ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หมอกควันอันเกิดจากการปะทุของวัตถุระเบิดที่ถูกยัดใส่ถังแก๊ส แล้วเอาซุกไว้ในรถยนต์กระบะอีกทีหนึ่ง ก่อนจะถูกขับไปจอดไว้บริเวณลานจอดรถศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล สาขาสมุย อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จนเกิดเหตุคาร์บอมบ์สะเทือนขวัญผู้คนไปถ้วนทั่วทั้งในและนอกประเทศเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา
เวลานี้ฝุ่นละอองแม้เพียงเศษเสี้ยวธุลีในอากาศก็คงไม่เหลือให้ไปรบกวนม่านตาของผู้คนบนเกาะมรกตการท่องเที่ยวกลางทะเลอ่าวไทยแล้ว การเก็บกวาดซากปลักหักพัง ทำความสะอาดและปรับสภาพภูมิทัศน์ของสถานเกิดเหตุก็คงแทบไม่ทิ้งร่อยรอยไว้ให้เห็น
ทว่าในการสะสางคดีคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ เวลานี้ล่วงเลยไปแล้วกว่า 2 สัปดาห์ บรรยากาศการแกะรอยเพื่อติดตามหากลุ่มผู้ก่อการวินาศกรรม รวมถึงคนผู้วางแผน จ้างวานและบงการอยู่เบื้องหลัง แม้จะมีรายชื่อกลุ่มอำนาจเก่า บรรดานักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอำนาจรัฐ หรือกระทั่งแกนนำและแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันมีหลักฐานเชื่อมโยงถึงอย่างชัดแจ้งแพลมๆ ออกมาให้เห็น พร้อมๆ กับการพยายามชี้เส้นสายและหลักฐานโยงใยมากมาย แต่ความคืบหน้าในทางคดีกลับยังเต็มไปด้วยม่านหมอกหนาทึบ
พลันที่เกิดคาร์บอมบ์ในแหล่งท่องเที่ยวช่องกระฉ่อนโลกอย่างเกาะสมุย ไม่เพียงเขย่าขวัญผู้คนทั้งไทยและเทศเท่านั้น ยังสั่นสะเทือนไปถึงเสถียรภาพผู้กุมบังเหียนอำนาจรัฐไม่น้อย แต่วันเวลาที่ล่วงเลยมาพอสมควรกลับยังให้การไขคดีเป็นไปแบบปล่อยให้ลิงแก้แหอยู่อย่างนี้
แล้วจะไม่ยิ่งเป็นการรุมกระหนำซ้ำเติมทั้งภาพลักษณ์และสร้างความหวั่นไหวให้กับรัฐบาลทหารที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรอกหรือ?!
กว่า 2 สัปดาห์ของการทำคดีคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของทีมปฏิบัติการพิเศษที่มี พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ ผบช.สง.ผบ.ตร.รักษาราชการแทนจเรตำรวจ (สบ 8) ที่ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นรองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (ศปก.ตร.สน.) ทำหน้าที่นั่งหัวโต๊ะอยู่นั้น ถือว่าเป็นที่จับตาของผู้คนอย่างชนิดใจจดจ่อมาโดยตลอด เรื่องราวในทางข่าวสารที่ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ เป็นไปอย่างเข้มข้นและมันหยดเสมอมา แต่ผลแห่งการคลี่คลายคดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอันที่ทีมสืบสวนสอบสวนชุดนี้ประมวลได้ และมีพยานหลักฐานชี้ชัดให้เชื่อได้เช่นนั้นคือ กรณีคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ปฏิบัติการอยู่ในชายแดนใต้ ซึ่งมีทั้งพยานหลักฐานและกล้องวงจรปิดชี้ชัด จนสามารถลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดังนี้
