ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรื่องราวความรุนแรงบนแผ่นดินปลายด้ามขวาน หากจะนำไปเปรียบเทียบกับวงการมายาก็ต้องบอกว่าเป็นละครขนาดยาวที่ยังมองไม่เห็นจุดจบ ที่ผ่านๆ มาถูกสร้างขึ้นมาแล้วหลากภาคหลายตอน โดยทั้งหมดทั้งปวงมุ่งสะท้อนภาพชีวิตของผู้คนที่ต้องผจญกับมหันตภัยนานาชนิดที่มนุษย์สร้างขึ้นมากระทำต่อกัน ซึ่งนอกจากจะยังความสูญเสียกับทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากมายมหาศาลจนสุดจะประเมินค่าได้แล้ว ในเรื่องของผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติก็ถูกสั่นไหวไม่แพ้กัน
ในสายตาของคนที่เฝ้าติดตามความเป็นไปของบ้านเมืองและชื่นชอบการชมละคร มุมมองต่อสถานการณ์ความรุนแรงบนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ เวลานี้ก็น่าจะไม่ต่างอะไรกับซีรีย์ไฟใต้ภาคแห่งการคุโชนระลอกใหม่ อันมีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายทหารเมื่อต้นปี 2547 แล้วเรื่องถูกดำเนินเรื่องมาด้วยเหตุการณ์สำคัญๆ เป็นตอนๆ ซึ่งตอนล่าสุดมาถึงกรณีเกิดเหตุวินาศกรรมบนเกาะสมุย เกาะที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเหมือนมรกตเม็ดงามด้านการท่องเที่ยวในฝั่งทะเลอ่าวไทย
สำหรับซีรีย์ไฟใต้ตอนล่าสุดนั้น เรื่องราวที่เป็นไฮไลท์อยู่ที่เหตุการณ์เกิดระเบิดชนิดคาร์บอมบ์บนเกาะสมุย จุดเกิดเหตุคือบริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดินศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สาขาสมุย ตั้งอยู่บริเวณหาดเฉวง ม.2 ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. ของคืนวันที่ 10 เม.ย.2558 ที่ผ่านมา
ผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียวเรื่องราวกลับถูกผูกโยงไปเสียใหญ่โต พัวพันจากในประเทศไปถึงต่างประเทศ มีตัวละครทั้งที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรง โดยอ้อม และถูกลากจูงโยงใยไปให้ถึงกลุ่มหรือตัวบุคคลมากมาย ซึ่งตัวละครเหล่านั้นมีตั้งแต่ระดับพนักงานรักษาความปลอดภัย คนขับรถ ไล่เลียงไปจนถึงนักการเมืองใหญ่ในพื้นที่ชายแดนใต้ อดีตรัฐมนตรี รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีคดีไปอาศัยอยู่ต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไม่เว้น
ภายหลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุยมีการตั้งธงเพื่อนำไปสู่การสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ไว้ 4 ประเด็น ประกอบด้วย 1. เป็นฝีมือของพนักงาน รปภ.ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สาขาสมุย ที่เพิ่งถูกไล่ออก 2. ความขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์บนเกาะสมุย 3. การสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่า และ 4. การขยายพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนจากชายแดนใต้
เป็นที่น่าสังเกตว่า สิ้นเสียงบึ้มไปได้ไม่นาน ขณะที่กลิ่นควันไฟจากระเบิดยังแทบไม่ทันจางหาย โดยเฉพาะยังเป็นที่สับสนกันอยู่ว่ารถยนต์คันที่ถูกนำมาประกอบเป็นคาร์บอมบ์นั้น เป็นรถยนต์กระบะหรือเก๋ง แถมยี่ห้อก็ยังเป็นที่สับสนอยู่เสียด้วยซ้ำ แต่ปรากฏว่า พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กลับออกมาชี้ประเด็นอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า สาเหตุของคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยครั้งนี้เป็นฝีมือของกลุ่มการเมืองที่เคยมีอำนาจ จากนั้นทั้งทีมโฆษกและคนในรัฐบาลก็พยายามอธิบายเพิ่มเติมในแง่มุมต่างๆ เพื่อสนับสนุนประเด็นนี้ตามมาแบบไม่ขาดสาย
