“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
เหลือเชื่อ-แต่จริง คือ เพื่อผลประโยชน์ของทุนสามานย์มะกันไม่กี่คน ผู้นำรัฐบาลมะกันถึงกับส่งกองทัพ ไปรุกรานเข่นฆ่าชาวเวียดนามอย่างป่าเถื่อน แต่สุดท้าย..มะกันก็พ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่า
แพ้-เพราะมะกันทำสงครามอธรรม แพ้-เพราะชาวเวียดนามมีผู้นำดีนาม “โฮจิมินห์” ที่ปลุกคนเวียดนามให้รักชาติยิ่งชีวิต จนเป็น “แจ๊ค”ลุกขึ้นสู้กับ “ยักษ์มะกัน” ชนิดตาต่อตา-ฟันต่อฟันทุกรูปแบบ แพ้-เพราะคนมะกันตื่นรู้ว่า ลูกหลานของพวกตนถูกเกณฑ์เป็นทหาร ต้องจากบ้านเกิดไปตายถึงในเวียดนาม เพื่อทำให้รัฐบาลและทุนสามานย์ไม่กี่คนรวยล้นฟ้า มิได้สละชีวิตเพื่อปกป้องชาติมะกันแต่ประการใดเลย
สงครามโลก 2 ครั้ง ผู้นำมะกันยังหลอกประชาชนได้ว่า มะกันเป็นพระเอกที่ถูกพันธมิตรขอร้อง ให้ส่งกองทัพมะกันไปรบ-ไปตาย เพื่อไม่ให้โลกใบนี้อยู่ในมือคนพาล แต่สงครามอเมริกันยกพลไปฆ่าคนเวียดนามนั้น คนมะกันมองต่างจากรัฐบาลมะกันโดยสิ้นเชิง เช่น
เวียดนามเหนือกับใต้เป็นพี่น้องกัน พวกเขามีสิทธิ์จะเลือกระบอบการเมืองเอง ไม่ใช่ธุระที่รัฐบาลมะกันจะสาระแน แต่เพราะเวียดนามมีก๊าซและน้ำมันมหาศาล ซึ่งนายทุนสามานย์มะกันจะกอบโกย รัฐบาลมะกันจึงทุ่มเงินและชีวิตชาวมะกัน ไปต่อต้านรัฐบาลเวียดนามเหนือ ดังนั้น การส่งหนุ่มสาวมะกันไปรบพุ่ง จึงมิใช่การเสียสละเพื่อปกป้องชาติมะกันแต่ประการใด
อีกทั้งในห้วงนั้น ภาพและข่าวจากสงครามเวียดนาม ที่ส่งออกสู่สังคมมะกันและโลกอย่างอิสรเสรีได้สะท้อนภาพเป็นจริง ให้เห็นถึงชาวเวียดนามที่ต่อสู้กับกองทัพอเมริกันอย่างไม่กลัวตาย มีทั้งภาพพระภิกษุเผาตัวตายทั้งเป็น ภาพหน่วยรบกล้าตายเวียดนามเหนือทั้งหญิงชาย ยิงและระเบิดถล่มทหารมะกันกลางเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกิดการบาดเจ็บ-พิการ-ล้มตายกันทั้งสองฝ่ายมิเว้นแต่ละวัน
มีการทำตัวเลขประเมินคร่าวๆ ว่า ทหารมะกันต้องตายถึงวันละหนึ่งพันคน จนเกิดธุรกิจเกี่ยวกับศพทหารมะกันหลายรูปแบบในไทย เช่น การเก็บนาฬิกา-รองเท้า-เสื้อผ้า ฯลฯ จากศพทหารมะกันมาขายกันตามท้องตลาด การรับจ้างทำความสะอาดศพทหารมะกัน ใส่ในโลงสเตนเลสให้กับทางการมะกัน ขนกลับไปส่งให้พ่อแม่ญาติพี่น้องผู้ตายที่สหรัฐ ฯลฯ
แต่ที่เป็นภาพและข่าวสะเทือนใจคนทั้งโลก จนฮอลลีวูดได้นำไปสร้างหนังในเวลาต่อมา คือ ทหารมะกันกลุ่มหนึ่งฆ่าหมู่ชาวเวียดนามที่หมู่บ้าน “ไมลาย” กับเหตุการณ์ทหารมะกันกลุ่มหนึ่ง ฆ่าชาวบ้านที่เป็นเด็ก-ผู้หญิง-คนชรา ซึ่งมีเพียงสองมือเปล่าอย่างหฤโหด แต่ยังโชคดีที่มีทหารมะกันบางคน ซึ่งมีจิตสำนึกความเป็นมนุษย์ ได้ลงมือปกป้องการฆ่าชาวบ้านที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ให้รอดชีวิตมาได้
