xs
xsm
sm
md
lg

“สมยศ” ไม่กดดันนายกฯสั่งสางปมโรฮิงญาใน 10 วัน ลั่นไม่เสียขวัญโยก ตร.ครึ่งร้อย-ใครเอี่ยวฟันไม่เลี้ยง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

แฟ้มภาพ
ASTVผู้จัดการ - ผบ.ตร. ไม่กดดันนายกฯ สั่งสางปมโรฮิงญา 10 วัน ชี้ทำเต็มที่ กำชับสกัดกั้นทุกช่องทางห้ามมีค่ายพักรอในไทย โยกตำรวจครึ่งร้อยไม่เสียขวัญ ยันหากพบตำรวจเอี่ยวฟันอาญาไม่เลี้ยง

วันนี้ (7 พ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการพบศพชาวโรฮิงญาในสถานกักกันบนเขาติดกับชายแดนไทย - มาเลเซีย จ.สงขลา ว่า ไม่รู้สึกกดดันแม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้เวลา 10 วัน ว่า ให้ตรวจให้เจอทั้งหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามเต็มที่แล้ว และว่า ที่ผ่านมาไม่ได้ย่อหย่อน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ทหาร ได้ทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่เพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าว หากยังมีหลงเหลืออยู่จะดำเนินการไม่ให้มีค่ายพักรอในลักษณะเช่นนี้ในเขตประเทศไทยเด็ดขาด แต่ถ้าเป็นกรณีเป็นเขตประเทศเพื่อนบ้าน ก็เป็นเรื่องที่สุดวิสัยที่จะดำเนินการได้

“ตำรวจจะพยายามทำอย่างเต็มที่ รู้ว่านายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ สนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างรุนแรง และประเทศสหรัฐอเมริกากำลังเฝ้าดูในเรื่องนี้อยู่ แต่ต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นระยะ 4 - 5 เดือน มันมีมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งจะมีการแก้ไขอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์” ผบ.ตร .กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้วจะมีการสืบย้อนหลังไปถึงข้าราชการตำรวจในอดีตหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ ระบุว่าขณะนี้ตนได้มอบให้ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็กเยาวชนและสตรี และปราบปรามการค้ามนุษย์ ร่วมกับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ฝ่ายความมั่นคง ลงไปควบคุมกำกับดูแลการสอบสวนสืบสวน ทั้งกรณีการค้ามนุษย์ซึ่ง พล.ต.อ.เอก รับผิดชอบ และกรณีอาชญากรรมข้ามชาติซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็นผู้รับผิดชอบ โดยทั้งสองคนมีการแบ่งหน้าที่กันทำงาน ขณะที่เหตุการณ์ในอดีต ตนก็ทราบและรับฟังจากเจ้าหน้าที่ที่ขุดศพว่าจากหลักฐานที่ปรากฏ ลักษณะของศพที่ขุดพบมีทั้งตายมาแล้วเป็น 10 ปี หรือหลายปี 1 - 2 ปี จนกระทั่งเพิ่งตายได้ 3 - 4 เดือนก็มี แสดงให้เห็นว่าการค้าชาวโรฮิงญามีมานานแล้ว แต่ไม่ได้รับการแก้ไข เพราะฉะนั้นการสอบสวนย้อนหลังไปว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเกี่ยวข้องอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.เอก จะดำเนินการ

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า การที่ตนมีคำสั่งให้ตำรวจจำนวนมากมาช่วยราชการ เพราะได้รับการร้องขอจากผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ตำรวจภูธรภาค 8 และ ภาค 9 ผมไม่รู้จักเจ้าหน้าที่เหล่านั้นทั้งหมด แต่ผู้บังคับบัญชาในพื้นที่จะรู้จักว่าเป็นใคร ไปทำอะไรที่ไหนอย่างไร โดยเฉพาะ พล.ต.อ.เอก เมื่อลงไปทำงาน ก็ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องรู้เห็น ช่วยเหลือสนับสนุนหรือรับประโยชน์จากการค้าชาวโรฮิงญา เป็นเรื่องที่ตนได้รับการร้องขอมา ส่วนที่มีจำนวนมากก็สืบเนื่องจากตนได้ออกคำสั่งที่ 234/2558 ว่าถ้าเกิดเหตุกรณีใด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่เฉพาะตำรวจที่อยู่ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ เช่น กรณีชาวโรฮิงญา หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ ตำรวจในพื้นที่เป็นหลัก สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กองบังคับการปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) และ กองบังคับการตำรวจน้ำ (รน.) ก็มีส่วนรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคนมีส่วนรับผิดชอบ ไม่ปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่หรือปล่อยปละละเลย ตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ที่พูดว่า ไม่เข้าไปดูแลหรือบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ แต่กลับปล่อยปละละเลย ต้องรีบดำเนินการ ตนก็ดำเนินการตามนายกรัฐมนตรี
แต่หากมีข้าราชการตำรวจคนใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องได้รับผลประโยชน์ หรือไปช่วยเหลือจนมีพยานหลักฐาน อันนี้ต้องดำเนินคดีอาญาด้วย ในส่วนหน่วยอื่นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ต้องรอผลการสอบสวน

ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีข้าราชการตำรวจที่มีการโยกย้าย ว่า จะต้องดำเนินคดีอาญาต่อไป โดยเชื่อมั่นว่า พล.ต.อ.เอก ลงไปกำกับดูแลเรื่องนี้และได้พูดคุยกันตลอดเวลาว่าถ้ามีการสอบสวนและมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหน เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและรับผลประโยชน์ ให้ดำเนินคดีอาญาอย่างเต็มที่ไม่มีการละเว้น โดยเรื่องนี้เป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรี

“จากนี้ต้องรอการสืบสวนของเจ้าหน้าที่หากพบว่ามีข้าราชการตำรวจเข้าไปพัวพันเกี่ยวข้องอีก ผมก็จะออกคำสั่งให้มาช่วยราชการแบบนี้เช่นกัน นอกจากนั้น จะขออนุมัติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้มีการแต่งตั้งโยกย้ายนอกวาระข้าราชการตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะย้ายออกนอกพื้นที่ให้หมด” ผบ.ตร. กล่าว

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า อาจมีคำถามว่าทำไมสถานีตำรวจบางแห่งไม่ถูกย้ายออกนอกพื้นที่ แต่ตนได้หารือผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ทราบว่าตำรวจบางคนที่มีความเกี่ยวข้องในพื้นที่ได้ถูกย้ายออกไปแล้ว หลังจากเหตุการณ์ที่ อ.หัวไทร ซึ่งเกิดตั้งแต่เดือน ม.ค. แล้ว อย่างไรก็ตาม หากจเรตำรวจแห่งชาติสอบสวนแล้วไม่พบว่ามีความผิดหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง หรือเข้ามารับตำแหน่งภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ ก็จะย้ายกลับไปประจำพื้นที่เดิม ยืนยันจะให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย

“เจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนในพื้นที่ปาดังเบซาร์ว่าคนเหล่านี้มาอย่างไร ตอนนี้เหตุการณ์มันยังไม่จบ อย่าเพิ่งไปสรุปว่าคนนั้นมาขช่วยราชการแล้วคนนี้จะไม่ถูกมาช่วยราชการ หรือเอาคนนั้นคนนี้มาเพิ่มอย่างไร ต้องให้เวลา พล.ต.อ.เอก และชุดสืบสวนทำงานก่อนแล้วค่อยมาสรุป โดยผู้บังคับบัญชาในพื้นที่จะรู้ว่าใครเป็นใคร ซึ่งเท่าที่ฟังมาพบว่า ผู้บงคับบัญชาระดับสูงในพื้นที่มักจะไม่ค่อยเข้าไปมีผลประโยชน์หรือมีส่วนรู้เห็นกับขบวนการค้ามนุษย์ในพื้นที่ ส่วนใหญ่จะเป็นตำรวจระดับชั้นผู้น้อย” ผบ.ตร. กล่าว

เมื่อถามว่า รู้สึกเสียสมาธิหรือไม่ที่ช่วงนี้ย้ายผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมาก ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่รู้สึกเสียสมาธิ เพราะถือว่าใครผิดว่าไปตามผิดถูกว่าไปตามถูก ตนไม่เคยกลั่นแกล้งอาฆาตมาดร้ายผู้ใต้ ตนยึดไปตามพยานหลักฐานตามกฎหมาย โดยการเรียกตัวผู้ใต้บังคับบัญชามาช่วยราชการที่ผ่านมาเป็นการทำตามข้อมูลที่ได้รับการเสนอหรือร้องขอมาจากผู้บังคับบัญชาในพื้นที่

เมื่อถามว่า ตร. ได้ประสานไปยังกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เนื่องจากเป็นเจ้าภาพโดยตรงหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าว่า ตนเชื่อว่ารัฐมนตรี พม. คงได้รับนโยบายจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ส่วนความรับผิดชอบของ ตร. เราก็ทำเต็มที่ ส่วนในเรื่องของ พม. ท่านก็ทำในขอบข่ายของท่านที่ต้องรับผิดชอบ โดยจะมีการประสานกันในทุกมิติ ทั้งเรื่องปราบปราบ ฟื้นฟู และการแก้ไขปัญหา โดย พล.อ.ประวิตร กำกับดูแลในเรื่องนี้ได้มีการนัดประชุมหารือกันโดยตลอด ถามย้ำถึงตัวเลขจำนวนศพชาวโรฮิงญาที่พบ ผบ.ตร. กล่าวว่า “ตอนนี้นับไม่ถ้วน เนื่องจากตัวเลขมันไม่นิ่ง จึงไม่สามารถตอบได้”


กำลังโหลดความคิดเห็น