พลันที่เกิดวินาศกรรมบนเกาะสมุย เรื่องราวทางเฟซบุ๊กของคนที่ใช้ชื่อ เอ็ม เสื้อแดง ที่ประกาศจัดหนักที่ จ.สุราษฎร์ธานีก่อนเกิดเหตุการณ์ไม่นานถูกนำไปเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์เป็นที่รับรู้กันกว้างขวาง โดยฝีมือของผู้ที่อ้างตนว่าเป็นสลิ่ม จากนั้นทหารก็มีการควบคุมตัวนายนรินทร์ อ่ำหนองบัว พร้อมแนวร่วมเสื้อแดงอีก 2 คนไปสอบสวนตาม ม.44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557
หลังจากมีการพิสูจน์ทราบว่ารถที่ใช้ประกอบเป็นคาร์บอมบ์เป็นรถยนต์กระบะของ อบต.ละแอ อ.ยะลา จ.ยะลา ซึ่งถูกปล้นชิงไปจากนายอับดุลรอซะ ดูมิแด พนักงานขับรถไปอย่างมีพิรุธตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา อีกทั้งรูปแบบการประกอบระเบิดคาร์บอมบ์ก็เป็นแบบเดียวกับที่กลุ่มแนวร่วมขบวนการใช้ปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนใต้ บรรดาผู้บริหารรัฐบาล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องก็ชักแถวออกมาเล่าเป็นฉากๆ ถึงคอนเนกชันระหว่างกลุ่มการเมืองอำนาจเก่ากับกลุ่มแนวร่วม พร้อมชี้ให้เป็นภาพในลักษณะของการจ้างวานให้ประกอบคาร์บอมบ์หรือจ้างให้ปฏิบัติการ
เมื่อฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐให้น้ำหนักไปในประเด็นการสร้างสถานการณ์เพื่อ หวัง ผลทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่า จึงไม่แปลกที่กลไกราชการที่เกี่ยวข้องกับการไขคดีความจะมะรุมมะตุ้มทุ่มเทด้านการสืบเสาะแสวงหาหลักฐานไปในทิศทางตอบสนอง ไม่เพียงมีความพยายามที่จะโยงหลักฐานให้ถึงตัวอดีต ส.ส.เส้นสายระบอบทักษิณในพื้นที่ชายแดนใต้ อาทิ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ หรือนายนัจมุดดีน อูมา เป็นต้น แต่ยังรวมถึงอดีต ส.ส.และกลุ่มก๊วนแก่นแกนคนเสื้อแดงต่างๆ
เวลานี้ก็มีการโยนข้อกล่าวหาไปให้ถึงคนระดับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่หนีคุกตารางไปร่อนเร่อยู่ต่างประเทศแล้วด้วย
ทั้งนี้ พระสุเทพ ปภากโร หรืออดีตนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ที่เคยมีตำแหน่งถึงรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ออกมากล่าวต่อหน้าญาติโยมที่ร่วมงานบุญ ณ วัดไร่ล่าง อ.สวี จ.ชุมพร ในวันสงกรานต์ในทำนองว่า สถานการณ์ระเบิดความไม่สงบที่เกิดขึ้นช่วงนี้ ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเชื่อมโยงมาจากการสูญเสียอำนาจของกลุ่มอำนาจเก่า เป็นฝีมือการจ้างวานของคนที่อยู่ต่างประเทศ อีกทั้งยังต้องการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นในหลายจังหวัดของภาคใต้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนเตรียมตัวลุกขึ้นมาต่อสู้
สำหรับเรื่องนี้นับว่าแปลกมากที่ไม่ใช่คนในฟากรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้ชี้เบาะแสดังกล่าว
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ทวิตเตอร์ส่วนตัวในชื่อ Thaksin Shinawatra @ ThaksinLive โพสต์ข้อความตอกกลับพระสุเทพว่า...