ยุคนั้น..นักข่าวที่เป็นตากล้องและเขียนข่าวได้ มีงานเต็มมือในสงครามเวียดนาม ทั้งออกเกาะติดในสนามรบบางแห่ง สัมภาษณ์บุคคลสำคัญทั้งเวียดนามเหนือ-ใต้ และมะกันได้อย่างอิสระ ทำให้สังคมโลกได้รับข่าวและภาพแง่มุมต่างๆ ตลอดเวลา
การตายเพื่อทุนสามานย์ที่มิใช่เพื่อชาติ ของทหารมะกันทุกวี่วันในสนามรบต่างๆ ได้ถูกเผยแพร่อย่างต่อเนื่องไปทั่วโลก ขณะที่กฎหมายมะกันระบุไว้ว่า เด็กหนุ่มสาวมะกันทุกคน จะต้องเป็นทหารโดยไม่มีการยกเว้น ทำให้พ่อแม่พี่น้องและคนหนุ่มสาววัยเกณฑ์ทหาร ต้องออกมาเดินขบวนต่อต้านสงคราม และบานปลายไปสู่การหนีทหาร เพราะไม่ต้องการไปรบไปตายที่เวียดนาม..
ดังนั้น จึงมีคนหนุ่มสาวมะกันนับแสน หลบหนีจากสหรัฐไปยังแคนาดา และอีกหลายประเทศในชาติตะวันตก เพื่อไม่รับหมายเกณฑ์ทหารของรัฐบาลมะกันนั่นเอง
บางกลุ่มก็หนีความตายด้วยการสมัครเป็นทหาร เพื่อจะได้ทำงานในจุดที่ปลอดภัย จนมีข่าวพันไปถึง “คุณหนูลูกประธานาธิบดีสหรัฐ” ที่เป็น “บุชผู้ลูก” ได้ใช้วิธี “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” นั่นคือ สมัครเป็นทหารเพื่อทำงานเอกสาร ในห้องแอร์แบบปลอดภัยไว้ก่อน แต่ชอบคุยโม้ว่า..อั๊วเป็นทหารผ่านศึกสงครามที่เวียดนามมาแล้วนะโว้ย!
แหม..ก็ “บุชผู้ลูก” เขามีโอกาสเสียเลือดเหมือนกัน จากการโดนกระดาษบาดนิ้วนี่นา!
ที่สำคัญกระแสต้านสงคราม ยังลามไปถึงทหารมะกันตามฐานทัพต่างๆทั่วโลกอีกด้วย โดยทหารระดับล่างได้มีการจัดตั้งกลุ่มต้านสงครามกัน จนเกิดหนังสือพิมพ์ทำเองของทหารเหล่านี้ถึง 245 กลุ่ม
อีกทั้งทหารชั้นผู้น้อยที่ต้องออกลาดตระเวน มักแอบไปหลบอยู่หลังเนินใกล้ๆ ฐานทัพ ตั้งวงดื่มเบียร์ สูบกัญชา เพื่อหลีกเลี่ยงการรบ ก่อนจะส่งรายงาน “ปลอม” ทางวิทยุ หลอกผู้บังคับบัญชาว่า กำลังลาดตระเวน หรือปฏิบัติหน้าที่ในสนามรบตามจุดสำคัญๆ แล้ว
ตรงนี้ก็มีข่าวกระเส็นกระสายว่า อดีตประธานาธิบดีที่ให้ “เด็กสาวดูดซิการ์ส่วนตัว” ซึ่งเป็นทหารในสงครามเวียดนาม อยู่ในกลุ่มทหารมะกัน ที่ประท้วงสงครามเวียดนาม ด้วยวิธี “ดูดกัญชา” กับเขาด้วย
นอกจากนั้น ยังเกิดเหตุการณ์ลอบยิง กับใช้ระเบิดทำร้ายผู้บังคับบัญชากว่าพันคดี และมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์สหรัฐ ในปี 2513 ถึงการเจรจาระหว่างผู้บังคับบัญชา กับทหารชั้นผู้น้อยที่ไม่ยอมออกไปรบ
คดีเหล่านี้บอกให้ผู้บังคับบัญชาทหารรู้ว่า บัดนี้กองทัพอันยิ่งใหญ่ของมะกัน ได้สูญสิ้นสภาพการสู้รบไปแล้วโดยสิ้นเชิง
งานนี้..แม้แต่ “โรเบิร์ต แม็คนามารา” อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ยังออกอาการงุนงงว่า
“..เรา ซึ่งหมายถึงคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล เคนเนดี้ และ จอห์นสัน ผู้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม ได้กระทำผิดอย่างมหันต์ เราเป็นหนี้อนุชนรุ่นหลัง ผู้ซึ่งจะตั้งคำถามว่า ทำไม..เราจึงทำไปเช่นนั้น..”
