xs
xsm
sm
md
lg

อัดกมธ.ยกร่างฯ"ล็อกสเปก" ให้60สปช.นั่งสภาขับเคลื่อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อเวลา 09.30 น. วานนี้ (26เม.ย.) สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ได้ประชุมพิจารณา ร่าง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ร่างแรก เป็นวันสุดท้าย ในภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง หมวด 2 การปฏิรูปเพื่อลดความเลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรม ส่วน 1 สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ การปฏิรูปแห่งชาติ ส่วน 2 การปฏิรูปด้านต่างๆ
ทั้งนี้สมาชิก สปช. ได้อภิปรายอย่างกว้างขวาง และเห็นด้วยให้มีการปฏิรูปในทุกด้าน แต่เห็นว่าควรที่จะบัญญัติให้ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกลไก โครงสร้างสภาการขับเคลื่อน และคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปแห่งชาติ ที่ยังมีไม่มีความชัดเจน เกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ ของสภาขับเคลื่อนฯ ว่ารับผิดชอบต่อใคร บทบาทอำนาจหน้าที่เป็นอย่างไร หรือมีเพียงแต่ทำข้อเสนอนโยบาย แล้วส่งต่อให้รัฐบาล หรือ นอกจากนี้การส่งมอบจะทำอย่างไรไม่ให้มีรอยต่อเกิดขึ้น เพราะเข้าใจว่าเราดูรูปแบบการขับเคลื่อนมาจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีแผนชัดเจน มีความเป็นเอกภาพ ซึ่งทำให้งานเรื่องการปฏิรูป ออกมาสัมฤทธิ์ผล
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ สปช. อภิปรายว่า อยากให้มีการทบทวนกลไก โครงสร้าง และกำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้มีสภาขับเคลื่อนฯ มีความชัดเจนมากขึ้น โดยให้กำหนดเรื่องนี้ไว้ในแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ซึ่งจะครอบคลุมไปถึงการปฏิรูปด้านต่างๆ และรองรับการเดินหน้าของประเทศ ทำให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน
นอกจากนี้ ต้องการให้หน่วยงานขับเคลื่อนมีความเป็นมืออาชีพ ขึ้นตรงต่อฝ่ายบริหาร และต้องการสร้างการมีส่วนร่วมให้ทุกภาคส่วนทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ ทั้งนี้ ควรมีการเปิดเผยรายงานการปฏิบัติงานต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนตัดสินเองว่า มีผลงานมากน้อยเพียงไหน
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบที่ชัดเจน ควรมอบงานเรื่องนี้ให้ฝ่ายบริหารรับผิดชอบเป็นหลัก ในเรื่องการจัดการ กลไก และองค์กรขับเคลื่อน ส่วนในรัฐธรรมนูญ อาจกำหนดเพียงกรอบเวลา และแผนยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้มีผลต่อความสำเร็จ