“ถึงพระสุเทพ เราหยุดมานานแล้ว แต่ท่านยังไม่หยุด ท่านบอกท่านบวชแล้ว 9 เดือน อย่าบวชแต่กาย เพียงนุ่งผ้าเหลืองและโกนหัวเท่านั้น ควรเอาใจไปบวชด้วย เพราะท่านมุสาเป็นประจำ นึกว่านุ่งผ้าเหลืองแล้วจะเลิกมุสา เรารู้จักกันดีพอนะ”
ตามด้วยคนในครอบครัวชินวัตร โดยเฉพาะลูกชายหัวแก้วหัวแหวน โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร รวมถึงบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงและอดีตนักการเมืองในระบอบทักษิณ ต่างก็ยกโขยงออกมาดาหน้าตอบโต้พระนักปราศรัยฝีปากกล้าที่แอบเชียร์ ให้กำลังใจและชักชวนประชาชนร่วมกันปกป้องรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสมอมา
นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยแสดงความเห็นถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โพสต์ ข้อความตอบโต้พระสุเทพ ว่า “มีคนสงสัยว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องส่งข้อความนี้กล่าวหาพระสุเทพ ในทัศนะของผม พ.ต.ท.ทักษิณ อาจกังวลที่สุด คือ เรื่องการถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย เพราะกลัวถูกซัดทอด โยงใยว่าเป็นผู้สั่งการ บงการเหตุการณ์วางระเบิดเเละเผาที่เซ็นทรัลสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะทำให้เกิดเงื่อนไขที่อาจมีการสั่งตามมาตรา 44 หรือดีเอสไอ ที่กำลังรื้อฟื้นคดีวันที่ 10 เม.ย.2553 พลิกคดี ตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ต้องหาหมายเลข 1 ในคดีก่อการร้ายอีกครั้ง หรือถูกส่งศาล เพื่อขอหมายจับส่งผ่านตำรวจสากล ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอีกหลายประเทศทั่วโลก ไม่สะดวกสบาย และไม่ได้รับการต้อนรับเหมือนก่อน คำอธิบายที่ใช้ชี้เเจงต่อ CFR ที่ไปร่วมก็ยากขึ้น”
นายสมชาย โพสต์อีกด้วยว่า ขณะที่ท่าทีสหรัฐฯ เองก็เริ่มเข้าใจขึ้น หลังจากที่โดนรัฐบาลปรับท่าทีทางการทูต กระชับสัมพันธ์กับรัสเซียเเละจีนมากขึ้น การเตรียมส่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ มาไทยอีกครั้ง หลังปล่อยให้ เเพทริก เมอร์ฟรีย์ อุปทูต คุมอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่นานไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้
“การลงมือวางระเบิดคาร์บอมบ์ด้วยค่าจ้างที่ตามรายงานข่าว ระบุว่า 5 ล้านบาท พร้อมๆ การเผาสหกรณ์โคออฟ ที่สุราษฎร์พร้อมๆ กัน ไม่ใช่ฝีมือโจรกระจอก ย่อมมีผู้สั่งการ บงการ จ่ายท่อน้ำเลี้ยงเเน่นอน การจับกุมบางคน เเละได้ตัวพยาน พร้อมเบาะเเสที่สาวถึงขบวนการที่เชื่อมโยงกัน ย่อมทำให้เห็นภาพชายใจดำชัดเจนขึ้น ดังนั้น งานนี้ ปูนจึงร้อนท้อง อย่างช่วยไม่ได้ ต้องรีบสลัดข้อหาให้ได้ ก่อนความจริงจะมัดตัว ก็เท่านั้นเเหละครับ”นายสมชายระบุ
