ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หายหน้าหายตาในสังคมออนไลน์ไปตั้งแต่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอารถถังออกมายึดอำนาจจากน้องสาวในไส้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนบัดนี้เกือบจะครบขวบปีเต็ม จู่ๆ “นายใหญ่”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็คืนวงการ “นักเลงคีบอร์ด”อีกครั้งแบบมีเซอร์ไพร์สเล็กๆ
เป็นการทวิตเตอร์ที่เข้าเป้าประเด็นการเมืองโดยตรง ไม่ใช่กิน เที่ยว สัพเพเหระ อย่างที่แล้วๆมา ท่ามกลางสถานการณ์ร้อนฉ่า ปมคาร์บอมบ์ ห้างสรรพสินค้าเซนทรัล เฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่าเป็นฝีมือใคร หลังเจ้าหน้าที่ฟันธงให้น้ำหนักเรื่องการเมืองเป็นอันดับหนึ่ง
พยานหลักฐานชัด เป็นการสร้างฉากขโมยรถจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้ามาก่อเหตุ โดยมีนักการเมืองจากกลุ่มอำนาจเก่าเป็นทุนหลักในการลงมือเพื่อปั่นป่วน
หลายฝ่ายไฮไลต์ไปที่เครือข่ายอำนาจที่เพิ่งจะสูญเสียประโยชน์ก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะนักการเมืองซีกเพื่อไทยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่าง “กลุ่มวาดะห์”เพราะมีกำลังวังชาในการลงมือได้ ขณะที่นักการเมืองซีกประชาธิปัตย์ น้ำหนักน้อยกว่า เพราะพื้นที่เกาะสมุยเป็นอาณานิคมทางการเมืองของ “หลวงลุงกำนัน”สุเทพ เทือกสุบรรณ เหตุผลในการทำเองยังเบาไป
ทำเอา“ขุนพลวาดะห์”สะดุ้งเฮือก เรียงแถวกันออกมาแจงว่า อย่าโยนขี้ งานนี้เลยต้องรอดู เพราะ“บิ๊กแป๊ะ”พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ในฐานะรับผิดชอบคดี เด็กดีของ“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ผู้มากบารมีในรัฐบาล แฉเองกับปากว่า ก่อนวันเกิดเหตุมีนักการเมืองเข้าไปที่เกาะสมุย
ถ้าอย่างนี้ “ไอ้โม่ง” เบื้องหลังเป็นใคร ฝั่งไหน เดี๋ยวได้รู้กัน!!!
แต่ที่แน่ๆ เพราะเป้าเพ่งเล็งเป็น “กลุ่มวาดะห์”ผู้ต้องสงสัยอยู่หลังฉากเลยเหลืออยู่ไม่กี่คน ยิ่ง“หลวงลุงกำนัน”ออกมากระทุ้งไล่หลังวันเกิดเหตุเป็นฝีมือคนแดนไกล ใครๆ ก็คิดว่าเหลือแค่ชื่อเดียว
มันเลยทำให้“นายใหญ่”แห่งพรรคเพื่อไทย ต้องปรากฏตัว ส่งสารโดยตรงถึง“หลวงลุงกำนัน”ระบุ “ถึงพระสุเทพ เราหยุดมานานแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด ท่านบอกท่านบวชแล้ว 9 เดือน อย่าบวชแต่กาย เพียงนุ่งผ้าเหลืองและโกนหัวเท่านั้น ควรเอาใจไปบวชด้วย เพราะท่านมุสาเป็นประจำ นึกว่านุ่งผ้าเหลืองแล้วจะเลิกมุสา เรารู้จักกันดีพอ”
เกิดอาการกินปูนร้อนท้อง แบบกับถึงต้องออกแอ็กชั่นมามีความเคลื่อนไหวทางการเมืองทีเดียว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้มีการพาดพิงไปถึงคนแดนไกล หรือเอ่ยชื่อใคร มีแต่ “หลวงลุงกำนัน”ที่พูดทำนองทำให้นึกถึงได้
เลยไม่รู้ครั้งนี้ ระหว่าง “ทักษิณ”กับ “หลวงลุงกำนัน”ใครติดกับหลงกลใครกันแน่ เพราะในมิติทางการเมืองการออกแอ็กชั่นของ “ทักษิณ”เป็นลบมากกว่าบวก มันเหมือนอาการร้อนตัวมากกว่าแก้ตัว ที่สำคัญ หลายครั้งหลายคราเวลาเกิดเรื่องแล้วมีการพาดพิง ตัวเองอยู่นิ่งๆให้สมุน ลิ่วล้อ ออกมาตอบโต้แทนได้ ไม่ต้องเหนื่อยแรง