** จวกล็อกสเปกให้สปช.สืบทอดอำนาจ

นายทิวา การกระสัง สมาชิกสปช. อภิปรายว่า มีการกล่าวหาว่า มีการตกลงกันระหว่างกรรมาธิการยกร่างฯ กับสมาชิกสปช. ที่มาจากจังหวัด ที่ต้องการให้ สปช.จังหวัด สามารถมีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งส.ว.ได้ สิ่งที่กล่าวมานั้น เป็นเท็จ เนื่องจากสปช.จังหวัด ที่ไปพูดคุยกับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการยกร่างฯ นั้น เป็นการพูดกันในห้องสีชมพู เพราะต้องการให้สมาชิกที่มาจากจังหวัดที่เป็นประธานอนุกรรมาธิการ การมีส่วนร่วม และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไปให้ประชาชนทราบ เนื่องจากได้รับแรงกระแทกจากข้างนอก และข้างใน จึงอยากให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นที่ยอมรับของประชาชน ตนจึงได้บอกไปว่า ถ้าต้องการให้ประชาชนยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่มาของส.ว.ต้องมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน โดยยืนยันว่า ไม่เคยไปต่อรองกับนายบวรศักดิ์เลย ว่าต้องการให้เพื่อนสมาชิกสปช. ที่มาจากต่างจังหวัดสามารถสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว. และตนก็ไม่เคยคิดว่าจะสมัครรับเลือกตั้งส.ว. แต่การลงสมัคร เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ยืนยันไม่เคยมีการต่อรอง
"ในส่วนของสภาขับเคลื่อน ที่ระบุว่าให้มีสมาชิกสปช. 60 คนนั้น ผมสนับสนุน แต่ไม่เห็นด้วยที่ระบุให้มีผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 30 คน ถือเป็นการล็อกสเปกเกินไป และถ้าอยากรู้ว่ากฎหมายเขียนเพื่อประโยชน์ใคร ให้ดูคนเขียน คือกรรมาธิการยกร่างทั้ง 36 คน หากสปช.รับรองแบบเอาง่าย ก็เข้าตำรา อย่างมาตรา 279 เกี่ยวกับสภาขับเคลื่อนฯ และคณะกรรมาการยุทธศาสตร์ เขียนมาเพื่อใคร อย่างคำพูดแต่โบราณมา เมื่อก่อนต้องอ่านตั้งแต่แรก จนบรรทัดสุดท้าย แต่มาตรานี้เขียนโต้งๆ เพื่อ สปช. 60 คน สปช.ต้องมีอยู่ในสภาขับเคลื่อนฯนี้ การเอาสปช.เข้าไปเป็น ถือเป็นการเอาพรรคพวกตัวเองเข้าไปเป็นถึง 60 คน ยิ่งกว่าตั้งเครือญาติเป็นผู้ช่วยสนช.และ ที่วุฒิสภา 50 เขียนแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเอง ซึ่งผมอยากบอกว่าการตั้งสปช. 60 คน น่าอายยิ่งกว่า"

**"เสธ.อู้" ยันไม่มีล็อบบี้ที่มาเลือกตั้งส.ว.

ด้านพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษกกรรมาธิการยกร่างฯ ชี้แจงว่า ทุกเรื่องที่บัญญัติ มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะประเด็นที่มาส.ว.ในช่วงแรก ก็มีสมาชิกที่เห็นด้วย แต่จากการรับฟังความคิดเห็น และจัดเวทีต่างๆ ทำให้ทางกรรมาธิการมีการทบทวนในรอบสุดท้าย ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบน่าจะให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด
"ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีการล็อบบี้ และประธานกรรมาธิการยกร่างฯ ไม่มีอะไรอยู่ในใจ หรือใช้อภิสิทธิ์ไปฟังใครมา แต่ที่มาส.ว.ดังกล่าวเป็นเสียงส่วนใหญ่ของกรรมาธิการยกร่างฯ ที่เห็นด้วยในการปรับสัดส่วนให้ลดลง ส่วนเรื่องสภาขับเคลื่อนฯ ที่สมาชิกอภิปรายเกี่ยวกับสภาขับเคลื่อนที่มีจำนวน 120 คน มีที่มา 3 ทาง รวมถึงที่ ตั้งข้อสงสัยถึงการให้ สัดส่วนสปช.อยู่ในสภาขับเคลื่อนฯ เพราะทางกรรมาธิการยกร่างฯ เห็นว่าในเรื่องการปฏิรูป ควรให้คนมีความรู้ในด้านต่างๆ เข้ามาอยู่ในสภาขับเคลื่อนฯ เพื่อให้การปฏิรูปทำได้ดี แต่เมื่อมีเสียงเห็นด้วยไม่เห็นด้วย จะนำมาชั่งน้ำหนักและปรับ เปลี่ยนไม่ให้เกิดข้อครหาต่อไป"
นายนิพนธ์ นาคสมภพ สมาชิก สปช. ได้อภิปรายเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ ในหมวด 4 การปฏิรูปและการปรองดองว่า ตนเห็นด้วยที่จะมีคณะกรรมการอิสระ เสริมสร้างความปรองดองแห่งชาติ เพื่อจะมาทำหน้าที่ในด้านดังกล่าว แต่ไม่เห็นด้วยที่จะให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษนั้น ตนเห็นว่า จะเป็นการที่เสี่ยงต่อการก้าวล่วงพระราชอำนาจ เพราะโดยปกติเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในพระบรมราชวินิจฉัย ที่ไม่มีใครก้าวล่วงได้ เพราะตนเชื่อว่า การสร้างความปรองดองจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ามีการก้าวล่วงพระราชอำนาจ จะเป็นจุดเปราะบางที่สุดของประเทศนี้ ตนขอเสนอให้มีการกำหนดในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้นักการเมืองที่พูดโกหกจนสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ จะต้องรับผิดชอบกับคำพูดด้วย เพราะทำให้ประเทศชาติขาดความน่าเชื่อถือ
** เชื่อสปช.ตบเท้าเห็นชอบร่าง รธน.แน่

