คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก
คาร์บอมบ์ที่เกิดขึ้น ณ ลานจอดรถยนต์ของห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อระดับโลกของไทยเมื่อค่ำคืนของวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะช็อกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจจะไม่เชื่อว่าเป็นการปฏิบัติการของ “แนวร่วม” ขบวนการกลุ่มก่อการร้าย หรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
เพราะหลายฝ่ายยังเชื่อว่า “โจรใต้” หรือบรรดา “ดอเลาะ-สาแหละ” ที่เป็นกลุ่มติดอาวุธก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย ยังไม่มีศักยภาพมากพอในการก่อการร้ายนอกพื้นที่ รวมทั้งไม่เชื่อว่า “แกนนำ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่ว่าจะเป็นบีอาร์เอ็นฯ หรือพูโล ต่างก็ยังไม่พร้อม และไม่มีเหตุผลที่จะไปปฏิบัติยังพื้นที่นอกอาณาบริเวณของจังหวัดชายแดนภาคใต้
ดังนั้น เมื่อคาร์บอมบ์เกิดขึ้นในเมืองท่องเที่ยวอย่างเกาะสมุย จึงรู้สึกช็อกไปตามๆ กัน สับสนต่อข่าวที่ได้รับทราบ และไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของแนวร่วมขบวนการก่อการร้าย หรือเป็นฝีมือของโจรใต้ แต่เชื่อที่จะให้น้ำหนักว่าอาจจะเป็นการกระทำของ “กลุ่มการเมือง” ที่เป็นคู่ขัดแย้งทั้งกับคณะผู้กุมอำนาจรัฐ หรือไม่ก็กับกลุ่มการเมืองขั้วตรงข้าม
แต่สำหรับหน่วยงานที่เกาะติดขบวนการก่อการร้ายอย่างยาวนาน รวมทั้งผู้เขียนเองก็ค่อนข้างจะไม่แปลกใจต่อการก่อวินาศกรรมในเมืองท่องเที่ยว หรือเมืองเศรษฐกิจที่อยู่นอกอาณาบริเวณ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะได้เห็นถึง “แผน” และความพยายามในการ “ปฏิบัติการ” มาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
สำหรับบีอาร์เอ็นฯ นั้นได้ประกาศอย่างชัดเจนมาโดยตลอดที่จะโจมตีเมืองเศรษฐกิจหรือเมืองท่องเที่ยวของประเทศไทย และเคยแม้แต่การทำคาร์บอมบ์ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ มาแล้ว ในส่วนของภาคใต้ เป้าหมายของบีอาร์เอ็นฯ ไม่ได้อยู่แค่เทศบาลนครหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพียงอย่างเดียว
แต่หมายรวมถึงเมืองท่องเที่ยวอย่างตรัง กระบี่ ภูเก็ต รวมถึงเกาะสมุย และเกาะพะงันใน จ.สุราฎร์ธานีด้วย
การใช้รถยนต์ที่โจรกรรมมาประกอบเป็นคาร์บอมบ์ เพื่อใช้ในการก่อวินาศกรรมอย่างเช่นที่ใช้กับห้างเซ็นทรัล เฟสติวัลบนเกาะสมุยนั้น หาใช่เป็นการเกิดขึ้นครั้งแรกไม่
เพราะเมื่องกลางปี 2556 แนวร่วมจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ใช้รถยนต์ที่โจรกรรมจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปประกอบเป็นคาร์บอมบ์แล้วนำไปก่อวินาศกรรมในพื้นที่ จ.ภูเก็ต มาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของการปฏิบัติการนอกเขตอาณาบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้
เพียงแต่โชคดีของชาว จ.ภูเก็ต ที่ได้บารมีของ “หลวงพ่อแช่ม” คุ้มครอง ทำให้การจุดชนวนของคนร้ายไม่ประสบผล ระเบิดไม่ทำงาน และตำรวจภูเก็ต ได้ทำการลากรถยนต์คันดังกล่าวไปเก็บไว้หลังโรงพัก โดยที่ไม่ได้สำเหนียกว่าเป็นรถที่ประกอบเป็นคาร์บอมบ์ ต่อมาอีกหลายวันจึงตรวจพบว่า แท้จริงรถที่ลากไปไว้หลังโรงพักเป็นคาร์บอมบ์