นอกจากนั้น นักเศรษฐศาสตร์การเมือง ยังเผยแพร่ตัวเลขที่รัฐบาลจอห์นสัน ผลาญเงินงบประมาณชาติมะกัน เพื่อใช้จ่ายทางทหารเพิ่มขึ้นถึง 30% จนทำให้นายทุนมะกันส่วนใหญ่ ที่มิได้มีผลประโยชน์กับสงครามเวียดนาม ไม่พอใจในความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจอย่างหนัก ของชาติมะกันอีกด้วย
ทำให้สถานการณ์การต่อต้านสงครามเวียดนาม ยิ่งขยายตัวอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง เพราะมันได้กลายเป็นไฟป่า ที่ลุกโชนลามไปทั่วสหรัฐอเมริกาเสียแล้ว
ถึงขนาดการชุมนุมของชาวมะกันกว่าห้าหมื่นคน หน้าตึกเพนตากอน มีเจ้าหน้าที่ของเพนตากอนจำนวนไม่น้อยเข้าร่วมด้วย และการปราบปรามในครั้งนั้น เจ้าหน้าเพนตากอนก็ยืนอยู่กับผู้ชุมนุม จนได้รับบาดเจ็บกันไปหลายคน การชุมนุมต่อต้านสงครามเวียดนามของคนหลายแสน เกิดขึ้นที่ชิคาโก ในปี 2511ในช่วงที่พรรคเดโมแครตจะมีการประชุมใหญ่ จนถูกทางการมะกันปราบปราม เกิดการจลาจลถึงขั้นเลือดตกยางออก
ความแข็งกร้าวของรัฐบาลมะกันยุคนั้น เกิดขึ้นเพราะผู้นำ “สายเหยี่ยว” และกลุ่มนายทุนสามานย์ สัมพันธ์ใกล้ชิดกับกองทัพอเมริกัน จึงทำให้รัฐบาลมะกันใช้มาตรการรุนแรง ทั้งจับกุม-ปราบปราม-ยัดข้อหากบฎต่อรัฐบาล และเป็นคอมมิวนิสต์ ให้ผู้ประท้วงสงครามเวียดนามอยู่ตลอดเวลา
แต่ประชาชนมะกันก็มิได้เกรงกลัว ดังนั้นในยุคประธานาธิบดี จอห์นสัน ต่อด้วยยุคประธานาธิบดีนิกสัน การชุมนุมประท้วงต่อต้านสงคราม ได้ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยการชุมนุมใหญ่กลางกรุงวอชิงตัน มีผู้มาชุมนุมกว่า 250,000 คน ถือเป็นการต่อต้านรัฐที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ชาติมะกัน
นั่นหมายถึง..ชาวมะกันอันมหาศาล ได้ลุกขึ้นทำ “สงครามท้องถนน” ในชาติมะกัน ด้วยสองมือเปล่ากับหัวใจอันกล้าหาญ เพื่อกดดันรัฐบาลทุนสามานย์ของตน ให้ถอนตัวจากสงครามเวียดนามแล้ว...