“กลุ่มสุทธิชัย หยุ่น”ใช้บริการล็อบบี้ยิสต์ดีลหุ้นตัวพ่อ ดึง“คีรี กาญจนพาสน์”เจรจาขอซื้อหุ้นเนชั่นฯคืนจากกลุ่ม“โซลูชั่น คอนเนอร์” เผยให้ราคาสูงลิ่ว หวังรักษาสถานะให้ตัวเอง หลังแพ้ทุกสนามรบ ด้วยข้อเสนอให้เจ้าพ่อรถไฟฟ้านั่งประธานบอร์ดบริษัท เปิด2ผู้ดีลสำคัญซื้อหุ้นคืนคนสนิท “เสริมสิน”
มีการคาดการณ์ว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้น บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (NMG) วันที่29 เมษายนนี้ น่าจะทำให้กรณีพิพาทในเรื่องการแย่งชิงอำนาจบริหารมีบทสรุปออกมา หลังจากยืดเยื้อมานานตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน จากการพยายามรั้งอำนาจบริหารของกลุ่มผู้บริหารเดิมที่นำทีมโดยผู้ก่อตั้ง “สุทธิชัย หยุ่น” และพันธมิตรอย่าง “เสริมสิน สมะลาภา” กับกลุ่ม บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1996) จำกัด (บมจ.) หรือ SLC ผู้ถือหุ้นใหญ่ สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น ที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมบริหาร NMG ตามสิทธิในการถือหุ้น
ความพยายามพิทักษ์สิทธิ์ เพื่อปกป้องเก้าอี้บริหารเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารชุดปัจจุบันเดินเกมส์ในทุกรูปแบบ ทั้งการยื่นหนังสือคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชน และเทคโนโลยีสารสนเทศ (สปช.) ,การร้องเรียนต่อคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) รวมไปถึงการร้องเรียนต่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และการใช้พื้นที่ข่าวออกมาเปิดเผยประเด็นข้อสงสัยของกลุ่ม SLC และบุคคลที่ข้องเกี่ยวในการทยอยเข้ามาเก็บหุ้น NMG
แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจให้กับ SLC เมื่อคณะกรรมการ กสท. มีมติเสียงข้างมาก 3 : 2 ว่า SLC ถือหุ้น ในเนชั่น 12.27 % สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ขัดต่อประกาศหลักเกณฑ์ประมูล นำไปสู่การฟ้องร้องกลับ เพื่อเรียกค่าเสียหายจากกลุ่มผู้บริหารเนชั่นฯ 2.34 พันล้านบาท ทำให้ทั้งหมดที่กลุ่มเนชั่นฯปัจจุบันทำมาดูเหมือนไม่มีจุดไหนจะสำเร็จผล อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้บริหารเนชั่นฯยังหวังอยู่ขณะนี้ คือการสอบย้อนหลังการซื้อหุ้น NMG ตั้งแต่ปี 2557 และการตรวจสอบการครอบงำสื่อที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ของดีเอสไอ
หากเปรียบเทียบสัดส่วนในการถือหุ้นจากหลายๆข้อมูลที่ถูกนำเสนอออกมา จะพบว่าในฟากกลุ่มเนชั่นฯ มีการถือหุ้นใหญ่โดย “สุทธิชัย หยุ่น” ในสัดส่วน 9.20% และ “เสริมสิน สมะลาภา”ในสัดส่วน 9.08% รวมประมาณ18.28% ขณะที่กลุ่ม SLC ณ ปัจจุบันมีการถือหุ้นรวม 25.94% แบ่งเป็นการถือในนาม บมจ.โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) (SLC) จำนวน 12.27% และวอร์แรนต์อีก 6% บวกกับการถือในนาม"ศิร์วสิษฐ์ สายน้ำผึ้ง" ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SLC อีก 6.1% รวมไปถึงการถือในนามพันธมิตรอย่าง บมจ.โพราลิส แคปิตอล POLAR หรือ “วธน แคปิตอล (WAT)”อีก7.57% ซึ่งกลายเป็นจุดให้ถูกโจมตีว่าหากรวมการถือหุ้นทั้งหมดจะมีมากกว่า 25% แล้ว แต่ทว่ากลุ่มใหม่เลี่ยงที่จะทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ หรือการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือ
แต่สิ่งน่าสนใจคือการประกาศเลื่อนการปิดสมุดพักการโอนหุ้นออกไปเป็นวันที่ 10 เมษายนนี้ ของกลุ่มเนชั่นฯ อาจมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมเข้ามา ทั้งจากการเข้าเก็บหุ้นของตนเองเพื่อปกป้องสิทธิ์ของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ปัจจุบันอย่าง “สิทธิชัย หยุ่น” และ “เสริมสิน” หรืออาจมาจากพันธมิตรใหม่ที่มีรายงานข่าวว่า ถูกเชิญเข้ามาร่วมรบผ่านตัวแทนที่เป็นพันธมิตรของ “เสริมสิน” เดินเกมส์ทาบทามให้เข้ามากู้วิกฤต ด้วยการเป็นตัวแทนซื้อหุ้นNMG คืนจากกลุ่ม “โซลูชั่น คอนเนอร์”
บุคคลเหล่านี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ที่เคยร่วมแรงร่วมใจเคียงบ่าเคียงไหล่กับ “เสริมสิน”มาตั้งแต่ครั้ง บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน)(N-PARK) นั่นคือ “ทศพงศ์ จารุทวี” กับ “สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ศรีมิตร ที่เข้ามาช่วยกู้วิกฤตครั้งนี้ ส่วนผู้ที่ถูกทาบทามให้ยื่นมือมาช่วย เนชั่นฯนั่นคือ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ และระบบรางในกรุงเทพมหานคร "คีรี กาญจนพาสน์" ประธานบริหารบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ BTS นั่นเอง
รายงานข่าวแจ้งว่า “ทศพงศ์” และ “สุเทพ” เดินหน้าเจรจากับ “ฉาย บุนนาค” แล้ว เพื่อขอซื้อหุ้น NMG ที่ถืออยู่คืนในราคาที่สูงกว่า โดยผ่านในนามเถ้าแก่ “คีรี”แล้ว แต่ทาง“ฉาย” ยังปฏิเสธขายหุ้นดังกล่าว ทั้งที่ราคาเสนอซื้อนั้นจากเจ้าสัวบีทีเอสนั้นสูงกว่าตอนที่ทยอยเข้าเก็บบนกระดานมาก
ส่วนเหตุผลดึง “คีรี” เข้ามาร่วมวงเตะตัดขาผู้ถือหุ้นใหม่ เพราะเถ้าแก่รถไฟฟ้ามีความสนใจที่จะเดินธุรกิจด้านสื่อสารมวลชนอยู่ก่อนแล้ว เพื่อเพิ่มเติมจากที่ปัจจุบันที่มี บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) (VGI) ซึ่งรับสัมปทานการบริหารสื่อบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และสื่อวิทยุตามห้างสรรพสินค้า แต่ก็เป็นเพียงสื่อเฉพาะทาง ผิดกับกลุ่มเนชั่นฯ ที่เป็นสื่อสารมวลชน และมีผู้ติดตามข่าวสารมากกว่า
ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะระบบรางของภาครัฐ มีผลต่อการเติบโต และโอกาสในการเข้าลงทุนของ BTS ในเรื่องระบบราง และพื้นที่โดยรอบโครงการ หากได้สื่อมาไว้ในมือย่อมช่วยเพิ่มความได้เปรียบขึ้นมาอีกระดับ....ยิ่งบวกกับ รายงานข่าวที่ออกมาว่ากลุ่มผู้บริหารในชุดปัจจุบัน ได้ยื่นข้อเสนอเก้าอี้ประธานคณะกรรมกรรมการบริษัทให้“คีรี”พิจารณา เพื่อแลกกับอำนาจในการขอบริหารงานสื่อของเครือเนชั่นฯทั้งหมดยังเป็นของกลุ่ม “สิทธิชัย หยุ่น”ดังเดิม ส่วนผู้ติดต่อทั้งสองของ “เสริมสิน” ก็รับค่านายหน้าไปตามเกมการเงิน** ....ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ดูท่าเกมส์นี้อาจจะยืดเยื้อและไม่อาจหาบทสรุปได้โดยเร็ววัน
นอกจากนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าฉงนใจไม่น้อย ในเรื่องมาตรฐานวิชาชีพ เมื่อกลุ่มผู้บริหารชุดปัจจุบันร้องเรียนการเข้าถือหุ้นNMGของ “โซลูชั่น คอนเนอร์” ว่าเป็นการครอบงำสื่อ แต่กลับยอมเปิดทางให้ “คีรี”เข้ามานั่งเก้าอี้ประธานบอร์ด เพียงหวังแค่ตัวเองและพวกจะได้บริหารงานเนชั่นฯต่อไป โดยอ้างว่าการที่ให้ “คีรี”นั่งตำแหน่งประธานบอร์ดนั้น เครือเนชั่นฯจะได้เป็นอิสระ และยังสามารถทำงานสื่อสารมวลชนที่มีจริยธรรม และจิตวิญญาณของคนสื่อเหมือนเดิม?
