเจ้าหน้าที่บริษัทอิสราเอล ระหว่างสาธิตอุปกรณ์ดักฟังบนชั้นสอง ห้องอเนกประสงค์ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งตั้งอยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่กระแสความข้องใจซึ่งเกิดขึ้นต่อความรู้สึกของข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไปยังคงสอบถามความเป็นมาเป็นไป รวมถึงเบื้องหลังที่แท้จริงของเหตุการณ์ครั้งนี้

แหล่งข่าวทหารเปิดเผยว่าปฏิบัติการของทหารกองพลม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) นั้น แม้เป็นเรื่องที่ยากต่อการตัดสินใจแต่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเครื่องดักรับสัญญาณโทรศัพท์ดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการดักฟังทั่วไปสามารถล็อกสัญญาณโทรศัพท์เป้าหมายได้เลยในทุกระบบ ทุกเครือข่ายกระทั่ง 4จี ก็จับสัญญาณได้อย่างแม่นยำ

“เครื่องดักฟังดังกล่าวกองอำนวยการรักษาความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 2 เครื่องมีการอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่างถูกต้องแต่ปัจจุบันเครื่องดักฟังที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างสูงสุดนี้ มีการประกาศขายกันอย่างกว้างขวาง หลายหน่วยงานต่างจัดหามาใช้เป็นขอตัวเองโดยขออนุญาตผ่านคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช.แต่ในช่วงรัฐบาลที่ผ่านๆมาไม่มีการควบคุม หน่วยงานที่ซื้อไว้ใช้คือกรมสอบสวนคดีพิเศษ และอื่นๆแต่แจ้งจดทะเบียนเนเครื่องมือสื่อสารธรรมดา”

ฝ่ายความมั่นคงทหารยังระบุด้วยว่าการขออนุญาตจาก กสทช. เป็นการอาศัยช่องว่างของกฎหมาย และเป็นการแจ้งเท็จกอปรกับเห็นเป็นหน่วยงานราชการด้วยกัน กสทช. จึงอนุญาตเพราะเข้าใจว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารปกติ ซึ่งจากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่บริษทเอกชนอิสราเอล ก็ยังไม่ยอมให้ข้อมูลว่าได้เสนอขายให้กับใครไปบ้าง ในประเทศไทยมีกี่เครื่องทราบแต่เพียงว่ายังมีบริษัทฝรั่งเศส มาเสนอขายให้กับทางการไทยด้วย

“ที่ผ่านๆ มา ระบบการตรวจสอบหละหลวมมาก กรณีทหารเข้าล็อกตัวเมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางนั้น เพราะมีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้สนใจกันทางสื่อออนไลน์อย่างโจ๋งครี่ม ถ้าทหารที่ดูแลเรื่องความมั่นคงไม่ดำเนินการก็ถือว่าละเว้นตามมาตรา 157 ขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงทหารมีแนวคิดให้ คสช. ออกคำสั่งตรวจสอบหน่วยงานต่างๆ ที่ครอบครองเครื่องมือเหล่านี้นำมาขึ้นทะเบียนยุทธภัณฑ์ให้ถูกต้องโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นผู้อนุมัติในการครอบครอง”

ส่วนการเคลื่อนไหวทางด้านตำรวจตลอดวันนี้ (9 พ.ค.) ทั้งผู้สื่อข่าวประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจในระดับต่างๆ ยังพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ต่างยังข้องใจปฏิบัติการของทหาร เพราะถือว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็คือ หน่วยงานราชการ มีส่วนดูแลความมั่นคงและทำงานกับฝ่ายทหารอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ แม้ในจะมีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้างโดยฝ่ายตำรวจมักเป็นฝ่ายรองรับก็พอเข้าใจได้ เพราะต้นทุนทางสังคมต่ำแต่กรณีทหารพร้อมอาวุธครบมือจู่โจมเข้าควบคุมการสาธิต และล็อกตัวเจ้าหน้าที่อิสราเอล ต่อหน้าต่อตานายตำรวจน้อยใหญ่ถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น การยุติเรื่องดังกล่าวทางออกที่ดีที่สุด ก็คือ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจังว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร และให้ลงโทษกับทุกฝ่ายหากพบความบกพร่องมิใช่ผู้นำออกมาขอโทษแล้วๆ กันไป

แหล่งข่าวระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข้อมูลสำคัญว่าความผิดพลาดดังกล่าวน่าจะเกิดจากสาเหตุหลักๆ 2 - 3 ประเด็นคือตำรวจเองโดย กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ก็มีพฤติการณ์ไม่เคลียร์ 100% เพราะเรื่องมือดักฟังที่ว่านี้มีข้อละเอียดอ่อนทางกฎหมาย คำชี้แจงของฝ่ายทหารสามารถรับฟังได้ส่วนจะเหมาะสม หรือรุนแรงเกินไปจนมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติกันนั้นก่อนวิพากษ์วิจารณ์กันไปก็ควรรับรู้ข้อมูลต่างๆ ให้มากที่สุด

“เรื่องที่ควรประสานงานกันได้แต่กลายเป็นประสานงา น่าจะมาจากประเด็นแรกมีบริษัทคู่แข่งของอิสราเอล ต้องการจะเสนอขายด้วยแต่ถูกผู้มีอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กีดกันจึงเกิดการหักหน้ากันเกิดขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ต้องมองไปว่ามีการล็อกสเปก เข้าข่ายทุจริตกันหรือไม่เพราะขั้นตอนต่อไปก็คงชงเรื่องให้มีการจัดซื้อจัดจ้างในระบบพิเศษ ทราบมาว่าเครื่องมือดังกล่าวมีราคาตกชุดละ 250 ล้านบาทหากท่านนายกฯจะให้เลิกๆ กันไปคนที่พยายามทำผิด หรือกระบวนการหากินกับงบประมาณก็จะรอดตัวไปจึงอยากให้จัดการสอบสวนให้ชัดเจนถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด”

มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า นอกจากบริษัทคู่แข่งต้องการล้มประมูลเครื่องดักฟังแล้วยังมีกรณีศึกประลองยุทธระหว่าง นรต.35 และ นรต.36 เข้ามาแทรกด้วยโดยแหล่งข่าวระบุว่าเครื่องมือดักฟังที่มีประสิทธิภาพใก้ลเคียงกับที่นำมาสาธิตนั้นอยู่ในครอบครองของตำรวจที่ปฏิบัติการสามจังหวัดชายแดนใต้ ต่อมาเมื่อไม่นานมานี้มีการนำมาใช้นอกภารกิจดักฟังการเคลื่อนไหวของพวกกันเองภายในกรุงเทพมหานคร และความลับเกิดรั่วไปเข้าหู “บิ๊กนครบาล” คนหนึ่งซึ่งมีความขัดแย้งกันระหว่างรุ่นต่อรุ่นจนเกิดความไม่พอใจและเตรียมปฏิบัติการเอาคืนจนเมื่อมีการเสนอจัดซื้อจัดจ้างเครื่องดักฟังของอิสราเอล ซึ่งชงเรื่องโดยสายอำนาจ นรต.36 ที่คุมกำลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างกว้างขวางไล่มาตั้งแต่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง หัวหอกของรุ่น พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล เป็นต้น

วันเวลาดังกล่าวก่อนการสาธิต นรต. รุ่น 35 บางคนที่มีความสนิทคุ้นเคยกับฝ่ายความมั่นคงของทหารเป็นอย่างดีจึงนำข้อมูลไปแจ้งให้ทราบก่อนลงมือปฏิบัติการล็อกตัวเจ้าหน้าที่บริษัทเอกชนอิสราเอล ระหว่างการสาธิตเครื่องมือดักฟังโทรศัพท์ที่สันติบาลดังกล่าว รายงานข่าวระบุด้วยว่าความขัดแย้งระหว่างรุ่น นรต.35 และ 36 นับจะรุนแรงและมีความสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆซึ่งในเรื่องนี้ยังเป็นที่หนักอกหนักใจของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. เป็นอย่างยิ่ง เพราะแวดล้อมของ “บิ๊กอ๊อด” ล้วนแต่เป็น นรต. รุ่น 36 จนเกิดการกระทบกระทั่งกับ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรามณกุล ผบช.น. มาแล้วครั้งหนึ่งจากกรณีเข้าจับบ่อนการพนันเตาปูนจนเกิดการย้ายกราวรูดตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันว่าระหว่าง “เก่งเล็ก” กับ “เก่งใหญ่” ใครจะไปก่อนกันซึ่งหมายถึง ผบ.ตร. หรือ ผบช.น.ใครกันแน่จะโดนย้ายก่อนวาระ

สำหรับแนวคิดการสาธิตเครื่องดักฟังโทรศัพท์ ในหน่วยงานราชการนั้น แหล่งข่าวรายเดียวกันบอกว่าไม่เคยปรากฏว่ามีหน่วยงานไหนทำอย่างเต็มรูปแบบเป็นเรื่องเป็นราวอย่างกองบัญชาการตำรวจสันติบาล มาก่อน ข้อน่าสังเกตก็คือทำไปเพื่ออะไรทั้งที่รู้ว่าอาจจะมีปัญหาแง่มุมเรื่องกฎหมาย หรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่คำตอบน่าจะอยู่ตรงที่เป็นการ “ลับ ลวง พราง” ทำเสมือนว่าโปร่งใส มีการทดลองต่อหน้าข้าราชการจำนวนมาก สามารถนำไปอ้างเป็นสักขีพยานได้แต่ในทางหนึ่งการสาธิตในวันนั้นแหล่งข่าวระบุว่าตัวแทนของสันติบาล มีเพียง พล.ต.ต.สมชาย พัชรอินโต รอง ผบช. สันติบาล (นรต.36) มาเป็นประธาน ส่วน พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย (นรต.36) ผบช.สันติบาล ติดภารกิจไม่สามารถมาชมการสาธิตได้ หากมีการตำหนิกันในฐานะเจ้าภาพ หรือเจ้าของสถานที่ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ “บิ๊กช้าง” คนสนิท ผบ.ตร. ก็คงรอดไปอย่างฉิวเฉียด

“ดูจากการชี้แจงของท่าน ผบ.ตร. สังคมเห็นอะไรกันบ้าง ท่านยืนยันว่าเข้าใจผิด การพูดหรือแก้ต่างกับนักข่าวก็เป็นเรื่องที่ท่านต้องไปทางนั้นอยู่แล้วแต่หากสังเกตภาษากาย ก็จะเห็นได้ชัดว่าผู้นำองค์กรตำรวจกำลังอ่อนล้า มีความวิตกกับเรื่องนี้อย่างมาก อาจจะเพราะเกิดจากคนใกล้ตัว เป็นเรื่องงัดข้อระหว่างตำรวจระดับหัวหอกที่ต่างรุ่นกัน เหตุการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในระยะนี้ท่านคงอึดอัดอย่างที่สุด” แหล่งข่าวระบุในตอนท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น