ASTVผู้จัดการรายวัน-"ประยุทธ์"ขีดเส้น 10 วัน สั่งทหาร ตำรวจ และพลเรือนตรวจทุกพื้นที่ทลายแก๊งค้ามนุษย์ แย้มไม่ลังเล หากต้องใช้ ม.44 แก้ปมโรฮิงญา "จักรทิพย์" เตรียมหารือ ผบ.ตร.มาเลย์ ร่วมมือแก้ปัญหา พร้อมล่า "สุพจน์" มือฆ่าหวังสาวถึงเสี่ยตัวการใหญ่ สั่งระดมกำลังค้นเกาะแก่งหาที่ตั้งแคมป์ "ประวิตร"ลั่น เด้งหมดตำรวจ ทหาร หากมีเอี่ยว และดำเนินคดีอาญาซ้ำ ส่วนการขุดสุสานพบ 6 ศพ ส่งตรวจพิสูจน์แล้ว กสม.จี้รัฐเร่งเอาผิดแก๊งค้ามนุษย์ เตรียมลงพื้นที่ตรวจ 13 พ.ค.นี้
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ของกลุ่มชาวโรฮิงญาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเพิ่มเติมให้ตรวจสอบในทุกพื้นที่ โดยเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้านเรื่อยมาจนถึงนายอำเภอ โดยมีปลัดจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการในภาพรวม ซึ่งการสั่งการดังกล่าวเพื่อตรวจสอบว่าในพื้นที่ต่างๆ มีแหล่งควบคุมกักกัน หรือเป็นพื้นที่ที่รวบรวมคนที่จะส่งต่อไปหรือไม่ ถ้ามีก็จะต้องดำเนินการนำผู้กระทำผิดหรือผู้เกี่ยวข้องมาลงโทษให้ได้และต้องไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
"เรื่องนี้ได้ดำเนินการไปในระยะแรกแล้ว และนายกรัฐมนตรีได้สั่งการเพิ่มเติมอีกว่า ทหาร ตำรวจ พลเรือนในพื้นที่ทุกคนจะต้องลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่เฉพาะประเด็นปัญหาของชาวโรฮิงญา แต่ทุกเรื่องที่เป็นเรื่องผิดกฎหมายทั้งการบุกรุกที่ดิน ยาเสพติด การทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งทุกเรื่องต้องดำเนินการควบคู่กันไปเราจะไม่ยอมให้มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นอีก"พล.ต.สรรเสริญกล่าว
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการเพิ่มเติมในอีก 3 ประเด็น คือ 1.นายกรัฐมนตรีได้ให้เวลาในการตรวจสอบพื้นที่ 10 วัน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยกรมการปกครองจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลในพื้นที่ 2.ทางจังหวัดต้องมีการประชุมชี้แจงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รับทราบนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลว่ารายละเอียดของแต่ละส่วนจะต้องปฏิบัติอย่างไร และ 3.ถ้ามีข้อมูลพบว่าในพื้นที่หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจนระดับพื้นที่ไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ก็ให้รายงานขึ้นมาที่อธิบดีกรมการปกครองซึ่งได้มีการรวบรวมแล้วส่วนกลางจะเข้าไปดำเนินการแก้ไขให้
***เผยนายกฯ ไม่ลังเลใช้ม.44แก้ไข
เมื่อถามว่ารัฐบาลมีแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดการค้ามนุษย์ขึ้นอีกหรือไม พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นในวันนี้ เราพยายามแก้ไขทั้งระบบ ถ้าได้ศึกษาประเด็นปัญหาของชาวโรฮิงญาจะพบว่าเราเป็นประเทศปลายทาง ชาวโรฮิงญาก็เป็นเหยื่อที่ปลายทางเช่นเดียวกัน เขาอาจจะถูกหลอกมาว่าอาจไปมีอนาคตที่อื่น จนมีการหลอกเป็นทอดๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้ต้องมีความชัดเจนในระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกจะทำอย่างไร โดยขั้นต้นในพื้นที่เองต้องไม่เปิดโอกาสให้มีเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก และต้องนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้