ย้อนกลับมารู้จัก ผู้เล่นใหม่ในเกมส์ชิงอำนาจบริหาร NMG ทั้ง 3 ราย หากไม่นับ “คีรี กาญจนพาสน์”ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ต้องมาเริ่มที่ “สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ” อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ศรีมิตร ซึ่งเป็น 1 ใน 56 ไฟแนนซ์ที่ถูกปิดในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี2540 ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ2 ในบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน7.65%
ที่ผ่านมา “สุเทพ”เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับดีลNMG มาตั้งแต่ครั้ง “เสริมสิน”สนใจเข้ามาถือหุ้นเนชั่นฯ ในการรับหน้าที่มาเป็นผู้ดีลซื้อหุ้นNMG ทั้งหมดที่ถือโดย “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานกรรมการกลุ่ม ไทยซัมมิท และเป็นพี่สะใภ้ของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตรองนายกรัฐมนตรีสมัย“ทักษิณ ชินวัตร” ทำให้เชื่อว่าในยามที่NMG กำลังถูกชิงเก้าอี้บริหาร การกลับไปหาผู้ดีลเก่าเพื่อช่วยหาพันธมิตรใหม่ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น
ขณะที่ “ทศพงศ์ จารุทวี” หรือ “พี่เบ้ง” ของ “เสริมสิน” นั้นทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งร่วมกันบริหาร บมจ. แนเชอรัล พาร์ค แต่ล่าสุด **ในการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ครั้งที่ 640-16/2558 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 และการประชุมครั้งที่ 643-15/2558 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2558 มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริง กรรมการและพนักงานบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) กับพวกรวม 15 คน ซึ่ง 1 ในนั้นคือ “ทศพงศ์ จารุทวี” ในข้อกล่าวหามีส่วนร่วมกับหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบ** จากข้อกล่าวหากระทำฐานทุจริตต่อหน้าที่ในการประนอมหนี้ การจำหน่าย และกิจการร่วมทำเพื่อพัฒนาและจำหน่ายทรัพย์สินในทรัพย์สินของกลุ่มลูกหนี้ N-PARK โดยมิชอบ ในการร่วมดำเนินการประนอมหนี้และทำสัญญาจะซื้อจะขายสนามกอล์ฟทั้ง3แห่ง รวมถึงที่ดินย่านรามอินทรา
ทั้งนี้ เพราะเจ้าหน้าที่บบส.ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับกลุ่ม N-PARK ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เอื้อประโยชน์ให้ผู้ถูกกล่าวหา เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของ บบส. และของรัฐเสียหาย ซึ่งป.ป.ช.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว 8 ราย
เมื่อพอรู้ข้อมูลตัวละครใหม่ที่เพิ่มเติมเข้าในเกมส์ชิงหุ้น NMG แล้ว น่าจะพอช่วยต่อจิ๊กซอว์สำคัญในเกมส์นี้ให้เข้มข้นมากขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะออกมาในทิศทางไหน ส่วนอนาคต NMG จะเป็นเหมือน N-PARK หรือไม่กาลเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ หรือถ้าเกมส์พลิก SLC ได้มีโอกาสเข้ามาร่วมบริหาร ก็ถือเป็นการลงทุนที่ฉลาดคุ้มค่า จากเงินลงทุนแค่1,042 ล้านบาท แลกกับการได้มาในช่องดิจิตอลทีวีเพิ่มขึ้นอีก 2 ช่อง แถมสื่อสิ่งพิมพ์ และวิทยุ มาช่วยเพิ่มศักยภาพสื่อในเครือ....ซึ่งทุกอย่างตอนนี้ รอเพียงบทสรุปเท่านั้น