นายประสาร มฤคพิทักษ์ กรรมาธิการปฏิรูปการเมือง สปช. กล่าวถึงการอภิปราย ร่าง รัฐธรรมนูญ 7 วันที่ผ่านมา ว่า เป็นการอภิปรายที่มีคุณภาพและสร้างสรรค์ นับเป็นมาตรฐานใหม่ของการอภิปรายในสภา ฝ่ายกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเองก็น้อมใจที่จะรับฟังอย่างเต็มที่ ไม่มีท่าทีแข็งขืน ฝ่ายสปช.ก็ทำการบ้านมาอย่างดี และแสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ
อย่างไรตาม คณะกรรมาธิการยกร่างฯ ยังต้องรับฟังเสียงจาก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสียงของรัฐบาล เสียงจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมกันไป กับการรับฟังเสียงประชาชนที่ยังแสดงความคิดเห็นเข้ามาหลายทิศหลายทาง
เมื่อถึงวันที่ลงมติ คือวันที่ 6 ส.ค.นี้ ด้วยบรรยากาศถ้อยทีถ้อยมีไมตรีต่อกันเช่นนี้ จะทำให้สปช. ส่วนใหญ่ เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญในที่สุด ทั้งนี้ ประเด็นความสนใจสาธารณะ รวมศูนย์ไปที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. และ ส.ว. เป็นสำคัญ ขณะที่บทบาทภาคพลเมือง ที่ถูกยกระดับขึ้นมา และจะมีฤทธิ์เดชมาก กลับเป็นเรื่องที่คนสนใจน้อย
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ นักการเมืองยุคใหม่ จะต้องเข้าสู่การตรวจสอบของภาคประชาชนอย่างเข้มข้น นอกจากมีกลไกต่างๆ เช่น ผู้สมัคร ส.ส. ต้องแสดงการเสียภาษี 3 ปีย้อนหลัง ให้ประชาชนเป็นคนกำหนดตัว ส.ส. (Open List)แทนที่จะต้องเป็นไปตามรายชื่อที่พรรคการเมืองกำหนดมา การให้รองประธานสภาคนที่หนึ่ง ต้องเป็นตัวแทนของพรรคที่ได้คะแนนอันดับสอง คือ พรรคฝ่ายค้าน การให้คนเป็นประธานกรรมาธิการชุดสำคัญ ต้องเป็นคนของพรรคฝ่ายค้าน แล้วยังมีสมัชชาคุณธรรม สมัชชาพลเมือง สภาตรวจสอบภาคพลเมือง เป็นตาสับปะรด กระจายกันอยู่ทั่วประเทศเช่นนี้ ทำให้นักการเมืองต้องก้าวออกมาจากพื้นที่เดิมที่ “สะดวกได้สบายดี”(Comfort Zone)มาสู่พื้นที่แห่งการเอ็กซเรย์ของประชาชน


