ASTV ผู้จัดการรายวัน-ตชด.พบอีก 30 หลุ่มปริศนาในกุโบร์เก่า ใกล้ค่ายโรฮิงญา ลักษณะคล้ายหลุมฝังศพบนเขาแก้ว เตรียมเข้าตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้ง พบชาวโรฮิงญาถูกลอยแพอีก 13 คน "บิ๊กตู่"รับไทยยังหละหลวม เร่งขันน๊อตจัดการแก๊งค้ามนุษย์ สั่งประสานเมียนมาร์-มาเลเซียจับเข่าคุยถกปัญหา "บิ๊กป้อม"ลั่นเช็กบิล ใครมีเอี่ยวลากคอมาลงโทษให้หมด ผบ.ตร.ไม่กดดันเส้นตาย 10 วันสางคดี ยันลูกน้องไม่เสียขวัญ หลังถูกสั่งย้ายเพียบ หมายจับเพิ่มอีก 10 ราย รวมเป็น 18 ราย เผยอดีตรองนายกฯ ปาดังเบซาร์ดอกเข้ามอบตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 07.30 น. วานนี้ (7 พ.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 เข้าตรวจสอบกุโบร์ หรือสุสานมุสลิม ในพื้นที่ป่าสาธารณะหมู่ 7 บ้านฉลุง ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เขตรอยต่อกับพื้นที่หมู่ 10 ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ ซึ่งเป็นสุสานเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานเกือบ 40 ปี โดยพบหลุมฝังศพต้องสงสัยประมาณ 30 หลุม ที่นำมาฝังไว้ และเกือบทุกหลุมดินเริ่มทรุด ลักษณะหลุมเหมือนกับที่พบบนยอดเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา
ทั้งนี้ ชาวบ้านยืนยันว่า ภายในกุโบร์แห่งนี้ เดิมมีหลุมฝังศพอยู่เพียง 6 หลุมเท่านั้น ส่วนหลุมที่พบคาดว่าน่าจะนำมาฝังประมาณ 1 ปี เพราะก่อนหน้านี้ บริเวณพื้นที่ดังกล่าว เคยถูกใช้เป็นสถานที่พักชาวโรฮิงญาแห่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งของ จ.สงขลา ซึ่งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมเข้าตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้ง
นอกจากนี้ จากการออกลาดตระเวนพื้นที่หมู่ 10 บ้านคลองต่อ ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ใกล้กับที่พบหลุมฝังศพต้องสงสัยแห่งใหม่ประมาณ 30 หลุม พบแคมป์เก่าที่เคยใช้พักชาวโรฮิงญา ซึ่งถูกทิ้งร้างในสวนยางพารามานาน มีร่องรอยของผ้าใบ แคร่ เสื้อผ้าและกระเป๋ารวมทั้งขวดน้ำอยู่ภายในแคมป์ คาดว่าแคมป์แห่งนี้น่าจะเป็นที่พักชั่วคราวระหว่างเดินทางมาจาก จ.สตูลก่อนที่จะพาไปยัง อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อข้ามแดนไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน และยังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันพบชาวโรฮิงญาประมาณ 13 คน เดินอยู่ในชายป่าเทือกเขาแก้ว ต.กำแพงเพชร เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งกำลังออกลาดตระเวนตรวจสอบ และรับตัวไปควบคุมที่ สภ.ทุ่งตำเสา
** 13 โรฮิงญาโดนลอยแพอีก
ต่อมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แจ้งว่า จากการสอบสวนชาวโรฮิงญาทั้งจำนวน 13 คน ยอมรับว่า ได้รับการติดต่อจากนายหน้าว่าจะพาไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย และต้องทำงานชดใช้เงินเป็นเวลา 2 ปี โดยได้เดินทางมาพร้อมกับชาวโรฮิงญาจำนวน 30 คน จากประเทศพม่า นั่งเรือมาขึ้นฝั่งที่ จ.สตูล ก่อนที่จะมีนายหน้าพาเดินป่ามาตามเทือกเขาแก้วเป็นเวลา 13 วัน เพื่อข้ามแดนไปยังประเทศมาเลเซีย แต่กลับถูกปล่อยทิ้ง จนเจ้าหน้าที่มาพบดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า นอกจากชาวโรฮิงญากลุ่มนี้แล้ว เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ก็ได้ช่วยเหลือชาวโรฮิงญาอีก 17 คนขณะเดินอยู่บริเวณเชิงเขาแก้วเช่นกัน