มีการคาดการณ์ว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้น บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (NMG) วันที่29 เมษายนนี้ น่าจะทำให้กรณีพิพาทในเรื่องการแย่งชิงอำนาจบริหารมีบทสรุปออกมา หลังจากยืดเยื้อมานานตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน จากการพยายามรั้งอำนาจบริหารของกลุ่มผู้บริหารเดิมที่นำทีมโดยผู้ก่อตั้ง “สุทธิชัย หยุ่น” และพันธมิตรอย่าง “เสริมสิน สมะลาภา” กับกลุ่ม บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1996) จำกัด (บมจ.) หรือ SLC ผู้ถือหุ้นใหญ่ สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น ที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมบริหาร NMG ตามสิทธิในการถือหุ้น
ความพยายามพิทักษ์สิทธิ์ เพื่อปกป้องเก้าอี้บริหารเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารชุดปัจจุบันเดินเกมส์ในทุกรูปแบบ ทั้งการยื่นหนังสือคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชน และเทคโนโลยีสารสนเทศ (สปช.) ,การร้องเรียนต่อคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) รวมไปถึงการร้องเรียนต่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และการใช้พื้นที่ข่าวออกมาเปิดเผยประเด็นข้อสงสัยของกลุ่ม SLC และบุคคลที่ข้องเกี่ยวในการทยอยเข้ามาเก็บหุ้น NMG
แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจให้กับ SLC เมื่อคณะกรรมการ กสท. มีมติเสียงข้างมาก 3 : 2 ว่า SLC ถือหุ้น ในเนชั่น 12.27 % สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ขัดต่อประกาศหลักเกณฑ์ประมูล นำไปสู่การฟ้องร้องกลับ เพื่อเรียกค่าเสียหายจากกลุ่มผู้บริหารเนชั่นฯ 2.34 พันล้านบาท ทำให้ทั้งหมดที่กลุ่มเนชั่นฯปัจจุบันทำมาดูเหมือนไม่มีจุดไหนจะสำเร็จผล อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้บริหารเนชั่นฯยังหวังอยู่ขณะนี้ คือการสอบย้อนหลังการซื้อหุ้น NMG ตั้งแต่ปี 2557 และการตรวจสอบการครอบงำสื่อที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ของดีเอสไอ
หากเปรียบเทียบสัดส่วนในการถือหุ้นจากหลายๆข้อมูลที่ถูกนำเสนอออกมา จะพบว่าในฟากกลุ่มเนชั่นฯ มีการถือหุ้นใหญ่โดย “สุทธิชัย หยุ่น” ในสัดส่วน 9.20% และ “เสริมสิน สมะลาภา”ในสัดส่วน 9.08% รวมประมาณ18.28% ขณะที่กลุ่ม SLC ณ ปัจจุบันมีการถือหุ้นรวม 25.94% แบ่งเป็นการถือในนาม บมจ.โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) (SLC) จำนวน 12.27% และวอร์แรนต์อีก 6% บวกกับการถือในนาม"ศิร์วสิษฐ์ สายน้ำผึ้ง" ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SLC อีก 6.1% รวมไปถึงการถือในนามพันธมิตรอย่าง บมจ.โพราลิส แคปิตอล POLAR หรือ “วธน แคปิตอล (WAT)”อีก7.57% ซึ่งกลายเป็นจุดให้ถูกโจมตีว่าหากรวมการถือหุ้นทั้งหมดจะมีมากกว่า 25% แล้ว แต่ทว่ากลุ่มใหม่เลี่ยงที่จะทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ หรือการตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือ
แต่สิ่งน่าสนใจคือการประกาศเลื่อนการปิดสมุดพักการโอนหุ้นออกไปเป็นวันที่ 10 เมษายนนี้ ของกลุ่มเนชั่นฯ อาจมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมเข้ามา ทั้งจากการเข้าเก็บหุ้นของตนเองเพื่อปกป้องสิทธิ์ของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ปัจจุบันอย่าง “สิทธิชัย หยุ่น” และ “เสริมสิน” หรืออาจมาจากพันธมิตรใหม่ที่มีรายงานข่าวว่า ถูกเชิญเข้ามาร่วมรบผ่านตัวแทนที่เป็นพันธมิตรของ “เสริมสิน” เดินเกมส์ทาบทามให้เข้ามากู้วิกฤต ด้วยการเป็นตัวแทนซื้อหุ้นNMG คืนจากกลุ่ม “โซลูชั่น คอนเนอร์”
บุคคลเหล่านี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ที่เคยร่วมแรงร่วมใจเคียงบ่าเคียงไหล่กับ “เสริมสิน”มาตั้งแต่ครั้ง บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน)(N-PARK) นั่นคือ “ทศพงศ์ จารุทวี” กับ “สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ศรีมิตร ที่เข้ามาช่วยกู้วิกฤตครั้งนี้ ส่วนผู้ที่ถูกทาบทามให้ยื่นมือมาช่วย เนชั่นฯนั่นคือ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ และระบบรางในกรุงเทพมหานคร "คีรี กาญจนพาสน์" ประธานบริหารบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ BTS นั่นเอง
รายงานข่าวแจ้งว่า “ทศพงศ์” และ “สุเทพ” เดินหน้าเจรจากับ “ฉาย บุนนาค” แล้ว เพื่อขอซื้อหุ้น NMG ที่ถืออยู่คืนในราคาที่สูงกว่า โดยผ่านในนามเถ้าแก่ “คีรี”แล้ว แต่ทาง“ฉาย” ยังปฏิเสธขายหุ้นดังกล่าว ทั้งที่ราคาเสนอซื้อนั้นจากเจ้าสัวบีทีเอสนั้นสูงกว่าตอนที่ทยอยเข้าเก็บบนกระดานมาก
ส่วนเหตุผลดึง “คีรี” เข้ามาร่วมวงเตะตัดขาผู้ถือหุ้นใหม่ เพราะเถ้าแก่รถไฟฟ้ามีความสนใจที่จะเดินธุรกิจด้านสื่อสารมวลชนอยู่ก่อนแล้ว เพื่อเพิ่มเติมจากที่ปัจจุบันที่มี บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) (VGI) ซึ่งรับสัมปทานการบริหารสื่อบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และสื่อวิทยุตามห้างสรรพสินค้า แต่ก็เป็นเพียงสื่อเฉพาะทาง ผิดกับกลุ่มเนชั่นฯ ที่เป็นสื่อสารมวลชน และมีผู้ติดตามข่าวสารมากกว่า
ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาลโดยเฉพาะระบบรางของภาครัฐ มีผลต่อการเติบโต และโอกาสในการเข้าลงทุนของ BTS ในเรื่องระบบราง และพื้นที่โดยรอบโครงการ หากได้สื่อมาไว้ในมือย่อมช่วยเพิ่มความได้เปรียบขึ้นมาอีกระดับ....ยิ่งบวกกับ รายงานข่าวที่ออกมาว่ากลุ่มผู้บริหารในชุดปัจจุบัน ได้ยื่นข้อเสนอเก้าอี้ประธานคณะกรรมกรรมการบริษัทให้“คีรี”พิจารณา เพื่อแลกกับอำนาจในการขอบริหารงานสื่อของเครือเนชั่นฯทั้งหมดยังเป็นของกลุ่ม “สิทธิชัย หยุ่น”ดังเดิม ส่วนผู้ติดต่อทั้งสองของ “เสริมสิน” ก็รับค่านายหน้าไปตามเกมการเงิน** ....ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ดูท่าเกมส์นี้อาจจะยืดเยื้อและไม่อาจหาบทสรุปได้โดยเร็ววัน
นอกจากนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าฉงนใจไม่น้อย ในเรื่องมาตรฐานวิชาชีพ เมื่อกลุ่มผู้บริหารชุดปัจจุบันร้องเรียนการเข้าถือหุ้นNMGของ “โซลูชั่น คอนเนอร์” ว่าเป็นการครอบงำสื่อ แต่กลับยอมเปิดทางให้ “คีรี”เข้ามานั่งเก้าอี้ประธานบอร์ด เพียงหวังแค่ตัวเองและพวกจะได้บริหารงานเนชั่นฯต่อไป โดยอ้างว่าการที่ให้ “คีรี”นั่งตำแหน่งประธานบอร์ดนั้น เครือเนชั่นฯจะได้เป็นอิสระ และยังสามารถทำงานสื่อสารมวลชนที่มีจริยธรรม และจิตวิญญาณของคนสื่อเหมือนเดิม?