รถยนต์กระบะมาสด้าที่ใช้ประกอบคาร์บอมบ์เป็นของ อบต.ละแอ อ.ยะหา จ.ยะลา ที่ถูกจัดฉากปล้นชิงปรากฏเป็นข่าวมาตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. เหตุเกิดที่บ้านตาเปาะ ม.2 ต.ละแอ แล้วใช้เส้นทางหลบหลบหนีคือ ถนนสายยะหา-บ้านเนียง-บ้านหน้าถ้ำ รถผ่านด่านสะเตง อ.เมืองยะลา แล้วเลี้ยวเข้าหมู่บ้านที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลา โดยถูกนำไปจอดรถซุกซ่อนอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 9 วัน พร้อมๆ กับมีการดัดแปลงตัวรถด้วยการเปลี่ยนป้ายทะเบียนปลอมที่มี 2 ด้าน ทำจากกระดาษแข็งพ่นสี ทะเบียนชลบุรี แล้วอำพรางตัวรถด้วยใช้แผ่นแคฟรา เคลือบฝากระโปรงรถเพื่ออำพรางการตรวจสอบ
จากนั้นวันที่ 9 เม.ย.มีการเคลื่อนย้ายรถกระบะคาร์บอมบ์รถออกจากหมู่บ้านที่ อ.กรงปินัง โดยตลอดเส้นทางใช้รถยนต์ระวังหลังเป็นรถฮอนด้า และมีรถยนต์ดูลาดเลานำทางเป็นรถกระบะแบบ 4 ประตู ยี่ห้อมิตซูบิชิ ไตรตัน 4x4 สีขาว ทะเบียน 3 กม 4251 กทม. สลับกับทะเบียน 4031 ช่วงออกจาก จ.ยะลา ใช้ถนนสาย 418
มีภาพจากกล้องวงจรปิดตามสถานที่ต่างๆ ยืนยัน ประกอบด้วย เวลา 14.02 น. ของวันที่ 9 เม.ย.ผ่านแยกดอนยาง จ.ปัตตานี เวลา 14.40 น. ผ่านแยกพระพุทธ อ.เทพา จ.สงขลา เวลา 15.11 น. ผ่านสามแยกหอนาฬิกา อ.จะนะ จ.สงขลา เวลา 15.16 น. ผ่านหน้าปั๊มเชลล์ อ.จะนะ แล้วหลบเพื่อไม่ต้องผ่านด่านควนมีดช่วงก่อนถึงด่านเพียงประมาณ 300 เมตร ด้วยการเลี้ยวซ้ายเข้าพื้นที่บ้านป่าพลู อ.จะนะ ไปออกแยกควนมีด ก่อนวกมุ่งหน้ากลับไปสามแยกอ่างทอง 5 กลับมาเข้าถนนสายเก่าไปผ่านห้าแยกน้ำกระจาย อ.เมืองสงขลา เวลา 15.46 น.
ต่อมาเวลา 15.49 น. ผ่านหน้าโรงเรียนนวมินทร์ อ.เมืองสงขลา เวลา 16.00 น. ข้ามแพขนานยนต์ท่าเรือราชาจากฝั่ง อ.เมืองสงขลา ไปยังฝั่ง อ.สิงหนคร จ.สงขลา เวลา 16.01 น. ผ่านหน้าตลาดสิงหนคร เวลา 16.17 น. ผ่านสี่แยกม่วงงาม อ.สิงหนคร เวลา 17.28 น. ผ่านหน้าปั๊มบางจาก อ.ระโนด จ.สงขลา เวลา 17.32 น. แล้วข้ามเข้าสู่ จ.นครศรีธรรมราช ด้าน อ.หัวไทร ก่อนมุ่งไปทาง อ.สิชล เวลา 18.40 น. รถดูลาดเลานำทางมิตซูบิชิไตรตันผ่านหน้าโรงแรมห้วยน้ำรีสอร์ท ต.ทรายขาว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ตามมาด้วยรถมาสด้าคาร์บอมบ์
มีการคาดการณ์ว่ากลุ่มปฏิบัติการคาร์บอมบ์ได้อาศัยความมืดจอดรถแวะพักนอนราว 6 ชั่วโมงแถวปั๊มน้ำมัน หรือไม่ก็ในชุมชนมุสลิมใน อ.หัวไทร เมื่อผ่านค่ำคืนย่างเข้าสู่วันที่ 10 เม.ย. ปรากฏภาพวงจรปิดอีกครั้งเวลา 01.05 น. หน้าสถานีอนามัยบ้านการะเกด ตามด้วยหน้า สภ.การะเกด อ.หัวไทร เวลา 01.25 น. ผ่านหน้าห้างทองนำชัย 5 บ้านชะเมา ต.ท่าเรือ ท้องที่ สภ.ชะเมา อ.เมืองนครศรี เวลา 01.53 น. รถ 2 คันผ่านบริเวณแยกบางปู ต.ปากพูน อ.เมืองนครศรี เวลา 01.55 น. ผ่านบริเวณป้อมหน้าทับ ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช โดยพบว่ารถยนต์กระบะแบบสี่ประตู มิตซูบิชิ ไตรตัน ประกบนำทางรถคาร์บอมบ์มาอย่างชัดเจน เวลา 02.30 น. วิ่งผ่านปั๊มแก๊สใน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช
ตามด้วยเวลา 03.03 น. รถกระบะไตรตันนำทางวิ่งเข้ามาไปในรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ต.ควนทอง อ.ขนอม จ.นครศรีธรรมราช ห่างกัน 1 นาทีรถกระบะมาสด้าคาร์บอมบ์วิ่งตามเข้าไป และได้สับเปลี่ยนแผ่นป้ายทะเบียนใหม่เป็นแผ่นป้ายทะเบียนปลอม กย 5618 ชลบุรี
เวลา 05.15 น. ผ่านบ้านใน อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี เวลา 06.30 น. มีผู้หญิงไปอำนวยความสะดวกทีมคาร์บอมบ์ โดยรอซื้อตั๋วให้ที่ท่าเรือเฟอร์รี่ อ.ดอนสัก แล้วนำรถลงเรือเดินทางข้ามไปยังเกาะสมุย แต่รถมิสซูบิชิไตรตันสีขาวสี่ประตูไม่ได้ลงเรือไปด้วย เวลา 07.00 น. มีคิวว่างจึงได้ขึ้นเรือเฟอร์รี่เป็นคันสุดท้าย เวลา 08.30 น. ขึ้นฝั่งที่เกาะสมุย เวลา 09.48 น. รถคาร์บอมบ์ผ่านถนนสายทวีราษฎร์ภักดีไปทาง ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย แล้วอ้อมหลัง สภ.บ่อผุด เมื่อเข้าสู่บริเวณห้างเซ็นทรัลเฟสติวัลสาขาสมุยได้ไปจอดหน้าร้านแมคโดนัลด์เป็นเวลา 38 นาที อาจเป็นเพราะเวลานั้นบริเวณดังกล่าวมีการถ่ายทำรายการสารคดีอยู่พอดี
เวลา 10.28 น. รถกระบะคาร์บอมบ์ถูกขับเข้าสู่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัลสาขาสมุยทางประตู 2 แล้วย้อนศรลงไปสู่ลานจอดรถห้าง จากนั้นเวลา 22.31 น. รถยนต์กระบะมาสด้าคันที่ถูกประกอบเป็นคาร์บอมบ์ก็ถูกจุดชนวนในที่สุด
นอกจากนี้ทีมสืบสวนสอบสวนของตำรวจยังมีหลักฐานระบุชัดแจ้งแล้วว่า การประกอบระเบิดเข้าสู่ตัวรถยนต์กระบะเป็นคาร์บอมบ์นั้น ภาชนะที่ใช้ทำระเบิดคือถังแก๊สขนาดบรรจุ 15 กิโลกรรม บรรจุดินระเบิดหนัก 50-80 กิโลกรัม จุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุงฮีโร่ โดยไม่ต้องใช้ซิมการ์ด ใช้แหล่งพลังงานจุดระเบิดคือ แบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ขนาด 12 โวลต์ และทำสะเก็ดระเบิดจากเหล็กเส้นตัดขนาด 4 มิลลิเมตร แบบคละขนาดและคละความยาว
ทั้งนี้และทั้งนั้นมีการยืนยันแล้วว่า เป็นการประกอบระเบิดและคาร์บอมบ์ในแบบเดียวกับที่ใช้ปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนใต้!!
อย่างไรก็ตาม ในส่าวนของการทำงานของทีมสืบสวนสอบสวนที่นำโดย พล.ต.ท.สุชาติ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์คาร์บอมบ์จนถึงเวลานี้ หากแหวกม่านข้อมูลที่ถูกนำเสนอเป็นข่าวครึกโครมผ่านสื่อมวลชนอย่างชนิดมันหยดในแต่ละวัน เพื่อเข้าไปตรวจค้นถึงเนื้อหาสาระที่อยู่ในข่าวสารเหล่านั้น ก็พอจะจับทิศทางการเคลื่อนตัวในทางการสืบเสาะหากลุ่มผู้ลงมือปฏิบัติการคาร์บอมบ์ กลุ่มคนที่มีความส่วนทั้งวางแผนและพัวพันในลักษณะต่างๆ รวมถึงกลุ่มคนที่คาดว่าจะเป็นผู้จ้างวาง และที่สำคัญกลุ่มผู้ชักใยบงการอยู่หลังม่าน ซึ่งมีการเปิดเผยออกมาเป็นระยะๆ นั้น
กลับปรากฏว่ายังเป็นข้อมูลที่เลื่อนไหลไปเรื่อยๆ แบบยังไม่เห็นจุดจบหรือบทสรุปแต่อย่างใด?!