** เล็งคุยพม่า-มาเลฯร่วมแก้ปัญหา
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาชาวโรฮิงญา ที่มีความต้องการให้รัฐบาลไทยพูดคุยกับทางเมียนมาร์และมาเลเซียว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งเวทีพูดคุยกันอยู่ ให้เข้าใจว่าการแก้ปัญหามีความเชื่อมโยง เพราะต้นทางของปัญหาไม่ได้เกิดในไทยที่เป็นกลางทาง ปลายทาง คือ ประเทศที่สามที่กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการไป ถ้ามุ่งมาที่เราฝ่ายเดียว ถือว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งต้องมีการหารือกับประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของชาวโรฮิงญาที่จับกุมได้นั้น ก็กำลังหาสถานที่พักพิงให้ เพราะคนเหล่านี้ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายในเรื่องการหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งกว่าจะพิจารณาคดีเสร็จ ก็ต้องเข้าไปอยู่ในพื้นที่กักกันและควบคุม แต่ไม่ได้คุมขัง ซึ่งถือว่าเป็นภาระของประเทศไทย และต่างชาติจับตาดูอยู่
"ต้องยอมรับว่าประเทศไทยหละหลวม ก็ต้องขันน๊อตให้แน่น อีกทั้งยังเป็นแหล่งหาเงินง่าย จึงมีคนจากประเทศต้นทางที่เสี่ยงลงเรือมาบุกป่าเข้ามา แล้วมาเจอคนที่แสวงหาผลประโยชน์ โดยคนที่ร่วมขบวนการ คือ คนที่มาก่อน และร่วมมือกับคนไทย เอาคนที่อยู่ปลายทางมาร่วมด้วย เจ้าหน้าที่ก็หลับตาบ้าง จึงจำเป็นต้องรื้อทั้งหมด"นายกฯ กล่าว
** “ประวิตร”ขู่เช็คบิลข้าราชการเอี่ยว
ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเรียกค่าไถ่ชาวโรฮิงญาว่า เรื่องนี้ต้องตรวจสอบในรายละเอียดว่าเป็นชื่อของใคร ขณะนี้มีเพียงข่าว แต่ยังไม่มีรายงานเป็นทางการ หากใครเกี่ยวข้องจะถูกดำเนินคดีทุกคน ตนยังไม่เคยบอกว่าเป็นใคร แต่บอกว่าหากเป็นข้าราชการ ตั้งแต่ทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการส่วนท้องถิ่น ไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์จะดำเนินการทั้งหมด ก็ต้องถูกลงโทษทั้งหมด
"เรามีความพร้อมในการชี้แจงกับสหภาพยุโรป (อียู) ที่จะเดินทางมาติดความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการทำประมงของไทย และยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลต่อการจัดอันดับการค้ามนุษย์ ที่จะมีขึ้นในเดือน มิ.ย.นี้"พล.อ.ประวิตรกล่าว
** “บิ๊กอ๊อด” ไม่กดดันเส้นตาย 10 วัน
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่นายกฯ สั่งการให้คลี่คลายคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาภายใน 10 วันว่า ไม่ได้กดดันกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากตำรวจและทหารได้ร่วมมือกันในการแก้ปัญหามาโดยตลอด เรื่องโรฮิงญาถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และถูกจับตาจากนานาชาติ ทำให้นายกฯ เป็นห่วงและให้ความสนใจเป็นพิเศษ
สำหรับการสั่งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากนั้น ถือว่ามีความจำเป็น เนื่องจากเกิดขึ้นมานานแล้ว นายตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่หากตรวจสอบแล้ว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะถูกพิจารณาย้ายกลับ แต่ถ้าพยานหลักฐานยืนยันว่า คนใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาโดยไม่ละเว้น
"ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ดำเนินการตรวจสอบย้อนหลังด้วยว่ามีนายตำรวจคนไหนบ้างที่เข้าไปเกี่ยวข้อง และยืนยันว่าการย้ายตำรวจจำนวนมากครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลต่อขวัญกำลังใจและการทำงาน พร้อมเตรียมเสนอให้มีการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจนอกวาระประจำปี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่มีการโยกย้ายด้วย” พล.ต.อ.สมยศกล่าว
** สั่งเช็คยิบเส้นทางตั้งแต่ลงเรือ
ที่ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นศูนย์ปฎิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า พล.ต.อ.เอก อัสนานนท์ รอง ผบ.ตร. แถลงข่าวความคืบหน้าการคลี่คลายคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เปิดปฎิบัติการยุทธการปิดปลายทางสกัดกั้นกลุ่มโรฮิงญาที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยจะมีกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองเดินลาดตระเวนเข้าไปทุกเส้นทาง ตั้งแต่ในพื้นที่ จ.สตูล ทั้งพื้นที่ป่า และแนวชายหาดที่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่กลุ่มโรฮิงญาลงเรือและลักลอบเข้ามาขึ้นฝั่งในหลายจุด ก่อนที่จะเดินทางตามเส้นทางธรรมชาติมายังพื้นที่ จ.สงขลา ที่มีการตรวจสอบพบแคมป์โรฮิงญา
ส่วนพื้นที่ป่าบริเวณเทือกเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ที่พบแคมป์โรฮิงญาก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.กล่าวว่า ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมพื้นที่อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นห่วงว่ากลุ่มโรฮิงญาจะกลับเข้ามาในแคมป์อีก และเพื่อเป็นการป้องปรามที่ก่อนหน้านี้มีการระบุว่า ชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในแคมป์ดังกล่าวได้แตกกระเจิงหลบหนีไปยังภูเขาฝั่งประเทศมาเลเซีย ซึ่งในส่วนนี้ได้มีการประสานงานร่วมกับประเทศมาเลเซียเป็นที่เรียบร้อย หากตรวจสอบพบกลุ่มโรฮิงญาไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหนก็ต้องจับกุมดำเนินคดีหมด
** ออกหมายจับ 10 ราย-มอบตัวเพิ่ม 1 ราย
พล.ต.ต.พุทธชาติ เอกฉันท์ รอง ผบช.ภาค 9 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า กล่าวว่า ล่าสุดได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 10 คน จากเดิม 8 คน รวมทั้งหมดคดีนี้ได้ออกหมายจับแล้วจำนวน 18 คน แยกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 7 คน และบุคคลทั่วไป 11 คน และสามารถติดตามจับกุมตัวได้แล้ว 6 คน แยกเป็นการจับกุม 3 คน เข้ามอบตัว 2 คน และอายัดตัวอีก 1 คน ยังต้องเร่งติดตามตัวผู้ต้องหาที่เหลืออีก 12 ราย
สำหรับผู้ต้องหา 10 รายที่ออกหมายจับเพิ่ม ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องเป็นการ์ด หรือผู้ที่ดูแลและให้การสนับสนุนกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์
พล.ต.ต.พุทธิชาติ กล่าวอีกว่า เมื่อเวลา 11.00 น. นายประสิทธิ์ เหล็มเหล๊ะ หรือเบต อดีตรองนายกเทศมนตรี ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, เรียกค่าไถ่คดี ได้เข้ามอบตัวแล้ว