ย้อนกลับมารู้จัก ผู้เล่นใหม่ในเกมส์ชิงอำนาจบริหาร NMG ทั้ง 3 ราย หากไม่นับ “คีรี กาญจนพาสน์”ที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน ต้องมาเริ่มที่ “สุเทพ วงศ์วรเศรษฐ” อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ศรีมิตร ซึ่งเป็น 1 ใน 56 ไฟแนนซ์ที่ถูกปิดในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี2540 ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ2 ในบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน7.65%
ที่ผ่านมา “สุเทพ”เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับดีลNMG มาตั้งแต่ครั้ง “เสริมสิน”สนใจเข้ามาถือหุ้นเนชั่นฯ ในการรับหน้าที่มาเป็นผู้ดีลซื้อหุ้นNMG ทั้งหมดที่ถือโดย “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานกรรมการกลุ่ม ไทยซัมมิท และเป็นพี่สะใภ้ของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตรองนายกรัฐมนตรีสมัย“ทักษิณ ชินวัตร” ทำให้เชื่อว่าในยามที่NMG กำลังถูกชิงเก้าอี้บริหาร การกลับไปหาผู้ดีลเก่าเพื่อช่วยหาพันธมิตรใหม่ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้น
ขณะที่ “ทศพงศ์ จารุทวี” หรือ “พี่เบ้ง” ของ “เสริมสิน” นั้นทั้งสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งร่วมกันบริหาร บมจ. แนเชอรัล พาร์ค แต่ล่าสุด **ในการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ครั้งที่ 640-16/2558 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 และการประชุมครั้งที่ 643-15/2558 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2558 มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริง กรรมการและพนักงานบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.) กับพวกรวม 15 คน ซึ่ง 1 ในนั้นคือ “ทศพงศ์ จารุทวี” ในข้อกล่าวหามีส่วนร่วมกับหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบ** จากข้อกล่าวหากระทำฐานทุจริตต่อหน้าที่ในการประนอมหนี้ การจำหน่าย และกิจการร่วมทำเพื่อพัฒนาและจำหน่ายทรัพย์สินในทรัพย์สินของกลุ่มลูกหนี้ N-PARK โดยมิชอบ ในการร่วมดำเนินการประนอมหนี้และทำสัญญาจะซื้อจะขายสนามกอล์ฟทั้ง3แห่ง รวมถึงที่ดินย่านรามอินทรา
ทั้งนี้ เพราะเจ้าหน้าที่บบส.ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับกลุ่ม N-PARK ไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เอื้อประโยชน์ให้ผู้ถูกกล่าวหา เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของ บบส. และของรัฐเสียหาย ซึ่งป.ป.ช.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวแล้ว 8 ราย
เมื่อพอรู้ข้อมูลตัวละครใหม่ที่เพิ่มเติมเข้าในเกมส์ชิงหุ้น NMG แล้ว น่าจะพอช่วยต่อจิ๊กซอว์สำคัญในเกมส์นี้ให้เข้มข้นมากขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะออกมาในทิศทางไหน ส่วนอนาคต NMG จะเป็นเหมือน N-PARK หรือไม่กาลเวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ หรือถ้าเกมส์พลิก SLC ได้มีโอกาสเข้ามาร่วมบริหาร ก็ถือเป็นการลงทุนที่ฉลาดคุ้มค่า จากเงินลงทุนแค่1,042 ล้านบาท แลกกับการได้มาในช่องดิจิตอลทีวีเพิ่มขึ้นอีก 2 ช่อง แถมสื่อสิ่งพิมพ์ และวิทยุ มาช่วยเพิ่มศักยภาพสื่อในเครือ....ซึ่งทุกอย่างตอนนี้ รอเพียงบทสรุปเท่านั้น