เมื่อถามว่าตอนนี้ยังใช้มาตรการปกติใช่หรือไม่พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า เบื้องต้นยังเป็นมาตรการปกติ แต่ถ้าหากมีปัญหาติดขัด นายกรัฐมนตรีก็ไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อแก้ปัญหา
**เตรียมหารือมาเลย์คุ้ยข้อมูลค้าโรฮิงญา
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวก่อนเข้าประชุม "คณะทำงานเตรียมการประชุมร่วมระหว่างตำรวจมาเลเซีย-ไทยระดับบริหาร ครั้งที่ 23" ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11-14 พ.ค.ถึงความคืบหน้ากรณีพบศพชาวโรฮิงญาในสถานกักกันบนเขาไม้แก้วติดกับชายแดนไทย-มาเลเชีย ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลาว่า ได้เตรียมการหารือกับทางการมาเลเซียในหลายๆ เรื่อง ใน 9 กรอบการเจรจา โดยประเด็นเรื่องโรฮิงญาและกรณีเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ยูฟัน อยู่ในกรอบการเจราจาด้วย แต่ทั้ง 2 เรื่องนี้จะต้องมีการหารือกันนอกรอบ เพราะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่ต้องอาศัยความร่วมมือของ 2 ประเทศ โดยเบื้องต้น ตนได้มีการคุยกับทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประเทศมาเลเซียบ้างแล้ว ส่วนการประสานกับประเทศเมียนมาร์นั้นได้สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค 8 ประสานงานกับประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นประเทศต้นทาง และประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศปลายทางแล้ว และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
***เร่งล่า"สุพจน์"หวังสาวถึงตัวการใหญ่
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า สำหรับการออกหมายจับนายทหารยศพันตรีที่เป็นบุคคลเรียกค่าไถ่นั้นขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการสอบสวน ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เน้นย้ำว่า หากการสืบสวนสอบสวนเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใดให้ดำเนินคดีทันที ขณะเดียวกันเกี่ยวกับคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ซึ่งก่อนหน้านี้มีการโยกย้ายนายตำรวจไปแล้ว 15 คน ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งเพิ่มเติม แต่คาดว่าจะมีคำสั่งย้ายในอนาคต ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกโยกย้ายไปก่อนหน้านี้ต้องดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม
ส่วนการติดตามตัวนายสุพจน์ หมื่นซิ่ว ผู้ต้องหารายสำคัญ ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ลงมือยิงชาวโรฮิงญานั้น รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า จากการข่าวคาดว่าจะเป็นตัวการสำคัญในการคลี่คลายคดี และสาวไปถึงตัวการใหญ่ อาทิ นาย ต. แต่ในส่วนของผมจะรับผิดชอบในเรื่องความเชื่อมโยงกับอาชญากรรมข้ามชาติ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ส่วนในทางสืบสวนสอบสวนเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.
"จะมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการร่วมในการปราบการค้ามนุษย์โรฮิงญาที่ อ.หาดใหญ่ โดยเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะสกัดการเข้ามาของขบวนการค้ามนุษย์กลุ่มนี้ ซึ่งทราบว่าใช้แนวชายแดนจังหวัดระนอง พังงา สตูล และ 3 จังหวัดภาคใต้รวมถึงสงขลาเป็นจุดพัก ศูนย์นี้จะมีหน้าที่ติดตามความคืบหน้าทางคดี ที่ได้ออกหมายจับไปแล้วหลายคน รวมถึงสกัดการค้ามนุษย์ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ที่สงขลา เชื่อว่าจะสามารถกวาดล้างขบวนการนี้ได้อย่างแน่นอน" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว
***สั่งค้นเกาะแก่งหาแคมป์โรฮิงญา
วันเดียวกันที่ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดสตูล พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.และคณะได้ลงพื้นที่ประชุมแก้ไขปัญหาการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองใน จ.สตูล โดยมีการประชุมเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์โดยอ้างอิงจากสถิติความผิดฐานการค้ามนุษย์ย้อนหลัง 5 ปี โดย รอง ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำกำชับการปฏิบัติงานในเชิงรุก พร้อมกับให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า โดยมี ผบช.ภ.9 เป็นหัวหน้าศูนย์ฯ เน้นหนักโดยเฉพาะคดีการค้ามนุษย์ และคดีที่เกี่ยวโยงพัวพัน พร้อมทั้งให้มีการลงพื้นที่เพื่อพิสูจน์ทราบเสาะหาแหล่งพักพิงชาวโรฮิงญาเป็นระยะๆ พร้อมกับการบูรณาการการทำงานกับทุกภาคส่วน
รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า พื้นที่ จ.สตูลพบว่า เป็นเพียงปลายทางที่ชาวโรฮิงญามีการลักลอบเข้ามาขึ้นบก จึงต้องมีการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น จ.ตรัง พังงา ระนอง และสตูล ส่วนแหล่งพักพิงเก่าพร้อมหลุมฝังศพที่อยู่บนเกาะตะรุเตามีอยู่อีกหรือไม่ และจะมีการออกหมายจับเพิ่มด้วยหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ ล่าสุดได้สั่งการให้มีการลงพื้นที่เกาะแก่งต่างๆ เพื่อพิสูจน์ทราบอีกครั้ง ส่วนขบวนการเครือข่ายค้ามนุษย์ขณะนี้พอทราบรายละเอียดว่ามีคนในพื้นที่ร่วมอยู่ด้วย แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
สำหรับกรณีการโยกย้ายผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูล และ ผกก.สภ.ควนโดน นั้น ยืนยันว่า มีข้อมูลเพียงพอในการเอาผิดทางวินัย และขณะนี้อยู่ในกระบวนการตรวจสอบอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็จะให้ความเป็นธรรม พร้อมขอให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาในการแจ้งเบาะแส ซึ่งจะมีการเปิดสายด่วน รับแจ้งเรื่องการค้ามนุษย์ในเร็วๆ นี้ด้วย
***เด้งหมดตำรวจ-ทหารมีเอี่ยวพ้นพื้นที่
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งกำชับให้ดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน โดยให้ไปดูว่าทั่วประเทศตรงไหนมีบ้าง และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยกันตรวจสอบและดูแล
ผู้สื่อข่าวถามว่าส่วนที่มีข่าวว่าข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ได้ยิน แต่คงต้องมี ข้าราชการรู้เห็น ก็ถือว่าใช้ไม่ได้
เมื่อถามว่าในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีการสั่งช่วยราชการไปแล้ว ในส่วนของทหารถ้าพบว่ามีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รู้สึกว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้มีการสั่งย้ายผู้การกรมในพื้นที่ไปแล้ว 1 คน ยศ “พ.อ.” ในส่วนของ พ.ต. ที่มีการออกหมายจับนั้น ตนยังไม่รู้ เดี๋ยวทางผู้บัญชาการทหารบกเป็นคนดูเอง เรื่องทหารไม่ต้องห่วง ส่วนการใช้มาตรฐานเดียวกับตำรวจไหม ใช้เหมือนกัน แต่ทหารอาจจะย้ายเลย