ห้วงเวลาที่กลุ่มควันและกลิ่นไหม้จากพลานุภาพของระเบิดยังไม่ทันจางหาย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยังมึนงงว่ารถยนต์ที่ใช้ประกอบคาร์บอมบ์เป็นเก๋งหรือกระบะ แล้วเป็นยี่ห้ออะไร แต่เสียงจากฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐก็ออกมาประกาศอย่างชี้เป้าไปแล้วว่า การก่อวินาศกรรมบนเกาะสมุยเป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจเก่า กลุ่มการเมืองที่เสียผลประโยชน์จากการรัฐประหารและการเข้าไปบริหารประเทศของ คสช.และรัฐบาลทหารชุดนี้ ก่อนที่จะมีการขานรับเป็นทอดๆ อย่างต่อเนื่องจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะทีมตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อเริ่มมีหลักฐานยืนยันหนักแน่นว่าการก่อวินาศกรรมบนเกาะสมุยเชื่อมโยงกับกลุ่มปฏิบัติการก่อไฟใต้ โดยเฉพาะรถยนต์คันที่ประกอบคาร์บอมบ์ถูกปล้นไปจาก จ.ยะลา อีกทั้งหลักฐานการประกอบระเบิด มีภาพการลำเลียงรถระเบิดไปปฏิบัติการ ช่วงนั้นก็เริ่มมีตัวละครถูกชูขึ้นมาให้โลดแล่นว่าเกี่ยวข้องอย่างไร พร้อมๆ กับฉากที่ถูกทำให้ดูลึกลับ ซับซ้อนและซ่อนเงื่อนชวนให้ติดตามกันอย่างยากกระพริบตา
จากนั้นก็มีข้อมูลหลุดออกมาจากฝ่ายตำรวจเป็นระยะๆ ในทำนองว่า มีคนแดนไกลอาศัยบุญคุณที่เคยเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง กลุ่มคนชายแดนใต้ที่เคยอุ้มชูทางการเมืองให้เป็นรัฐมนตรีมาก่อน สั่งการผ่านอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีวาทกรรมหวานเจี๊ยบ โดยให้เดินสายพบอดีตกองกำลังคอมมิวนิสต์ในพื้นที่อีสาน และต่อสายถึงกลุ่มสหายเก่าในภาคใต้ พร้อมๆ กับต่อสายถึงเครือข่ายกลุ่มนักการเมืองในพื้นที่ชายแดนใต้
ก่อนปฏิบัติการคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยมีการลับกับอดีตนักการเมืองใหญ่บนแผ่นดินปลายด้ามขวาน ได้แก่ “นาย ว.” อดีต รมต.ล้มเจ้า “นาย ซ.” ที่เป็นญาติกัน และ “นาย น.” ผู้เคยถูกฝ่ายความมั่นคงนำตัวขึ้นฟ้องศาลเป็นจำเลยคดีกบฏเบอร์ซาตู ได้เดินทางข้ามชายแดนไปประชุมร่วมกับแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น โคออดิเน็ต ที่มาเลเซียช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมๆ กับมีหอบเงินไปว่าจ้างแกนนำระดับอาร์เคเคให้วางแผนและก่อเหตุคาร์บอมบ์บนเกาะสมุย
เมื่อเรื่องราวถูกกำหนดไว้เช่นนี้ จึงไม่แปลกที่ระยะแรกของการสืบสวนสอบสวนจะการกล่าวหาและจับกุมคนที่เกี่ยวข้องไปเค้นสอบอย่าง นายอับดุลรอเซะ ดูมีแด คนขับรถ อบต.ละแอที่มีการจัดฉากปล้น นายสุหัยมี ดุละสะ เป็นแกนนำกลุ่ม PERMAS ที่อาศัยในชุมชนมุสลิมบนเกาะสมุย และ รปภ.ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัลสาขาสมุย 3 คน รวมถึงกาหัวกลุ่มคนที่เคยปฏิบัติการในชายแดนใต้ อาทิ นายสะมะอุง สุหลง หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการในพื้นที่ จ.นราธิวาส นายเปาะนิ หัวหน้าปฏิบัติการในพื้นที่ จ.ยะลา และนายแซมะ มะจัง หัวหน้าปฏิบัติการในพื้นที่ จ.ปัตตานี และบางอำเภอของ จ.สงขลา เป็นต้น