** เปิดชื่อหมายจับ 10 ผู้ต้องหา
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. ได้เปิดเผยรายชื่อผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับจากศาลจังหวัดนาทวี จำนวน 10 ราย ประกอบด้วย 1.นายศักดา ทองแดง อายุ 20 ปี 2.นายสะอาลี เขร็ม อายุ 47 ปี 3.นายเจ็มุสา สีสัย อายุ 47 ปี 4.นางฝาริต๊ะ ทองแดง อายุ 46 ปี 5.นายสมยศ อังโชติพันธ์ อายุ 45 ปี 6.นายสุไหลหมาน หมัดอาค้ำ อายุ 59 ปี 7.นายพิชัย คงเอียว อายุ 45 ปี 8.นายมงคล สุโร อายุ 58 ปี 9.นายอัศณีย์รัญ นวลรอด อายุ 56 ปี 10.นายชลชาสน์ ไชยมณี อายุ 45 ปี ในฐานความผิดสมคบและร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป กระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์, ร่วมกันช่วยเหลือด้วยประการใดแก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง ผู้อื่นโดยทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และเรียกกันร่วมค่าไถ่ เหตุเกิดที่แคมป์คนงานบนเทือกเขาแก้ว อ.สะเดา จ.สงขลา
** ปัดมีชื่อ “พ.ต.” ถูกออกหมายจับ
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า มีการออกหมายจับนายทหารยศ พ.ต.คนหนึ่งใน จ.ระนอง ที่พัวพันเรื่องจับชาวโรฮิงญาเรียกค่าไถ่ว่า ขณะนี้ทางกองทัพบกยังไม่ได้รับการประสานจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีกำลังพลของกองทัพบกยศ พ.ต. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ถ้าพบว่ามีกำลังพลของกองทัพกระทำความผิดก็จะดำเนินการตรวจสอบตามกลไกภายในของกองทัพ
** ปปง.โวยึดทรัพย์ค้ามนุษย์ 189 ล้าน
พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า ในส่วนของ ปปง.ได้ดำเนินการกับทรัพย์สินในความผิดฐานค้ามนุษย์ไปแล้ว จำนวน 262 เรื่อง รวมมูลค่าประมาณ 189 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาและบังคับใช้แรงงานที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 121 รายการ มูลค่าประมาณ 32 ล้านบาทด้วย ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการส่งสำนวนให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน และยังมีเรื่องที่อยู่ระหว่างการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบทรัพย์สินเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ที่ได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 160 เรื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 07.30 น. วานนี้ (7 พ.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 เข้าตรวจสอบกุโบร์ หรือสุสานมุสลิม ในพื้นที่ป่าสาธารณะหมู่ 7 บ้านฉลุง ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เขตรอยต่อกับพื้นที่หมู่ 10 ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ ซึ่งเป็นสุสานเก่าที่ถูกทิ้งร้างมานานเกือบ 40 ปี โดยพบหลุมฝังศพต้องสงสัยประมาณ 30 หลุม ที่นำมาฝังไว้ และเกือบทุกหลุมดินเริ่มทรุด ลักษณะหลุมเหมือนกับที่พบบนยอดเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา
ทั้งนี้ ชาวบ้านยืนยันว่า ภายในกุโบร์แห่งนี้ เดิมมีหลุมฝังศพอยู่เพียง 6 หลุมเท่านั้น ส่วนหลุมที่พบคาดว่าน่าจะนำมาฝังประมาณ 1 ปี เพราะก่อนหน้านี้ บริเวณพื้นที่ดังกล่าว เคยถูกใช้เป็นสถานที่พักชาวโรฮิงญาแห่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งของ จ.สงขลา ซึ่งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมเข้าตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้ง