การออกแอ็กชั่นแรงๆ ของ “ทักษิณ”มันยังสะท้อนอารมณ์ร้อนรน เหมือนที่ “หงอกมหาภัย”สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการซ้ายตกขอบ ออกมาตั้งข้อสงสัยน่าสนใจ ทำนองไม่ยักกะด่า“ทหาร” แต่ด่า “หลวงลุงกำนัน”ทำให้วิเคราะห์ทิศทางพรรคเพื่อไทยว่า เหมือนพยายามเจรจาและต่อรองกับ “ทหาร”ในหลายๆ เรื่อง เลยไม่กล้าทำอะไรกระทบกระเทือนจนเสียการใหญ่
ตามคิว“ทักษิณ”พยายามแสดงตนว่า ตัวเองบริสุทธิ์ ไม่ได้ปั่นป่วน โดยยกคำสอนพระพุทธเจ้าที่พูดกับองคุลีมาล “เราหยุดแล้ว ท่านล่ะหยุดหรือยัง”
ทำให้วิวาทะ “หลวงลุงกำนัน”กับ “ทักษิณ”ทั้งเนื้อหา และห้วงจังหวะเวลา สะท้อนความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มองไม่เห็นได้อย่างน่าสนใจ
อย่างไรก็ดี อีกทางหนึ่งมีการตั้งข้อสังเกตเหมือนกันว่า โดยธรรมชาติของ“ทักษิณ”ทุกครั้งที่โพสต์ทวิตเตอร์ ข้อความ คำชี้แจงมักจะยาวเหยียด อธิบายได้มากกว่านี้ ยิ่งหายหน้าหายตาไปนาน ใจความน่าจะเยอะ แต่หนนี้กลับมีใจความสั้นๆ พาดพิงพุ่งเป้าไปที่ “หลวงลุงกำนัน”คนเดียว
ตกลงเป็นอารมณ์เดือดดาลตามใจปากหรือเปล่า!!!
กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าสุดท้ายจะลงเอยอีหรอบใด ไม่น่าจะมีอะไรสำคัญกับข้อความบนทวิตเตอร์ของ“ทักษิณ”หนนี้ที่เปลือยกายได้อย่างล่อนจ้อน มีใบเสร็จมัดเสร็จสรรพ โดยเฉพาะท่อน“เราหยุดมานานแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด”มันเป็นการตอกฝาโลง ขุดหลุมฝังตัวเองว่า ที่ผ่านมาเหตุการณ์ความวุ่นวาย การสร้างสถานการณ์ต่างๆ มีส่วนเกี่ยวข้องมาตลอด
เพราะ “หยุดแล้ว”แสดงว่า “เคยทำ”
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง คงต้องขอบคุณ “ทักษิณ”ที่ช่วยทำให้ชาวบ้านตาสว่าง หลังก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่มีการพาดพิงถึง ไม่มีหลักฐานที่จะสาวไปถึงได้ ขณะที่บริวารก็ได้ใจ ยืนกระต่ายขาเดียว อ้างว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสีของฝ่ายตรงข้าม
งานนึ้ “ทักษิณ”ทำให้ข้อหาก่อการร้ายที่เคยโดน เมื่อช่วงการชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดงในปี 2553 พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ได้จับสลากมาได้ !!!
แล้วก็สอดคล้องกับที่ “บิ๊กตู่”เคยพูดเอาไว้ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ “…วันนี้พอผมใช้อำนาจทางกฎหมายก็ออกมาบอกว่า ไปปิดกั้นเสรีภาพ โดยไม่ได้ดูว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีการประท้วงจนบริหารประเทศไม่ได้ แล้วเมื่อมีการประท้วง แล้วใครใช้อาวุธสงครามยิงใส่คนที่มาประท้วง ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 53 และปี 56 -57 ก็เป็นฝีมือกลุ่มเดิมอีก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ก็ทำแบบเดิม…”
กลุ่มเดิมๆ ในความหมายของ“บิ๊กตู่”บังเอิญพอดีกับคำสารภาพ “ทักษิณ”
เลยไม่รู้ก่อนกระหน่ำแป้นพิมพ์ข้อความบนทวิตเตอร์ มีการสังเคราะห์แต่ละคำมาดีแล้วหรือยัง เพราะเรื่องนี้เรื่องใหญ่งานยักษ์ทางการเมือง ต่อให้ภายหลังจะออกมาแถเป็นอย่างอื่น ก็สายเกินไป
“ทักษิณ”บอกหยุดแล้ว แต่ประเด็นนี้คงไม่หยุดแน่ ปล่อยไก่กันเสียขนาดนี้ คงว่ากันอีกยาวเป็นซีรีส์ หนำซ้ำจะกระทบกระเทือนไปถึงเรื่อง “ดีล”ที่พยายามจะวิ่งเข้าหาสายนู้น สายนี้ เพื่อเจรจาต่อรอง และคดีก่อการร้ายของตัวเองที่อาจทำให้ร่อนเร่ไปนู่นไปนี่ ลำบากขึ้น
เพราะคำว่า “เรารู้จักคุณดีพอ”แท้ๆ