** ชี้ 5 จุดเสี่ยง ร่างรธน.อาจถูกรื้อจนเละ

นายสุริยะใส กตะศิลา อาจารย์วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต และ ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า ได้ติดตามฟังการอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญ ของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) แล้ว มีหลักคิดใหญ่ๆ ที่ปะทะกันในที่ประชุมอยู่ 5 ประเด็น ซึ่งค่อนข้างแตกต่างกันมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่สปช.และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ต้องเร่งพูดคุยเพื่อหาข้อยุติ ไม่เช่นนั้นประเด็นปัญหาเหล่านึ้ อาจถูกขยายผลจากผู้ไม่หวังดีจนกลายเป็นจุดเสี่ยง และร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถูกรื้อเละเทะ หรือถูกคว่ำในที่สุด
ทั้งนี้ 5 ประเด็นใหญ่ที่ยังไม่ลงตัวกันคือ
1. ประเด็นกระจายอำนาจ มี 2 ขั้วความคิดชัดเจน ส่วนหนึ่งมองว่าระบบราชการเดิมดีอยู่แล้ว แค่ปรับปรุงบางส่วน ในขณะที่ร่างของ กมธ.ยกร่างฯ และ สปช. ส่วนหนึ่งต้องการลดอำนาจผูกขาดโดยส่วนกลาง และเพิ่มอำนาจชุมชนท้องถิ่นให้เข้มข้นขึ้น
2. การปฏิรูปตำรวจ โดยเฉพาะการแยกอำนาจสอบสวนเป็นอิสระจากอำนาจสืบสวนและจับกุมนั้น มีแรงต้านมากทีเดียวใน สปช. บางคนมองปัญหาตำรวจแค่การเมืองครอบงำ แต่ยังไม่ได้มองถึงการบริหารจัดการอำนาจใน สตช. ที่ต้องใส่หลักธรรมาภิบาลอย่างเข้มข้นเข้าไปด้วย
3. การเมืองภาคพลเมือง สปช.สายข้าราชการประจำ ยังไม่เชื่อมั่น และไม่ไว้วางใจการเพิ่มพื้นที่ และระดับการมีส่วนร่วมของพลเมืองในการกำหนดนโยบายสาธารณะหรือการใช้อำนาจรัฐ บางส่วนยังมองว่า ความแข็งแกร่งของรัฐราชการคือคำตอบ ฉะนั้น เสถียรภาพและความเข้มแข็งทางการเมืองจึงมักให้ความสำคัญไปที่องค์กรทางการเมือง แต่ยังไม่ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพและความเข้มแข็งของการเมืองภาคพลเมือง
4. รูปแบบการเลือกตั้ง และการเข้าสู่อำนาจ พบว่า สปช. จำนวนมากยังติดกับดักเลือกตั้ง ซึ่งลดรูปประชาธิปไตยมีความหมายแค่เลือกตั้ง ยังไม่เข้าใจตัวแทนสาขาอาชีพ และระบบการสรรหาหรือการเลือกตั้งโดยอัอม
5. การปะทะกันระหว่างสายความคิดอนุรักษ์นิยม กับเสรีนิยมใน สปช. ซึ่งก็สะท้อนความขัดแย้งหลักในสังคมไทยโดยตัวมันเอง ถือเป็นเรื่องปกติในสังคมทั่วไป ที่ต้องหาตรงกลางโดยเฉพาะหาจุดลงตัวที่ต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ ซึ่งทุกฝ่ายก็ต้องทบทวนและปฏิรูปตัวเองเพื่อสร้างสังคมการเมืองแบบพหุนิยมให้ได้
"ปมประเด็นปัญหาเหล่านี้สะท้อนวิธีคิดที่ไม่เป็นเอกภาพ และอาจไม่มีทางเป็นเอกภาพใน สปช.ได้ ชึ่งมีความเป็นไปได้ที่ คสช. ครม.และ สนช. จะนำร่างรัฐธรรมนูญไปยำใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าหน้าตาของร่างรัฐธรรมนูญหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรฉะนั้น ผมเสนอให้ คสช.ถ้าจะปรับแต่งร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องฟังและถามประชาชนให้มาก และที่สำคัญต้องทำประชามติในขั้นตอนสุดท้าย" นายสุริยะใส กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น