จากนั้นเมื่อเรื่องราวที่ถูกกำหนดไว้ให้เป็นประเด็นสำคัญเพื่อให้การเดินเรื่องดูตื่นเต้น กลับไม่สามารถเดินหน้าได้ที่วาดหวังไว้ ระยะหลังมานี้จึงต้องมีการวางพล็อตเรื่องใหม่ โดยหันไปตั้งต้นการสืบเสาะจากเอาจากรถยนต์ทั้ง 3 คันที่ถูกปล้นและซื้อหามาใช้ปฏิบัติการคาร์บอมบ์สมุย ซึ่งก็ข้อมูลเชื่อมโยงไปยังเต็นท์รถมือสองที่ จ.นนทบุรี แล้วมีการซื้อมาขายในชายแดนใต้ผ่านทั้งเต็นท์รถและระบบนายหน้าในพื้นที่ โดยเริ่มจากการปล่อยชื่อ “บังยี” เจ้าของเต็นท์รถยนต์มือสองใน จ.ยะลา ให้ออกมาเป็นตัวละครสำคัญของพล็อตเรื่องใหม่นี้
แค่เริ่มต้นตอนใหม่จะด้วยรีบเร่งหรือไม่ก็ตาม โดยอาจจะหลงลืมไปว่าคน 3 จังหวัดชายแดนใต้ไม่นิยมเรียกขานผู้ชายว่า “บัง” แต่จะใช้คำว่า “แบ” ที่แปลว่าพี่แทน ไม่เพียงเท่านั้นมีความพยายามไถ่ถามคนในวงการค้ารถมือสองทั้งใน จ.ยะลา และในชายแดนใต้ รวมถึงผู้กว้างขวางในพื้นที่ กลับไม่ปรากฏชื่อของคนที่น่าจะถูกเรียกขานว่า “บังยี” หรือแม้แต่ “แบยี” ที่เป็นเจ้าของเต็นท์รถมือสองแต่อย่างใด
เรื่องราวของการสืบสวนสอบสวนที่พุ่งเป้าเกะรอยจากรถยนต์ก็ยังดำเนินต่อไป ถึงเวลานี้มีการเปล่าเปลี่ยนบุคคลเป้าหมายจาก “บังยี” ไปเป็น “แบลี” รวมถึง “แบยา” แล้ว อีกทั้งมีการควบคุมตัวผู้ตกอยู่ในข่ายต้องสงสัยไปตรวจสอบ อาทิ นายอับดุลรอนิง ดือราแม พนักงานขับรถของสำนักงานปฏิรูปที่ดิน จ.ปัตตานี นายซาบีดี สาและดิง ครูอัตราจ้าง ร.ร.บ้านประจัน ต.ยะรัง อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และ นายคอศซาพี ดือเระ ที่ถูกควบคุมตัวขณะเข้าตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยในพื้นที่หมู่ 2 ต.ตะลุโบ๊ะ เขตเทศบาลเมืองปัตตานี ซึ่งทั้งหมดมีอาชีพเป็นนายหน้าค้ารถยนต์ แต่ไม่ใช่เจ้าของเต็นท์รถ ส่วนเจ้าของเต็นท์รถใน จ.ยะลาที่พอจะมีตัวตนและมีข้อมูลโยงถึงก็กำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปแสวงที่ซาอุดิอารเบีย
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีเรื่องราวที่ยังเป็นที่สงสัยของผู้คนจำนวนมากอีกด้วย กล่าวคือ กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการสเก็ตซ์ภาพบุคคลที่เชื่อว่าเป็นคนร้ายที่ขับรถยนต์คาร์บอมบ์ไปจอดที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัลสาขาสมุย โดยทันที่ทีสเก็ตซ์ภาพเสร็จก็มีการระบุชื่อออมาแทบจะพร้อมกันว่าชื่อ นายนุกูล ยงหนู มีภูมิลำเนาอยู่ที่ จ.พัทลุง ส่งผลให้เจ้าตัวในวัย 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 241 ม.10 ต.หานโพธิ์ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ซึ่งมีอาชีพเป็นผู้จัดการพัทลุงเคเบิลทีวี และเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งบริเวณหาดแสนสุขลำปำ ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง ต้องออกมาแสดงตัวตนกับตำรวจ สภ.เมืองพัทลุง พร้อมกับปฏิเสธการเกี่ยวข้องใดๆ กับคดีนี้
มีข้อที่น่าสังเกตคือ ปกติการสเก็ตซ์ภาพผู้ต้องหาจะเกิดจากการบอกเล่าของพยานผู้พบเห็น ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะได้ใบหน้าเหมือน หากแต่สเก็ตซ์จากภาพถ่ายเท่านั้นจึงถือว่าใกล้เคียงที่สุด และเมื่อได้ภาพสเก็ตซ์แล้วยังยากที่จะตอบได้ว่าเป็นใคร อาศัยยอยู่แหล่งหนไหน เพราะต้องมีกระบวนการนำใบหน้าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับแฟ้มอาชญากรหรือทำเนียบต่างๆ ก่อน แต่ครั้งนี้ภาพสเก็ตซ์กลับเหมือนตัวตนนายนุกูลยิ่งนัก แถมยังมีการระบุที่อยู่ไว้เสร็จสรรพ