เมื่อถามว่านอกเหนือจากข้าราชการแล้วยังมีเอกชนหรือมีนักธุรกิจที่เข้ามาเกี่ยวข้อง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใครเกี่ยวข้องก็ดำเนินคดีหมด ไม่ต้องห่วง โดยเฉพาะกลุ่มไหนนั้น ตนยังไม่รู้เลย ต้องถาม พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
***ย้ายไม่พอดำเนินคดีอาญาด้วย
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.สมยศ เตรียมมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบพื้นที่และหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาไปช่วยราชการ จากนั้นจะมีคำสั่งโยกย้ายนอกวาระ และจะดำเนินคดีอาญาในรายที่มีหลักฐานเกี่ยวข้องร่วมกระทำผิดกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ออกหมายจับไปแล้ว
***ต้นสังกัดสอบทหารเอี่ยวเรียกค่าไถ่
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่มีนายทหารกับพวกเกี่ยวพันในการเรียกค่าไถ่นายหน้าผู้คุมชาวโรฮิงยาว่า ต้นสังกัดจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และขอให้มั่นใจว่าหากมีกำลังพลปฏิบัติหน้าที่ไม่บริสุทธิ์ กองทัพบกมีมาตรการทางวินัยขั้นรุนแรง โดยจะไม่ปกป้องกำลังพลที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมหรือกระทำความผิด
**ขุดสุสานมุสลิมเก่าพบ6ศพส่งพิสูจน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าการเข้าตรวจพิสูจน์หลุมฝังศพต้องสงสัยภายในสุสานมุสลิมเก่าบ้านเกาะใหญ่ หมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งได้มีการขุดหลุมศพทั้งหมด 8 หลุม ปรากฏว่าพบศพเพียง 6 ศพ เป็นหญิง 4 ศพ ชาย 2 ศพ แต่ยังไม่สามารถที่จะชี้ชัดได้ว่าเป็นศพของชาวโรฮิงญาที่ถูกลักลอบนำมาฝังหรือไม่ สภาพศพถูกฝังมานานเหลือเพียงโครงกระดูก และลักษณะของหลุมและการฝังศพนั้น แตกต่างจากหลุมฝังศพชาวโรฮิงญาที่พบจุดแรกบนยอดเขาแก้ว โดยภายในหลุมมีการปิดด้วยไม้กระดานเป็นอย่างดีและอยู่ลึก แต่หลุมศพชาวโรฮิงญาที่พบบนยอดเขาแก้วมีเพียงไม้ไผ่เท่านั้น
สำหรับสุสานแห่งนี้ เป็นสุสานเก่าที่ฝังศพของชาวบ้านตั้งแต่บรรพบุรุษเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ แต่หลุมฝังศพเต็มจึงย้ายไปตั้งสุสานแห่งใหม่ สำหรับศพที่พบทั้งหมดนั้น เจ้าหน้าที่ได้ทำการชันสูตรในเบื้องต้นและจะนำไปตรวจพิสูจน์อย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
**ฝากขัง 2 ผู้ต้องหา-ค้านประกันตัว
ด้านตำรวจ สภ.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ได้ควบคุมตัวนายร่อเอน สนยาแหละ และนายอาหลี ล่าเม๊าะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็น 2 ใน 5 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในคดีโรฮิงญา จากที่ถูกออกหมายจับ 8 คน ข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันเรียกค่าไถ่ไปฝากขังผลัดแรกที่ศาลจังหวัดนาทวีเป็นเวลา 12 วัน และคัดค้านการประกันตัว
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองคนยอมรับสารภาพแล้วโดยนายร่อเอน ทำหน้าที่ส่งเสบียงให้โรฮิงญาบนยอดเขาแก้ว ส่วนนายอาหลี ทำหน้าที่ดูต้นทางความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่และรวมกันทำมานานประมาณ 1 ปี นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีอีก 3 คน คือ นายประสิทธิ์ เหล็มเหล๊ะ รองนายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์ นายพรรคพล เบ็ญล่าเต๊ะ และนายเจริญ ทองแดง ล่าสุดมีรายงานว่าได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวแล้วเช่นกัน
