xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เขายายเที่ยงโมเดล” ทางลง “โบนันซ่า” รุกที่หลวง?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ปฏิบัติการล้อมปราบผู้มีอิทธิพลรุกป่ายึดที่หลวงจะว่าไปแล้วเป็นเหมือนละครพีเรียดที่สุดคลาสสิกคู่สังคมไทย เพราะไม่ว่าสีไหน กลุ่มไหน ขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินล้วนต่างใช้อิทธิพลเข้ายึดครองพื้นที่ทำเลทองเป็นของส่วนตัวแทบไม่มียกเว้น ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กสีเขียวที่เกิดกรณีเขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา หรือกรณีขาใหญ่แห่งพรรคสีฟ้าที่มีข้อหาเรื่องบุกรุกที่เขาแพง อ.สมุย จ.สุราษฎร์ธานี มาถึงท่อน้ำเสียงเสื้อแดง อาณาจักรโบนันซ่า เขาใหญ่ คราวนี้ ก็เฉก เช่นเดียวกัน

แม้กระทั่ง “นักกฎหมาย” ที่ปรึกษาของนายทหารใหญ่ในเวลานี้ ก็มีข้อมูลว่า บุกรุกที่ดินย่าน “วังน้ำเขียว” เหมือนกัน

ข้อหาบุกรุกที่หลวงของผู้มีอิทธิพลจึงขึ้นอยู่กับว่าใครใหญ่ ใครอยู่ และ ณ กาลเวลานั้น ใครคือเป้าหมาย

แน่นอน ในยามที่พรรคเพื่อไทย เรืองอำนาจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้อธิบดีที่ชื่อ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็เอาจริงเอาจังสั่งฟ้องนายแทน เทือกสุบรรณ ลูกชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และพวก ข้อหาบุกรุกที่สาธารณะในพื้นที่เทือกเขาแพงหมู่ 6 ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี รวมจำนวน 45 ไร่

แต่ในเวลาถัดมา เมื่อสถานะของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ง่อนแง่น รีสอร์ตของนายธาริต เองก็เจอตรวจสอบและถูกแจ้งข้อหาบุกรุกออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบในนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อต้นปี 2557

แน่นอน ในยามที่กลุ่มคนเสื้อแดงฮึกเหิมก็ไล่ต้อนบิ๊กสีเขียว โดยยกกรณีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี รุกที่ป่าสงวนเขายายเที่ยง ขึ้นมางัดพล.อ.สุรยุทธ์ ลงจากตำแหน่ง ซึ่งต่อมาคดีจบลงโดยศาลมีคำสั่งรื้อถอนบ้านพักของพล.อ.สุรยุทธ์ เมื่อปลายปี 2552 แต่ไม่ได้ดำเนินคดีกับผู้บุกรุกแต่อย่างใด เนื่องจากอัยการ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเพราะขาดเจตนากระทำความผิด

แน่นอน ในยามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องการสยบความเคลื่อนไหวทั้งใต้ดินและบนดินของเครือข่ายอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีแต่ต้องใช้บ่วงคล้องคอบุคคลสำคัญในเครือข่ายพร้อมกระตุกเชือกทันทีหากมีการแข็งขืน หรือเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบ

ด้วยเหตุฉะนี้ นอกเหนือจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพวก จะถูกสั่งฟ้องคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวแล้ว กลุ่มท่อน้ำเลี้ยงคนเสื้อแดงที่มีเจ้าพ่อโบนันซ่า อยู่ในรายชื่อด้วยนั้น ก็ ย่อมต้องไม่ได้รับการปล่อยปละละเว้น เฉกเช่นเดียวกันกับบิ๊กแลนด์แอนด์เฮาส์ ที่อยู่ในข่ายเกี่ยวข้องในคดียักยอกทรัพย์สหกรณ์คลองจั่น ศิษย์เอกธรรมกาย ที่ตกเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้