ไม้เว้นแม้แต่ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “น่าสนใจ และน่าสะดุดใจดี สำหรับทวีตแรก ในเวลาเกือบ 1 ปี ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และถ้าตนจำไม่ผิด เรียกได้ว่าเป็นการแสดงออกทางการเมืองอย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังรัฐประหาร ถ้าไม่นับทวีตเมื่อ วันที่ 25 พ.ค.2557 ไม่กี่วันหลังรัฐประหารเพียงครั้งเดียว ซึ่งก็ไม่มีอะไรนักในตอนนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบปี จะมีลักษณะของการ "ฝากเมสเสจ" หรือ "แหล่งข่าวเล่าว่า" นี่จึงเป็นครั้งแรก ที่ทำในชื่อตัวเองโดยตรงเลย”
ทั้งนี้ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกที่จะออกมาในนามตัวเองโดยตรงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบปี "เป้า" คือ "อัดสุเทพ" ตนเคยตั้งข้อสังเกตประเด็นนี้มาก่อนว่า อย่างน้อยนับจากปี 2553 มา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ) ทิศทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ (แล้วเลยทำให้บรรดา "กลไก" ต่างๆ เช่น เพื่อไทย นปช. ลงไปถึงระดับมวลชนเสื้อแดงจำนวนมาก) ออกมาในทาง "หาทางเจรจา-ผูกมิตร-เอาใจ ทหาร- xxx แต่อัดพรรคประชาธิปัตย์ (อภิสิทธิ์-สุเทพ)" ซึ่งตนเคยวิจารณ์ว่า นี่เป็นทิศทางประหลาด และผิดด้วย
“ไม่แน่ใจว่า ทวีตแรก การแสดงออกทางการเมืองอย่างเป็นทางการแรกในรอบเกือบ 1 ปี ภายใต้ คสช. อันนี้ จะใช่ตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันเรื่องนี้หรือไม่ (ยังต้องรอดูต่อไป) แต่โดยส่วนตัว คือรู้สึกว่าใช่ และชวนสะดุดใจมาก”
ไม่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่ายระบอบทักษิณเท่านั้นที่ถูกนำไปโยงใย ยังมีเรื่องราวที่แม้ยังไม่เล็ดรอดออกมาเป็นข่าว แต่พูดกันในกลุ่มความมั่นคงอย่างสนุกปากกันไปแล้ว กล่าวคือ ก่อนเกิดเหตุคาร์บอมบ์ไม่นาน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้นำทีมลงพื้นที่ภาคใต้พูดคุยกับบรรดาแกนนำสหายเก่า ช่วงเวลาเดินทางกลับได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับระดับนำของพรรคประชาธิปัตย์เจ้าถิ่น โดยบิ๊กจิ๋วหวานเจี๊ยบได้บอกเล่าเชิงฝากรัก คสช.และรัฐบาลไว้ด้วย
อย่างไรก็ตามจะมีก็แต่เพียง พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ที่ออกมาระบุว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นห่วงในเรื่องนี้ และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งหาตัวคนผิดมาลงโทษ พร้อมสำทับด้วยว่าประเด็นที่มีความเป็นไปได้แบบให้ค่ามากที่สุดคือ เรื่องความขัดแย้งของกลุ่มผลประโยชน์ในพื้นที่เกาะสมุย รองลงมาคือเรื่องของการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง
แม้ผู้นำในฟากรัฐบาล ทหารและตำรวจจะออกมาช่วยกันระบุว่า ยังไม่มีการตัดประเด็นใดทิ้ง แต่ช่วงหลังๆ กลับแทบไม่มีการพูดถึงประเด็นเป็นฝีมือพนักงาน รปภ.ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สาขาสมุย ที่ถูกไล่ออกไม่นาน เพราะไม่ต้องพูดถึงหลักฐานอะไรมายืนยันไหรอก เอาแต่จินตนาการพื้นๆ ถึงคนประกอบอาชีพ รปภ.จะมีศักยภาพในการทำคาร์บอมบ์ด้วยตัวเองหรือไม่ หรือจะมีทรัพย์สมบัติอะไรไปว่าจ้างกลุ่มแนวร่วมจากชายแดนใต้ให้มาล้างแค้นแทนได้ล่ะหรือ
ส่วนประเด็นที่รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐไม่ค่อยจะพูดถึง หรือพูดถึงเพียงผ่านๆ แบบไม่อยากจะให้ความสำคัญเลยคือ การขยายพื้นที่ปฏิบัติการของกลุ่มแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนออกนอกพื้นที่ชายแดนใต้ ทั้งที่มีหลักฐานมากมายกายกองและชี้ชัดว่า เหตุระเบิดคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกจากวิกฤตปัญหาไฟใต้ โดยเฉพาะมีระดับแกนนำหรือไม่ก็แนวร่วมขบวนการเข้าร่วมปฏิบัติการหรือให้ความช่วยเหลือด้วยแน่นอน
ทั้งที่ช่วง 1 สัปดาห์มานี้มีข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงถูกนำมาเปิดเผยอย่างโยงใยให้เห็นเป็นขั้นเป็นตอนอย่างระบบด้วย กล่าวคือ รถกระบะถูกปล้นชิงวันที่ 31 มี.ค.ที่ จ.ยะลา โดยเกิดเหตุที่ อ.ยะหา แล้วถูกขับผ่านจุดตรวจร่วม ต.สะเตง อ.เมืองยะลา ก่อนเข้าสู่ อ.กรงปีนัง ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งประกอบคาร์บอมบ์
จากนั้นวันที่ 9 เม.ย.รถคันดังกล่าวถูกขับผ่านเข้าสู่ จ.สงขลาด้าน อ.สะบ้าย้อย ไปโผล่ที่สี่แยกพระพุทธ อ.เทพา แล้วพอถึง อ.จะนะ ตัดเข้าสู่ถนนเลียบฝั่งทะเลไปออกยัง อ.เมืองสงขลา ก่อนที่จะข้ามสะพานติณสูลานนท์เข้าพื้นที่ อ.สิงหนคร อ.สทิงพระ อ.ระโนด แล้วผ่านเข้า จ.นครศรีธรรมราชที่ อ.หัวไทร แล้วต่อไปยัง จ.สุราษฎร์ธานีลงเรือเฟอรี่ที่ อ.ดอกสัก ข้ามไปยัง อ.เกาะสมุย เช้าวันที่ 10 เม.ย. โดยตลอดเส้นทางมีรถเก๋งและกระบะค่อยคุมกันไปด้วย
ชุดสืบทั้งของ ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ภ.จว.สงขลา และของ ศชต. ต่างสรุปตรงกันว่า คนร้ายกลุ่มนี้เป็นชุดปฏิบัติการมืออาชีพที่มีความใจเย็น และมีการวางแผนเป็นอย่างดี เพราะหลังการปล้นรถยนต์ ทั้งที่มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่จุดตรวจ จุดสกัดและตำรวจทุก สภ.ตั้งด่านดักไว้แล้ว แต่ก็รอดพ้นไปได้หมด
หน่วยงานความมั่นคงยังมีข้อมูลด้วยว่า กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนจากชายแดนใต้ที่ร่วมปฏิบัติการคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยในครั้งนี้คือ กลุ่มนักรบมูจาฮีดินปัตตานี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการพูดคุยสันสุขระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับตัวแทนบีอาร์เอ็นฯ พูโลและกลุ่มต่างๆ โดยนักรบมูจาฮีดินมีเยาวชนและปัญญาชนเป็นแกนนำ และยังยึดมั่นการแบ่งแยกดินแดน หรือการเป็นเขตปกครองพิเศษตามอุดมการณ์ ผลงานล่าสุดวันที่ 13 เม.ย.ที่เพิ่งผ่านมาได้วางระเบิดที่น้ำตกทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