ถ้าเป็นที่ประเทศอื่นๆ ข่าวคาร์บอมบ์บนเกาะภูเก็ตครั้งนั้นอาจจะเป็นข่าวใหญ่ และผู้บริหารประเทศต้องสอบสวนเพื่อหาคนผิด หาสาเหตุของการก่อวินาศกรรมให้ได้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องสร้างความกระจ่างว่าสาเหตุการก่อวินาศกรรมบนเกาะภูเก็ต มาจากเหตุผลอะไร
เป็นการขยายพื้นที่ก่อการร้ายของขบวนการแบ่งแยกดินแดนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเป็นการ “ว่าจ้าง” ของใครบางคน หรือบางกลุ่มเพื่อแก้แค้น หรือเพื่อสร้างสถานการณ์
แต่ปรากฏว่า คาร์บอมบ์ที่พบที่ จ.ภูเก็ต เรื่องราวจบแบบห้วนๆ ซึ่งไม่มีรายละเอียดทั้งของกลุ่มคนร้าย และสาเหตุของการก่อเหตุร้าย ทั้งหมดเหมือนกับการหายไปของ “ไหมสวรรค์ ในปากของเด็กน้อย”
เช่นเดียวกับปฏิบัติการคาร์บอมบ์ที่ข้างโรงแรมใหญ่ที่บ้านด่านนอก ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2556 ที่สุดท้ายมีการออกหมายจับแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ใน อ.เทพาอย่าง “นายรุสลัน ใบหมะ” และพวก โดยที่มีความพยายามที่จะบอกว่า สาเหตุของคาร์บอมบ์ที่ข้างโรงแรมใหญ่ และจักรยานยนต์บอมบ์ที่หน้า สภ.สะเดา และหน้า สภ.ปาดังเบซาร์ เป็นการ “จ้างวาน” จากกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนที่ขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่รัฐ
ทว่า กลับไม่มีการสืบสวนสอบสวนเพื่อเอาผิดต่อกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่แต่อย่างใด ทั้งที่ถ้าเป็นความจริงว่าคาร์บอมบ์ และจักรยานยนต์บอมบ์ทั้ง 3 จุดในวันเวลาเดียวกันเป็นเรื่องของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน เจ้าหน้าที่ก็ต้องจับกุมให้ได้ เพราะประเทศนี้จะปล่อยให้พ่อค้าของเถื่อนใหญ่กว่ากฎหมายบ้านเมือง จนสามารถสั่งบอมบ์โรงแรม และโรงพักได้โดยที่เอาผิดนั้นไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นประเทศนี้ก็ไม่ควรที่จะมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อชูคำขวัญ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุขราษฎร” อีกต่อไป
จึงเป็นสิ่งที่น่าสังเกตว่า เหตุการณ์ระเบิดที่ อ.สะเดา จ.สงขลา และเหตุการณ์ระเบิดแต่ไม่ระเบิดที่ จ.ภูเก็ต เป็นเรื่องการขยายพื้นที่เพื่อปฏิบัติการต่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจของขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือขบวนการก่อการร้าย เพียงแต่รัฐบาลในขณะนั้นต้องการที่จะ “ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ” ไม่ต้องการให้สังคมรับรู้ว่า เป็นการกระทำของขบวนการก่อการร้าย เพื่อขยายการโจมตีพื้นที่เศรษฐกิจที่อยู่นอกอาณาบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้
สำหรับคาร์บอมบ์ที่เซ็นทรัล เฟสติวัล บนเกาะสมุยนั้น การสืบสวนในทางลึกพบว่า เป็นการปฏิบัติการของ 3 ทีมใหญ่ที่มีประวัติในการก่อการร้ายในพื้นที่ 4 จังหวัดมาแล้ว คือ ปฏิบัติการคาร์บอมบ์ที่โรงแรมลีการ์เดนส์ หาดใหญ่ เมื่อปี 2555 ปฏิบัติการคาร์บอมบ์ที่ข้างโรงแรมใน อ.สะเดา เมื่อปลายปี 2556 การลอบวางระเบิดที่หน้าโรงแรม อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อปี 2557 อีกทั้งยังเกี่ยวโยงกับคดีการปล้นชิงรถยนต์เพื่อใช้ประกอบคาร์บอมบ์อีกหลายคดี