ส่วนความคืบหน้าในด้านคดีนอกเหนือจากที่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้ว 8 คนจับกุมแล้ว 5 คน ยังพบว่ายังมีทหารเข้าไปเกี่ยวข้องเรียกรับผลประโยชน์ด้วย โดยก่อนหน้านี้ทาง สภ.ปาดังเบซาร์ ได้ออกหมายจับนายทหารไปแล้ว 2 นาย ซึ่งได้จับตัวนายหน้านำพาโรฮิงญา ไปเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 2 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในระหว่างหลบหนีการจับกุม
***กสม.จี้รัฐเร่งเอาผิดแก๊งเอี่ยวค้ามนุษย์
ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) คณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่มี นพ.นิรันดร์ วัชระพิทักษ์ เป็นประธาน ได้มีการประชุมหารือติดตามการแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญา กรณีมีการพบหลุมศพชาวโรฮิงญาจำนวนมาก ที่ปาดังเปซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา
นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวทำให้ไม่มีหน่วยงานไหนกล้าปฏิเสธอีกว่า ไม่มีขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทย รัฐบาลต้องตรวจสอบให้มีความชัดเจนเรื่องการเสียชีวิต และเอาคนผิดมาลงโทษ เพื่อตัดกระบวนการการค้ามนุษย์ในประเทศไทย และใช้เรื่องนี้เป็นโอกาสเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในระดับภูมิภาค ระดับโลกให้ได้ โดยไทยควรเป็นผู้เริ่มต้นในการหยิบยกเรื่องนี้ไปพูดคุยในเวทีระดับระดับภูมิภาค และระดับโลก เพราะปัญหาไม่ได้เกิดที่ประเทศไทยประเทศเดียว ซึ่งต้องให้ประเทศในภูมิภาคนี้ เลิกคิดว่าการพูดถึงปัญหานี้เป็นการแทรกแซงการเมืองในพม่า แต่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่ทุกข์ยาก ถูกบังคับเอาเปรียบ และถูกทำให้ตาย จึงต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาทั้งระบบ
ทั้งนี้ มองว่า หากรัฐบาลใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ในการแก้ไขปัญหานี้ โดยเฉพาะอำนาจในทางบริหาร เพื่อจัดการข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อกำจัดรากเหง้าของปัญหาได้ ก็น่าจะถือเป็นเรื่องที่ดี และแก้ไขปัญหาได้ และในวันที่ 13 พ.ค.นี้ จะลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ส่วนวันที่ 20 พ.ค. จะเชิญหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวของมาชี้แจงว่ามีการดำเนินการอะไรไปบ้าง
**"ไพบูลย์"ยันรัฐบาลปราบค้ามนุษย์จริง
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ได้ชี้แจงนายแพทริค เมอร์ฟี่ ถึงมาตรการปราบปรามและแก้ปัญหาขบวนการการค้ามนุษย์ของประเทศไทย โดยระบุว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างจริงจัง ในการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวต้องถูกดำเนินคดีโดย ไม่มีการละเว้นไม่ว่าจะระดับใด
***กองทัพเรือประชุมเตรียมพร้อมรับอียู
ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ วังนันทอุทยาน พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) เป็นประธานการประชุมแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม โดยมีหน่วยงาน กรมประมง กรมเจ้าท่า และกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามความคืบหน้าของการจัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย
พล.ร.อ.ไกรสร กล่าวว่า เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่คณะทำงานของสหภาพยุโรป (อียู) จะมาติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในวันที่ 8 พ.ค. และในวันที่ 20 พ.ค.นี้
***นายกฯ กำชับแผนระดับชาติต้องทำไว
ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ว่า นายกรัฐมนตรี ได้กำชับเรื่องมาตรการและแผนปฏิบัติการ ในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม โดยขอให้แล้วเสร็จภายในปลายเดือนพ.ค.2558 หากมีข้อขัดแย้ง ข้อขัดข้อง ให้ทางกองทัพเรือเสนอมาที่หัวหน้าคสช. ต่อไป เพื่อดำเนินการ