สำหรับกลุ่มมูจาฮีดินมีเป้าหมายจะก่อวินาศกรรมแหล่งบันเทิงที่เป็นอบายมุข แต่ถ้าเป็นเมืองท่องเที่ยวจะเน้นแค่การทำลายเศรษฐกิจ ไม่เน้นให้มีผู้คนล้มตาย เพียงเพราะต้องการประกาศศักยภาพกลุ่มของตน ดังนั้นคาร์บอมบ์ที่สมุยจึงทำแค่ลานจอดรถห้างที่ไม่ใช่แหล่งผู้คนพลุกพล่าน
ข้อมูลฝ่ายความมั่นคงระบุด้วยว่า มีการส่งหน่วยข่าวกรองไปที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อหาข่าวกลุ่มอำนาจเก่าว่าจ้างขบวนการทำคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุย นอกจากไม่มีข่าวประเด็นนี้แล้ว กลับพบแต่เพียงว่า ช่วงเดือน มี.ค.ก่อนปล้นรถยนต์ อบต.ละแอ นายสะแปอิง บาซอ แกนนำใหญ่ของขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ได้เรียกกลุ่มเคลื่อนไหวจากชายแดนใต้ของไทยข้ามไปประชุมรัฐเคดะห์
ทั้งนี้ นายสะแปอิงคือแกนนำที่ปฏิเสธการเจรจากับรัฐบาลตั้งแต่เมื่อครั้งที่ น.ส.ยิงลักษณ์ ชินวัตร ยังนั่งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยในครานั้นรัฐบาลมาเลเซียได้ขอร้องให้นายสะแปอิง เดินทางไปอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียชั่วคราว เพื่อให้การพูดคุยสันติภาพตามนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณอดีตนายกรัฐมนตรีมีความเป็นไปได้
ไม่เพียงเท่านั้น มีการวิเคราะห์ของหน่วยความมั่นคงแล้วว่า ปฏิบัติการคาร์บอมบ์บนเกาะสมุยเชื่อมโยงได้กับหลายเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินของทั้ง 5 จังหวัดชายแดนใต้ ไม่ว่าจะเป็นคาร์บอมบ์ที่ จ.ปัตตานี จ.นราธิวาส อ.เบตงและ อ.เมือง จ.ยะลา อ.สะเดาและ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และที่สำคัญยิ่งคือ ปฏิบัติการคาร์บอมบ์ที่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต แต่การจุดชนวนไม่ประสบผลช่วงปลายปี 2556 ที่เพิ่งผ่านมา
ทั้งที่มีข้อมูลมากมายดังกล่าวที่ระบุชัดว่า วินาศกรรมบนเกาะกลางอ่าวไทยในภาคใต้ตอนกลาง สามมารถเชื่อมโยงได้แนบสนิทกับสถานการณ์ไฟใต้ที่โชนเปลวอยู่ในแผ่นดินปลายด้ามขวาน แต่ไม่ว่าจะ คสช. รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐต่างพยายามเบนไปให้น้ำหนักในประเด็นอื่นๆ แทน โดยเฉพาะโยนให้กลุ่มอำนาจเก่าทางการเมือง
แน่นอนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คนจำนวนมากอาจจะยังงงงง แต่หลายคนก็แปลกใจในเรื่องนี้ จึงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และด้วยเหตุผลอะไรเล่า?!