แต่ไม่ว่าแรงจูงใจในการจัดการกับเจ้าพ่อโบนันซ่าเวลานี้ จะมาจากสาเหตุใดก็ตาม ความจริงก็คือความจริงที่ว่าโบนันซ่ารุกป่าสงวนแห่งชาติและที่ดิน ส.ป.ก. ซึ่งจากการตรวจสอบของ พ.อ.สมหมาย บุษบา ที่ปรึกษากฎหมาย กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า โบนันซ่าเขาใหญ่ ในส่วนที่ตั้งสนามแข่งรถ ประมาณ 151 ไร่ มีปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดิน แบ่งเป็นพื้นที่ที่บุกรุกที่ สปก. 71 ไร่ พื้นที่ที่ได้น.ส.3 ก. โดยมิชอบ 55 ไร่ ที่เหลือเป็นป่าสงวน อีกทั้งในส่วนที่พักยังติดพื้นที่ป่าถาวร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิครอบครองใดๆ อีกด้วย

นายมนศักดิ์ อารักษ์ ที่ดินจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า จากการลงสำรวจตรวจสอบพื้นที่สนามแข่งรถอินเตอร์เนชั่นแนล โบนันซ่า สปีดเวย์ ซึ่งเป็นโครงการของนายไพวงษ์ เตชะณรงค์ นักการเมืองและนักธุรกิจชื่อดัง สรุปผลเบื้องต้นว่า หนังสือรับรองทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 925,926,927,928 และ 930 รวม 5 แปลง ใน ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง เนื้อที่ 55-3-55 ไร่ นั้น อยู่ในป่าสงวนแห่งชาติและออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ

ทั้งนี้ รายงานจากการตรวจสอบ ระบุว่า จากแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิ์และพิสูจน์การทำประโยชน์ โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศขณะทำการเดินสำรวจที่ดินทั้ง 5 แปลงดังกล่าว ไม่เป็นที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่เขา ที่ภูเขา หรือที่สงวนหวงห้าม หรือที่ทางราชการหวงห้ามไว้ เพื่อเป็นทรัพยากรธรรมชาติ ไม่มีผู้คัดค้านได้ออก น.ส.3 ก. เมื่อวันที่ 6 ส.ค.2519 ได้สอบสวนระวางแผนที่รูปถ่ายทางอากาศ ชื่อ อ.ปากช่อง หมายเลข 4238II แผนที่ 126 และระวางแผนที่ UTM ระวาง 5238II6012, 6014, 6214 ซึ่งระวางดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเสียดอ้า ป่าเขานกยูง ป่าเขาอ่างหิน และป่าโครงการรถไฟมวกเหล็ก-สีคิ้ว ป่าสงวนทั้ง 2 ป่าทับซ้อนกัน ฉะนั้นชัดเจนว่าพื้นที่สนามแข่งรถทั้งหมดของโบนันซ่าอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติฯ และเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. ที่มีอยู่ออกโดยมิชอบ

เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ที่ดินจังหวัดนครราชสีมา จึงได้สั่งการให้กลุ่มงานวิชาการสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา สาขาปากช่อง ทำการสำรวจว่าเอกสารสิทธิดังกล่าวได้มาเมื่อไหร่ จากหลักฐานใด อย่างไร และออกก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่ หากได้มาหลังประกาศเขตป่าสงวนฯ ก็ต้องทำการเพิกถอน จากนั้นจะนำเรื่องทั้งหมดเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ลงความเห็นในการเพิกถอนและเสนอกรมที่ดิน ตั้งกรรมการในการเพิกถอนต่อไป คาดว่ากระบวนการดำเนินการจะแล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย. 2558 นี้แน่นอน

ไม่เพียงเท่านี้ นายมนศักดิ์ ยังบอกว่า หากมีการชี้จุดให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม ทางที่ดินก็พร้อมที่จะเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบในรัศมี 1 กม.จากบริเวณสนามแข่งรถพบว่าอีกหลายแปลงที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติด้วย

ขณะเดียวกัน สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) โดยนายสรรเสริญ อัจจุตมานัส เลขาธิการ ส.ป.ก. ได้สรุปผลการเข้าตรวสอบพื้นที่จริง ร่วมกับกองทัพภาคที่ 2 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าพื้นที่สนามแข่งรถของรีสอร์ตโบนันซ่าสร้างขยายคร่อมพื้นที่ 3 หน่วยงาน โดยมีการบุกรุกพื้นที่ ส.ป.ก.จำนวน 71 ไร่ จึงสั่งให้ ส.ป.ก.นครราชสีมา แจ้งความทางอาญาต่อผู้บริหารรีสอร์ตโบนันซ่าในข้อหาบุกรุก เพื่อฟ้องขับไล่ยึดคืนพื้นที่ และฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายที่เข้าทำลายทรัพย์สินของราชการ ตามกฎหมาย ส.ป.ก.