นอกจากนี้ จากการออกลาดตระเวนพื้นที่หมู่ 10 บ้านคลองต่อ ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ใกล้กับที่พบหลุมฝังศพต้องสงสัยแห่งใหม่ประมาณ 30 หลุม พบแคมป์เก่าที่เคยใช้พักชาวโรฮิงญา ซึ่งถูกทิ้งร้างในสวนยางพารามานาน มีร่องรอยของผ้าใบ แคร่ เสื้อผ้าและกระเป๋ารวมทั้งขวดน้ำอยู่ภายในแคมป์ คาดว่าแคมป์แห่งนี้น่าจะเป็นที่พักชั่วคราวระหว่างเดินทางมาจาก จ.สตูลก่อนที่จะพาไปยัง อ.สะเดา จ.สงขลา เพื่อข้ามแดนไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน และยังได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันพบชาวโรฮิงญาประมาณ 13 คน เดินอยู่ในชายป่าเทือกเขาแก้ว ต.กำแพงเพชร เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งกำลังออกลาดตระเวนตรวจสอบ และรับตัวไปควบคุมที่ สภ.ทุ่งตำเสา
** 13 โรฮิงญาโดนลอยแพอีก
ต่อมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แจ้งว่า จากการสอบสวนชาวโรฮิงญาทั้งจำนวน 13 คน ยอมรับว่า ได้รับการติดต่อจากนายหน้าว่าจะพาไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย และต้องทำงานชดใช้เงินเป็นเวลา 2 ปี โดยได้เดินทางมาพร้อมกับชาวโรฮิงญาจำนวน 30 คน จากประเทศพม่า นั่งเรือมาขึ้นฝั่งที่ จ.สตูล ก่อนที่จะมีนายหน้าพาเดินป่ามาตามเทือกเขาแก้วเป็นเวลา 13 วัน เพื่อข้ามแดนไปยังประเทศมาเลเซีย แต่กลับถูกปล่อยทิ้ง จนเจ้าหน้าที่มาพบดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า นอกจากชาวโรฮิงญากลุ่มนี้แล้ว เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ก็ได้ช่วยเหลือชาวโรฮิงญาอีก 17 คนขณะเดินอยู่บริเวณเชิงเขาแก้วเช่นกัน
** เล็งคุยพม่า-มาเลฯร่วมแก้ปัญหา
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาชาวโรฮิงญา ที่มีความต้องการให้รัฐบาลไทยพูดคุยกับทางเมียนมาร์และมาเลเซียว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งเวทีพูดคุยกันอยู่ ให้เข้าใจว่าการแก้ปัญหามีความเชื่อมโยง เพราะต้นทางของปัญหาไม่ได้เกิดในไทยที่เป็นกลางทาง ปลายทาง คือ ประเทศที่สามที่กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการไป ถ้ามุ่งมาที่เราฝ่ายเดียว ถือว่าไม่ถูกต้อง ซึ่งต้องมีการหารือกับประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของชาวโรฮิงญาที่จับกุมได้นั้น ก็กำลังหาสถานที่พักพิงให้ เพราะคนเหล่านี้ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายในเรื่องการหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งกว่าจะพิจารณาคดีเสร็จ ก็ต้องเข้าไปอยู่ในพื้นที่กักกันและควบคุม แต่ไม่ได้คุมขัง ซึ่งถือว่าเป็นภาระของประเทศไทย และต่างชาติจับตาดูอยู่
"ต้องยอมรับว่าประเทศไทยหละหลวม ก็ต้องขันน๊อตให้แน่น อีกทั้งยังเป็นแหล่งหาเงินง่าย จึงมีคนจากประเทศต้นทางที่เสี่ยงลงเรือมาบุกป่าเข้ามา แล้วมาเจอคนที่แสวงหาผลประโยชน์ โดยคนที่ร่วมขบวนการ คือ คนที่มาก่อน และร่วมมือกับคนไทย เอาคนที่อยู่ปลายทางมาร่วมด้วย เจ้าหน้าที่ก็หลับตาบ้าง จึงจำเป็นต้องรื้อทั้งหมด"นายกฯ กล่าว
** “ประวิตร”ขู่เช็คบิลข้าราชการเอี่ยว
ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเรียกค่าไถ่ชาวโรฮิงญาว่า เรื่องนี้ต้องตรวจสอบในรายละเอียดว่าเป็นชื่อของใคร ขณะนี้มีเพียงข่าว แต่ยังไม่มีรายงานเป็นทางการ หากใครเกี่ยวข้องจะถูกดำเนินคดีทุกคน ตนยังไม่เคยบอกว่าเป็นใคร แต่บอกว่าหากเป็นข้าราชการ ตั้งแต่ทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการส่วนท้องถิ่น ไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์จะดำเนินการทั้งหมด ก็ต้องถูกลงโทษทั้งหมด