มีการวิเคราะห์กันไว้ในประเด็นหลักๆ ถึงเรื่องที่ผู้ถือบังเหียนอำนาจรัฐไม่ว่าจะเป็น คสช. รัฐบาล รวมถึงกลไกต่างๆ ในระบบราชการเลี่ยงที่จะให้ความสำคัญกับประเด็นไฟใต้ลุกลามขยายวง เพราะเล็งเห็นว่าผลกระทบที่จะตามมาจะก่อความสาหัสสากรรจ์แค่ไหน
ประการหนึ่งหากยอมรับว่าเป็นผลพวงของปรากฏการณ์จากสถานการณ์จากชายแดนใต้ นั่นหมายถึงรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในมือถูกท้าทายอย่างรุนแรง ไม่เพียงไม่สามารถแก้วิกฤตไฟใต้ได้เท่านั้น แม้แค่ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลายขยายวงก็ยังทำไม่ได้
ประการหนึ่งจะเป็นการยอมรับศักยภาพของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนในชายแดนใต้ อันเป็นไปตามเป้าประสงค์ที่กลุ่มคนพวกนั้นพยายามประกาศศักดาไว้ต่อเนื่องมาว่า พวกเขามีสามารถที่จะก่อสถานการณ์เมื่อไหร่และที่ไหนก็ได้
ประการหนึ่งจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้า การลงทุนและโดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่อ่อนไหวอย่างมากในเรื่องนี้ เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะน่าวิตกยิ่งแล้วในเวลานี้ หากต้องเผชิญมรสุมลูกใหม่ในเรื่องของไฟใต้ที่สร้างความวิตกกังวลได้อย่างชะงักงัน แล้วจะเกิดอะไรตามมา
นี่ยังไม่นับรวมเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ เสถียรภาพของรัฐบาล ภาพลักษณ์ของท่านผู้นำ การยอมรับของผู้คนทั้งในและนอกประเทศ ที่สำคัญมากและเกิดเล่าขานกันมานานแล้วก็คือ จะทำให้วาทกรรมรัฐประหารเสียของเป็นจริงขึ้นมาได้
ดังนี้แล้ว เรื่องราวของซีรีย์ไฟใต้ภาคแห่งการคุโชนระลอกใหม่ ซึ่งกว่า 10 ปีได้ดำเนินมาถึงตอนล่าสุดถูกจุดขึ้นจากเหตุคาร์บอมบ์บนเกาะสมุย จึงอาจกล่าวได้ว่า ณ เวลานี้เนื้อหากำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น มากมายไปด้วยเงื่อนงำอำพรางของเหล่าบรรดานักการเมืองในเครือข่ายอำนาจเก่าๆ ถ้าเป็นละครก็กำลังเข้าด้ายเข้าเข้ม สนุกเร้าใจและน่าติดตามชนิดไม่อยากกระพริบตา
ทว่า ในสายตาของคนที่เฝ้าคิดวิเคราะห์ติดตามความเป็นไปของบ้านเมือง และชื่นชอบการชมละครผ่านสายตามาแล้วหลากหลายเรื่อง ไม่ใช่พวกคอการเมืองขั้นฝึกหัดหรือหน้าใหม่แห่งวงการมายา การได้ดูและติดตามซีรีย์ไฟใต้เรื่องนี้แค่อาทิตย์เดียวก็น่าจะเข้าใจได้ เพราะเป็นเรื่องราวที่ไม่มีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนสักเท่าไหร่ ความขัดแย้งที่ถูกผูกเงื่อนปมไว้ก็เหมือนกับหลายๆ ตอนที่ผ่านมาอย่างแทบไม่มีอะไรแต่ต่าง
ไม่เพียงเท่านั้น ไม่ว่าผู้กำกับการแสดงจะมีที่มาแบบพิเศษหรือมาตามวาระปกติ ต่างก็ชื่นชอบที่จะกำกับให้เป็นไปตามบทที่ถูกเขียนใส่พานไว้ให้แล้วทั้งนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็น่าจะคาดเดาได้ถึงช่วงปิดเรื่องจบตอนได้ไม่ยาก เรื่องราวน่าจะดำเนินไปเหมือนในอดีตที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยรูปการจะเป็นไปในลักษณะมีการออกหมายจับกลุ่มผู้เชื่อว่าเป็นฝ่ายปฏิบัติการ แต่ไม่สามารถสาวไปถึงผู้บ่งการได้ ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นนักการเมืองหรือเครือข่ายอำนาจเก่าก็ตาม จากนั้นก็ปล่อยให้คนดูหรือผู้ชมรอติดตามกันไปเรื่อยๆ แบบไม่เป็นจุดจบ
น่าจะเป็นการจบแบบไร้ไคลแม็ก หรือไม่มีจุดสุดยอดของเรื่องราว ไม่มีหักมุมและภาวะสะเทือนใจอะไร แต่เป็นไปแบบราบเรียบให้หลงรอติดตามกันต่อไป ... เอวัง