“พื้นที่ ส.ป.ก.ที่อยู่ในส่วนขยายของสนามแข่งรถ เป็นพื้นที่หนึ่งในสามของพื้นที่ทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าไม้ โดยทางเจ้าของรีสอร์ตอ้างมาตลอดว่ามีเอกสาร น.ส.3 และ ส.ค.1 แต่เบื้องต้นพบว่ามีการออกโฉนดโดยมิชอบ แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้นครราชสีมา ปล่อยปละละเลยมาหลายปี แม้มีอำนาจจับกุมโดยทันที เช่น กรณี ส.ค.บิน พอ คสช. มีนโยบายมาก็เพิ่งจะเร่งทำ" เลขาธิการ ส.ป.ก.ทิ่มแทงพวกเดียวกันเข้าให้ดอกหนึ่ง

เรียกได้ว่าทำท่าขึงขังกันทั้งกรมที่ดินและส.ป.ก.ทั้งจะฟ้องร้องอาญา ขับไล่ รื้อถอน เรียกค่าเสียหาย แต่กระนั้นอย่าลืมว่า เจ้าพ่อโบนันซ่า หาใช่ขี้ไก่ที่ใครจะคิดทำอะไรก็ลงมือเช็ดล้างได้โดยง่าย ไม่เช่นนั้นคงไม่อยู่ยั้งยืนยงมาจนบัดนี้ ทั้งที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอาณาจักรโบนันซ่า สุ่มเสี่ยงในการตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอย่างยิ่งและความจริงก็เปิดเผยให้เห็นแจ่มแจ้งแล้ว

อย่างไรก็ตาม เจ้าพ่อโบนันซ่าซึ่งรู้ทิศทางลมการเมืองเป็นอย่างดี จึงแสดงท่าทียอมรับชะตากรรมต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่มีท่าทีแข็งขืน พร้อมคืน พร้อมให้ปรับ มิหนำซ้ำยังแสดงถึง ความกว้างขวางว่าชอบพอทุกสีทุกกลุ่ม

หลังจากนั้น อีกไม่กี่วันต่อมา ก็มองเห็นการส่งสัญญาณหาทางลงให้กับเจ้าพ่อโบนันซ่า อย่างเนียนๆ จากหน่วยงานที่รับผิดชอบอย่างส.ป.ก. และดูแล้วคงไม่แตกต่างไปจากกรณี “เขายายเที่ยงโมเดล” เท่าใดนัก

จากท่าทีขึงขังจะฟ้องขับไล่ ไปๆ มาๆ ก็มีกระแสข่าวจาก ส.ป.ก. ว่า อาจจะแค่เชิญมาเจรจาหารือขอให้ออกจากพื้นที่แต่โดยดีเพื่อจะไม่ต้องส่งเรื่องไปให้อัยการฟ้องขับไล่

ส่วนการชดใช้ค่าเสียหายและทำให้ที่ดินกลับคืนสู่สภาพเดิมนั้น ไม่ว่าจะให้หลักเกณฑ์ใดมาเรียกค่าเสียหาย ก็คงไม่ทำให้ขนหน้าแข็งเจ้าพ่อโบนันซ่าร่วง และไม่มีปัญหาที่จะทำตามข้อเรียกร้องของหน่วยงานรัฐอยู่แล้ว เพื่อแลกกับให้เรื่องเงียบหายไป เป็นบทสรุปตอนจบเช่นเดียวกับหลายๆ กรณีที่ผ่านมาที่เรื่องราวค่อยๆ สร่างซาไป รอจนกระทั่งผู้มีอำนาจต้องการคล้องบ่วงรัดคออีกครั้ง ข่าวครึกโครมผู้มีอิทธิพลบุกรุกป่าสงวนจึงจะโด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง

อาจจะด้วยเหตุฉะนี้หรือไม่ ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้นมา หน่วยงานที่รับผิดชอบจึงมักออมแรงไม่ลงมือจัดการกับผู้มีอิทธิพลบุกรุกที่หลวงอย่างเด็ดขาด และที่ผ่านมานับจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ คิกออฟปฏิบัติการยึดคืน ส.ป.ก. 5 ล้านไร่ เพื่อนำมาแจกให้เกษตรกร โดยขีดเส้นให้เสร็จภายใน 3-6 เดือน ตั้งแต่การเรียกประชุมคณะกรรมการครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2557 รวมถึงการตรวจสอบ ส.ป.ก.ที่จัดสรรไปแล้ว 36 ล้านไร่ หากพบการนำที่ดินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือผู้ถือครองไม่มีคุณสมบัติให้เพิกถอนมาจัดสรรใหม่ แต่ถึงวันนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่สามารถมอบของขวัญชิ้นนี้ให้แก่เกษตรกรแต่อย่างใด

สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรโบนันซ่า วังน้ำเขียว เขาแพง เขายายเที่ยง ฯลฯ ที่สุดแล้วก็คงจบแบบลูบหน้าปะจมูก ก็เท่านั้น นั่นเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมคาดหมายจากที่เคยได้รับรู้และสัมผัสมาตลอด

แต่ขณะที่บางหน่วยงานกำลังหาทางลงให้กับโบนันซ่า สถานการณ์กลับพลิกผัน

คราวนี้ บทสุดท้ายอาจไม่ได้เป็นอย่างที่แล้วมาก็เป็นได้ เพราะทันทีที่มีกระแสข่าวว่าอาจจะมีการหาทางลงให้เรื่องนี้จบแบบเคยๆ ทาง คสช. ก็ออกคำสั่งในวันที่ 8 เม.ย. 2558 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประชาชนโดยส่วนรวม

คำสั่งดังกล่าว มีเนื้อความสาระสำคัญว่า ปัจจุบันยังคงมีการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ และประชาชนโดยส่วนรวมเป็นจํานวนมาก และการบังคับใช้กฎหมายยังเป็นไปอย่างไม่เคร่งครัดและไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ส่งผลให้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศ และก่อให้เกิดปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย เช่น การบุกรุกที่สาธารณะ ป่าสงวนแห่งชาติอุทยานแห่งชาติ การใช้ประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะกีดขวางทางจราจร จึงกําหนดมาตรการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคสช.โดยความเห็นชอบของคสช. จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้

หนึ่ง กรณีมีความจำเป็นเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะและประชาชนเป็นไปอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายอาจขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารโดยแจ้งความประสงค์ไปยังรมว.กลาโหม เพื่อมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารไปปฏิบัติการตามคำขอ

และในกรณีที่เห็นสมควร รมว.กลาโหม อาจขอให้หัวหน้าคสช. มีคําสั่งมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอํานาจหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งหรือหลายฉบับ เพื่อประโยชน์ในการบังคับใช้กฎหมายนั้นให้เป็นไปอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ

สอง ในการปฏิบัติการตามข้อหนึ่ง ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่ได้รับมอบหมายมีอํานาจหน้าที่เช่นเดียวกับเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนั้น รวมทั้งให้เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

สาม ให้เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายนั้น ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนตามกฎหมายนั้นๆ โดยเคร่งครัด และให้ดําเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการตามคําสั่งนี้ หากขัดขืนหรือไม่ให้ความร่วมมือจนก่อให้เกิดความเสียหายในการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําความผิดวินัยร้ายแรง

นั่นหมายความว่า ทหารมีอำนาจเต็มในการเข้าสอบสวนคดีเช่นเดียวกับเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หากมีผู้ใดขัดขืนหรือไม่ให้ความร่วมมือเป็นเจอดีแน่

เตรียมหวดกันแรงๆ ขนาดนี้ ก็ต้องติดตามดูว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้จะยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่อีกไหม และอำนาจตามมาตรา 44 ที่นำมาใช้ในเรื่องนี้จะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ โปรดติดตามด้วยใจระทึก




กำลังโหลดความคิดเห็น