ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -น้ำใจจากเพื่อนแท้มิตรเก่าแก่ยามยากจากรัสเซียที่มาถูกจังหวะเวลาและสถานการณ์ สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะห้วงเวลาที่ผู้นำของไทย กำลังถูกมหาอำนาจจากชาติตะวันตกหมางเมินด้วยการตั้งแง่ว่ามาจากรัฐประหารและไม่เป็นประชาธิปไตย
การต้อนรับขับสู้คณะผู้นำรัสเซียที่มาเยือนไทยอย่างชื่นมื่นเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2558 ที่ผ่านมา ทางหนึ่งจึงเป็นการส่งสัญญาณตอบโต้จากคณะผู้นำของไทยไปยังสหรัฐอเมริกาแบบไม่อ้อมค้อมว่าหากชาติตะวันตกยิ่งกดดันไทย ก็ยิ่งเท่ากับผลักไสให้ไทยต้องหันไปหาอีกขั้วอำนาจหนึ่งของโลกคือ จีนและรัสเซีย มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่สหรัฐอเมริกาคงไม่ปลื้มเท่าใดนัก เพราะการหวนคืนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ รอบใหม่นี้ ก็อยากให้ไทยทำตัวเป็นลูกไล่ที่ดีอย่างที่เคยเป็นมา
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผู้นำของไทยได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของหมีขาว พร้อมกับปลอบประโลมจิตใจของตัวเองว่ายามยากลำบากก็ยังมีมิตรแท้ยามยากที่ไม่ทอดทิ้งกันนั้น รัสเซียกลับสามารถฉกฉวยโอกาสเปิดแนวรบด้านค้าขายอาวุธยุทโธปกรณ์ สร้างประโยชน์ที่เป็นเม็ดเงินจับต้องได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เมื่อเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการมาเยือนของรัสเซียครั้งนี้
สำหรับคนที่มองโลกในแง่ดีก็อาจเห็นว่านี่เป็นการนำร่องที่มาถูกทางแล้ว และต่อไปช่องทางการค้าการลงทุนระหว่างสองชาติที่เปิดกว้างขึ้นจะทำให้ไทยได้ประโยชน์มากขึ้นในวันข้างหน้า แต่สำหรับคนที่มองโลกตามความเป็นจริง ก็จะเห็นกรณีที่ไทยหันไปซบอกอุ่นของจีนว่าถึงที่สุดแล้ว ภายใต้ความสัมพันธ์อันหวานชื่นนั้น จีนมีแต่จะเอาแต่ได้ อย่างเช่นการเจรจาปล่อยกู้รถไฟทางคู่ที่จีนตั้งท่าโขกดอกเบี้ยเสียจนบัดนี้ยังปิดดีลไม่ลง
ในการแถลงข่าวร่วมกันของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายดมิทรี เมดเวเดฟ นายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา ภายหลังการลงนามความตกลงทวิภาคีระหว่างไทยและรัสเซีย 5 ฉบับ
พล.อ.ประยุทธ์ ได้แสดงความยินดีในการมาเยือนของนายกรัฐมนตรีรัสเซียในฐานะแขกของรัฐบาล ถือเป็นการเยือนครั้งแรกในรอบ 25 ปี และในปี 2560 จะครบรอบ 120 ปี ความสัมพันธ์ไทยและรัสเซีย ซึ่งทั้งสองชาติจะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นบนพื้นฐานผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดยไทยจะผลักดันการค้าระหว่างกันให้โตยิ่งขึ้นจากเดิมมูลค่าการค้าอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งเป้าเพิ่มเป็นหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีหน้า โดยเชิญชวนให้รัสเซียนำเข้าข้าว ยางพารา อาหารแช่แข็ง และสินค้าเกษตรอื่นๆ รวมทั้งเข้าร่วมประมูลโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบลอจีสติกส์ของไทย
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการลงทุนผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอาหารที่ผู้ประกอบการไทยสนใจเข้าไปลงทุนในรัสเซีย และยังเห็นพ้องในการสานต่อความร่วมมือด้านพลังงาน ปิโตรเคมี และการท่องเที่ยว ซึ่งปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวรัสเซีย เดินทางมาไทยถึง 1.7 ล้านคน รวมทั้งความร่วมมือพัฒนาด้านวิจัยและวิทยาศาสตร์
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ขอให้นายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย นำคำเชิญไปยังนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ให้เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเพื่อสานต่อความสัมพันธ์ให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