โดยมีการไฟกัสไปที่ตัวบุคคลว่าเป็นปฏิบัติการของกลุ่ม “นายอูไบดีละ รอมลี” กับกลุ่ม “นายอาบัส เจ๊ะอาลี” ซึ่งเป็นกลุ่มปฏิบัติการในพื้นที่ จ.ยะลา กลุ่มของ “นายปอเซ็ง เจ๊ะมะ” ซึ่งปฏิบัติการในพื้นที่ จ.ปัตตานี และกลุ่มของ “นายเสรี แวมามะ” และกลุ่ม “นายรุสลัน ใบหมะ” ซึ่งปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลา
แม้ว่าจะยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า คาร์บอมบ์ที่เกิดขึ้นที่ห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล อ.เกาะสมุย คือการขยายเขตปฏิบัติการของขบวนการจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปยังจังหวัดอื่นๆ ที่เป็นเมือง เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว โดยยังมีการตั้งประเด็นเรื่องของการ “จ้างวานจากผู้ที่ขัดแย้ง” กับห้างเซ็นทรัล เฟสติวัลรวมไว้ด้วย
ซึ่งในมุมของผู้เขียนเห็นว่า ประเด็นหลังนี้มีน้ำหนักที่น้อยมาก เพราะคู่แข่งทางธุรกิจของเซ็นทรัลที่ไปลงทุนบนเกาะสมุย คงจะไม่เลือกวิธีการว่าจ้างให้โจรใต้วางแผนปล้นรถจาก อบต.ละแอ อ.ยะหา จ.ยะลา ไปก่อวินาศกรรมถึงเกาะสมุย เพราะดูแล้วไม่สมเหตุสมผล
เช่นเดียวกับประเด็น รปภ.ของห้างเซ็นทรัลที่ถูกให้ออกจากงาน เขาโกรธน่ะโกรธแน่ที่ถูกให้ออกจากงานในยุคที่เงินฟุบ แต่ รปภ.น่าจะไม่มีปัญญาในการที่จะจ้างวานให้กลุ่มโจรใต้ที่อย่างน้อยที่สุดต้องใช้คนในขบวนการไม่ต่ำกว่า 10 คน เพื่อไปทำคาร์บอมบ์เป็นการแก้แค้น ซึ่งต้องใช้เงินเป็นค่าจ้างไม่น้อย และผู้ปฏิบัติการยังเสี่ยงในการขับรถที่ประกอบเป็นคาร์บอมบ์จาก อ.ยะหา จ.ยะลา จนถึง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี รวมแล้วกว่า 600 กิโลเมตร แบบที่ต้องลงทุนข้ามน้ำข้ามทะเลกันอีกด้วย
มีสิ่งหนึ่งที่สังคมควรต้องรับรู้คือ คนที่ขับรถยนต์ที่ประกอบเป็นคาร์บอมบ์ หรือขี่จักรยานยนต์บอมบ์ หรือการหิ้วระเบิดแสวงเครื่องเพื่อไปวางไว้ในเป้าหมายที่ถูกกำหนดให้นั้น ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ “ใจใหญ่กว่าตับ” ซึ่งคนธรรมดาที่ไม่มีความมุ่งมั่น หรือความคับแค้นไม่กล้าทำแน่ๆ
สำหรับประเด็นที่เหลือคือ เรื่องของ “การเมือง” ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนให้แก่รัฐบาล ซึ่งหากเป็นเรื่องการเมืองอย่างที่คนของรัฐออกมาให้ข่าวในส่วนกลาง ย่อมต้องเกี่ยวพันกับกลุ่ม “การเมืองเสื้อแดง” ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจากการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของคนการเมือง และกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับตั้งแต่ประเทศนี้มีองค์รัฎฐาธิปัตย์เป็นคณะนายทหาร
หน่วยข่าวกรอง หน่วยข่าวความมั่นคง และอื่นๆ ต่างก็ยังไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองเหล่านั้น สิ่งที่พบคือ การเตรียมพร้อมรับกับการเลือกตั้งตามโรดแมปของท่านผู้นำต่างหาก