"เรามีความพร้อมในการชี้แจงกับสหภาพยุโรป (อียู) ที่จะเดินทางมาติดความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการทำประมงของไทย และยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลต่อการจัดอันดับการค้ามนุษย์ ที่จะมีขึ้นในเดือน มิ.ย.นี้"พล.อ.ประวิตรกล่าว
** “บิ๊กอ๊อด” ไม่กดดันเส้นตาย 10 วัน
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่นายกฯ สั่งการให้คลี่คลายคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาภายใน 10 วันว่า ไม่ได้กดดันกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากตำรวจและทหารได้ร่วมมือกันในการแก้ปัญหามาโดยตลอด เรื่องโรฮิงญาถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และถูกจับตาจากนานาชาติ ทำให้นายกฯ เป็นห่วงและให้ความสนใจเป็นพิเศษ
สำหรับการสั่งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากนั้น ถือว่ามีความจำเป็น เนื่องจากเกิดขึ้นมานานแล้ว นายตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่หากตรวจสอบแล้ว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะถูกพิจารณาย้ายกลับ แต่ถ้าพยานหลักฐานยืนยันว่า คนใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องถูกดำเนินคดีอาญาโดยไม่ละเว้น
"ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ดำเนินการตรวจสอบย้อนหลังด้วยว่ามีนายตำรวจคนไหนบ้างที่เข้าไปเกี่ยวข้อง และยืนยันว่าการย้ายตำรวจจำนวนมากครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลต่อขวัญกำลังใจและการทำงาน พร้อมเตรียมเสนอให้มีการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจนอกวาระประจำปี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่มีการโยกย้ายด้วย” พล.ต.อ.สมยศกล่าว
** สั่งเช็คยิบเส้นทางตั้งแต่ลงเรือ
ที่ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นศูนย์ปฎิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า พล.ต.อ.เอก อัสนานนท์ รอง ผบ.ตร. แถลงข่าวความคืบหน้าการคลี่คลายคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้เปิดปฎิบัติการยุทธการปิดปลายทางสกัดกั้นกลุ่มโรฮิงญาที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย โดยจะมีกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองเดินลาดตระเวนเข้าไปทุกเส้นทาง ตั้งแต่ในพื้นที่ จ.สตูล ทั้งพื้นที่ป่า และแนวชายหาดที่ถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่กลุ่มโรฮิงญาลงเรือและลักลอบเข้ามาขึ้นฝั่งในหลายจุด ก่อนที่จะเดินทางตามเส้นทางธรรมชาติมายังพื้นที่ จ.สงขลา ที่มีการตรวจสอบพบแคมป์โรฮิงญา
ส่วนพื้นที่ป่าบริเวณเทือกเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ที่พบแคมป์โรฮิงญาก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.กล่าวว่า ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมพื้นที่อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นห่วงว่ากลุ่มโรฮิงญาจะกลับเข้ามาในแคมป์อีก และเพื่อเป็นการป้องปรามที่ก่อนหน้านี้มีการระบุว่า ชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในแคมป์ดังกล่าวได้แตกกระเจิงหลบหนีไปยังภูเขาฝั่งประเทศมาเลเซีย ซึ่งในส่วนนี้ได้มีการประสานงานร่วมกับประเทศมาเลเซียเป็นที่เรียบร้อย หากตรวจสอบพบกลุ่มโรฮิงญาไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหนก็ต้องจับกุมดำเนินคดีหมด