“คำว่าเพื่อนสำคัญที่สุด เมื่อเพื่อนมีปัญหาก็ต้องการแรงใจ แรงหนุนจากเพื่อน วันนี้รัสเซียให้ความเป็นเพื่อน ผมก็จะรักษามิตรภาพนี้ไว้ ขอขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เข้าใจ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว และนี่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญทางการเมืองระหว่างประเทศ ที่ผู้นำของไทยต้องการแสดงต่อสายตาชาวโลกมากกว่าเรื่องอื่นใด
ขณะที่นายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐรัสเซีย ก็หยอดคำหวานตอบรับว่าไทยเป็นประเทศหุ้นส่วนที่เก่าที่สุดของรัสเซียในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจะเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างรัสเซียกับไทยถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราการเจริญเติบโตร้อยละ 20 ในปีนี้ พร้อมกับบอกว่าเมื่อเดือน ก.ย.ปีที่ผ่านมา ไทยกับรัสเซียได้ร่วมลงนามสัญญาซื้อขายเครื่องบิน 2 ลำ ขณะนี้รอการส่งมอบ
ในการพบปะคราวนี้ นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศ ยังร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงการจัดทำบันทึกความเข้าใจจำนวน 5 ฉบับ ประกอบด้วย 1.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงาน 2.แผนการดำเนินกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับรัสเซีย ค.ศ.2015-2017 3.บันทึกความเข้าใจด้านวัฒนธรรม 4. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติด และ 5.บันทึกความเข้าใจด้านการลงทุน รวมทั้งยังมีความตกลงระหว่างภาคเอกชนไทยกับรัสเซียอีก 5 ฉบับ
การเจรจาด้านการค้าระหว่างไทยกับรัสเซียครั้งนี้ ได้รับการขยายความจากการเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ที่กรุงเทพฯ ของรัฐมนตรีพาณิชย์ของรัสเซีย “เราคิดถึงผลประโยชน์ของฝ่ายไทยในการซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหาร” .... “เพื่อนของเราจากฝั่งตะวันตกของโลกกำลังละเลยไทย” เดนิส มันตูรอฟ รัฐมนตรีพาณิชย์ของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์ และยังระบุว่า มีการเจรจาค้าขายด้านกลาโหมซึ่งพุ่งเป้าไปที่เครื่องบินทหาร ด้านการรถไฟและการบริการต่างๆ
ในส่วนของเครื่องบินทหาร รัฐมนตรีพาณิชย์ของรัสเซีย บอกว่า กองทัพอากาศไทย จะได้รับการส่งมอบเครื่องบินโดยสารซูคอย ซูเปอร์เจ็ท ลำแรกจากทั้งหมด 3 ลำในช่วงปลายปี 2016 หรือไม่ก็ต้นปี 2017
สำหรับไทย รัสเซียจะซื้อยางจากไทยอย่างน้อย 80,000 ตันในปี 2016 มากกว่าแผนที่จะซื้อในปี 2015 ถึง 4 เท่า โดยจะเป็นการซื้อผ่านบริษัทรอสเทค รัฐวิสาหกิจด้านกลาโหมของประเทศเพื่อนำไปผลิตยางรถยนต์ต่อไป ทั้งนี้ รอสเทค ถือหุ้นบางส่วนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของรัสเซียและเป็นพันธมิตรกับบริษัทต่างชาติในด้านผลิตอาวุธ รถยนต์และเหล็ก
นอกจากการต้อนรับคณะผู้นำรัสเซียแล้ว ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันอีกทางหนึ่ง คือ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังได้ส่งคณะผู้แทนระดับสูง นำโดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม และพลเอก อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก เดินทางไปเยือนจีนในวันที่ 8 เม.ย. 2558 เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างกันอีกด้วย
ปฏิบัติการซบอกอุ่นจีน-รัสเซีย ที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ งัดออกมาสู้ศึกชาติมหาอำนาจตะวันตก สหรัฐฯ และยุโรป ปิดล้อมไทย จะได้ผลดังหวังหรือไม่ ต้องรอดูว่าชาติตะวันตกจะบีบหรือคลายความขุ่นข้องหมองใจต่อคณะผู้นำของไทยในอีกไม่ช้านี้