รวมทั้งน่าจะไม่คุ้มต่อการที่จะใช้แนวร่วมที่เป็นโจรใต้ในการไปทำคาร์บอมบ์ถึงที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นถิ่นของ “หลวงลุงกำนันสุเทพ” เพราะสุดท้ายแล้วด้วยวิธีการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ และทหารที่ต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อคลี่คลายคดีนี้ให้ได้นั้น ถ้ามีการจ้างวานจากกลุ่มการเมืองจริง ผู้ว้าจ้างต้องไม่มีที่อยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
ที่น่าสงสัยยิ่งคือ ถ้าเป็นกลุ่มการเมือง หรือเป็นเรื่องของ “กลุ่มอำนาจเก่า” ทำไม่เป้าหมายต้องเป็นที่ห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล บนเกาะสมุย เพราะไม่ว่าจะปฏิบัติการคาร์บอมบ์ตรงไหน ผลที่ออกมาน่าจะเท่าๆ กัน
แต่ทุกประเด็นที่ตั้งมาก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะเรื่องของความแค้น เรื่องของความขัดแย้งทางธุรกิจ และเรื่องของการเมือง บางครั้งอาจจะอยู่นอกเหนือความเชื่อ และนอกเหนือความเข้าใจ ดังนั้น การที่ตำรวจได้ตั้งทุกประเด็นเพื่อหาข้อเท็จจริง จึงเป็นเรื่องของความรอบคอบที่ต้องชื่นชม
เพียงแต่ผู้เขียนไม่ต้องการให้มีการทิ้งประเด็นการขยายพื้นที่ก่อความไม่สงบของขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปยังพื้นที่อื่นๆ ของภาคใต้ เพราะต้องการให้มี “ข้อมูล” ที่ถูกต้อง และชัดเจนของชุดความจริงของปฏิบัติการที่เกิดขึ้นที่เกาะสมุย
เพราะหากเป็นความจริงว่า คาร์บอมบ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะสมุยเป็นเรื่องของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ต้องการทำลายล้างพื้นที่เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว นโยบายการป้องกัน และใช้รับมือต่อขบวนการอาจจะต้องมีการ “ขบคิดกันใหม่” และต้องมีการ “ประเมินฝ่ายตรงข้าม” กันใหม่อีกครั้งด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้น และในวันนี้ทุกฝ่ายต้องยอมรับในเบื้องแรกคือ “ผู้ปฏิบัติการ” ตั้งแต่เริ่มต้นปล้นชิงรถยนต์ จนถึงการดัดแปลง และการประกอบระเบิด อีกทั้งขับรถยนต์ไปก่อเหตุคาร์บอมบ์ ผู้ที่เป็นเป็นคนร้ายคือ “แนวร่วม” ขบวนการโจรก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แน่นอน
ประเด็นที่สำคัญคือ หน่วยงานในพื้นที่จะดำเนินการในการป้องกันอย่างไร จึงจะไม่เกิดขึ้นอีก หรือหลังเกิดเหตุมีการสกัดกั้น มีการจับกุมทั้งคนร้าย และยานพาหนะได้ก่อนที่จะถูกนำไปก่อเหตุให้เกิดความสูญเสียขึ้น
อีกประเด็นที่จะต้องทำความจริงให้ปรากฏ จึงมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือ มีการ “ว่าจ้างจากใคร” หรือเป็นการปฏิบัติการตามคำสั่งของแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน
และนี่คือความสามารถของตำรวจ และทหารที่จะต้องคลี่คลายปมปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งประชาชนทั้งประเทศต้องการรับรู้ และรอดูกิ๋นของเหล่าเสนาบดีทั้งหลายอยู่
หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายด้วยความจริง โดยไม่มีการ “ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ” อย่างที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งกับปัญหาของจังหวัดชายแดนภาคใต้