เวลานี้เรื่องราวการคลี่คลายคดีคาร์บอมบ์สมุยที่โยงไปถึงบุคคลต่างๆ โดยเฉพาะที่ระบุว่าเป็นเครือข่ายของกลุ่มการเมืองอำนาจเก่านั้น ในทางข้อมูลข่าวสารที่ดำเนินไปให้เปิดโฉมหน้าบรรดาตัวละครสำคัญที่ถูกอ้างอิงไปถึงออกมาแล้วแทบจะหมดเปลือก อย่างกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯรัฐมนตรีที่กลายเป็นนักโทษหนีคุกอยู่ต่างประเทศ ซึ่งเกิดจากการแฉของ พระสุเทพ ปภากโร ก็ได้ออกมาตอบโต้กันอย่างเอิกเกริก รวมถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และนักการเมืองกลุ่มวาดะห์ของชายแดนใต้อย่าง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายซูการ์โน มะทา และ นายนัจมุดดีน อูมา เป็นต้น
เวลานี้นับเนื่องย่างเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 ของกระบวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อคลี่คลายคดีคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยของฝ่ายตำรวจ เรื่องราวของโจทก์ที่ถูกตั้งแบบตายตัวว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจเก่าทางการเมือง จากการเล็งเป้าไปยังคณะบุคคลที่โยงใยปฏิบัติการบนแผ่นดินไฟใต้ ไปสู่การสืบเสาะแสวหาเอาคนผิดให้ได้จากการแกะรอยรถยนต์ 3 คันที่ใช้ปฏิบัติ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าต่อไปจะมีการพุ่งเป้าไปยังประเด็นอื่นๆ อีกหรือไม่ หรือจะเป็นไปในทิศทางไหนหรืออย่างไร
ทั้งนี้และทั้งนั้น สังคมควรจะต้องร่วมกันหน้าที่จับตาดูกันอย่างใกล้ชิดต่อไป!!
อย่างไรก็ตาม วันนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อันออกไปในท่วงทำนองของการติเตือนเริ่มจะหนาหูขึ้นแล้ว อันเป็นผลจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ยังปล่อยการคลี่คลายคดีคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยยังอยู่ในอุ้งมือทีมสืบสวนสอบสวนภายใต้การนำของ พล.ต.ท.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ พร้อมๆ กับการตั้งธงแบบพุ่งเป้าไปที่ประเด็นเป็นปฏิบัติการของกลุ่มการเมืองอำนาจเก่าที่วางตนเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล โดยไม่พยายามจะให้เข้าไปข้องแวะกับประเด็นไฟใต้ที่ลุกล่ามออกนอกพื้นที่ปลายด้ามขวานแม้แต่น้อย
ห้วงเวลา 2 สัปดาห์มานี้น่าจะมีข้อชี้บ่งแล้วว่า รัฐบาลทหารที่มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หากยังไม่หาญกล้าที่จะลุกขึ้นผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพื่อคลี่คลายคดีคาร์บอมบ์บนเกาะสมุย โดยยังคงปล่อยให้เกิดภาวะ “ลิงแก้แห” ดำเนินไปแบบขัดความรู้สึกผู้คนจำนวนมากเช่นนี้เรื่อยๆ เสียงติติงก็น่าที่จะมีแนวโน้มดังขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน และสุดท้ายก็น่าจะนำไปสู่บทสรุปที่ว่า...
บอกแล้วไงว่า...อย่าล้อเล่นกับไฟ(ใต้)?!?!