** ออกหมายจับ 10 ราย-มอบตัวเพิ่ม 1 ราย
พล.ต.ต.พุทธชาติ เอกฉันท์ รอง ผบช.ภาค 9 ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า กล่าวว่า ล่าสุดได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 10 คน จากเดิม 8 คน รวมทั้งหมดคดีนี้ได้ออกหมายจับแล้วจำนวน 18 คน แยกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 7 คน และบุคคลทั่วไป 11 คน และสามารถติดตามจับกุมตัวได้แล้ว 6 คน แยกเป็นการจับกุม 3 คน เข้ามอบตัว 2 คน และอายัดตัวอีก 1 คน ยังต้องเร่งติดตามตัวผู้ต้องหาที่เหลืออีก 12 ราย
สำหรับผู้ต้องหา 10 รายที่ออกหมายจับเพิ่ม ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องเป็นการ์ด หรือผู้ที่ดูแลและให้การสนับสนุนกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์
พล.ต.ต.พุทธิชาติ กล่าวอีกว่า เมื่อเวลา 11.00 น. นายประสิทธิ์ เหล็มเหล๊ะ หรือเบต อดีตรองนายกเทศมนตรี ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, เรียกค่าไถ่คดี ได้เข้ามอบตัวแล้ว
** เปิดชื่อหมายจับ 10 ผู้ต้องหา
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. ได้เปิดเผยรายชื่อผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับจากศาลจังหวัดนาทวี จำนวน 10 ราย ประกอบด้วย 1.นายศักดา ทองแดง อายุ 20 ปี 2.นายสะอาลี เขร็ม อายุ 47 ปี 3.นายเจ็มุสา สีสัย อายุ 47 ปี 4.นางฝาริต๊ะ ทองแดง อายุ 46 ปี 5.นายสมยศ อังโชติพันธ์ อายุ 45 ปี 6.นายสุไหลหมาน หมัดอาค้ำ อายุ 59 ปี 7.นายพิชัย คงเอียว อายุ 45 ปี 8.นายมงคล สุโร อายุ 58 ปี 9.นายอัศณีย์รัญ นวลรอด อายุ 56 ปี 10.นายชลชาสน์ ไชยมณี อายุ 45 ปี ในฐานความผิดสมคบและร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป กระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์, ร่วมกันช่วยเหลือด้วยประการใดแก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง ผู้อื่นโดยทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และเรียกกันร่วมค่าไถ่ เหตุเกิดที่แคมป์คนงานบนเทือกเขาแก้ว อ.สะเดา จ.สงขลา
** ปัดมีชื่อ “พ.ต.” ถูกออกหมายจับ
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า มีการออกหมายจับนายทหารยศ พ.ต.คนหนึ่งใน จ.ระนอง ที่พัวพันเรื่องจับชาวโรฮิงญาเรียกค่าไถ่ว่า ขณะนี้ทางกองทัพบกยังไม่ได้รับการประสานจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีกำลังพลของกองทัพบกยศ พ.ต. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด แต่ถ้าพบว่ามีกำลังพลของกองทัพกระทำความผิดก็จะดำเนินการตรวจสอบตามกลไกภายในของกองทัพ
** ปปง.โวยึดทรัพย์ค้ามนุษย์ 189 ล้าน
พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า ในส่วนของ ปปง.ได้ดำเนินการกับทรัพย์สินในความผิดฐานค้ามนุษย์ไปแล้ว จำนวน 262 เรื่อง รวมมูลค่าประมาณ 189 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาและบังคับใช้แรงงานที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 121 รายการ มูลค่าประมาณ 32 ล้านบาทด้วย ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการส่งสำนวนให้อัยการยื่นคำร้องต่อศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน และยังมีเรื่องที่อยู่ระหว่างการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและตรวจสอบทรัพย์สินเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ที่ได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 160 เรื่อง