บอร์ด เนชั่น กรุ๊ป เดินหน้าเตรียมฟ้อง 3 กรรมการ กสท.ต่อศาลปกครอง เหตุไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์การประมูลทีวีดิจิตอล ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมสื่อทีวีกลับไปสู่การครอบงำกิจการ และผูกขาดเช่นเดิม ขัดต่อเจตนารมณ์การแข่งขันเสรีและเป็นธรรม
จากกรณีที่มีการลงมติให้ บมจ.โซลูชั่น คอนเนอร์ 1998 หรือ SLC สามารถซื้อหุ้น บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ NMG ได้มากกว่า 10% และไม่ต้องยึดหลักเกณฑ์ประมูลใช้ต่อเนื่อง ส่งผลทำให้บริษัทจะมีความเสี่ยงสูงสุดทางธุรกิจจะถูกครอบครองกิจการ และจะทำให้เกิดการครอบงำกิจการสื่อทีวีดิจิตอลทั้งระบบได้
ขณะเดียวกัน ในส่วนของมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ (กสท.) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ได้พิจารณากรณี บมจ.โซลูชั่น คอนเนอร์ 1998 หรือ SLC ได้เข้าซื้อหุ้นใน บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ NMG จำนวน 12.27% และยังมีผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันกับ SLC เข้าถือหุ้นใน NMG รวมกันอีกประมาณ 25% โดยกรรมการแต่ละท่านมีความเห็นดังนี้ 1.พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท. และ พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ งามสง่า มีความเห็นว่าไม่ต้องบังคับใช้ประกาศหลักเกณฑ์การประมูลทีวีดิจิตอลต่อเนื่องภายหลังการประมูล 2.ดร.ธวัชชัย จิตรภาษนันท์ และ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ มีความเห็นว่า จำเป็นต้องบังคับใช้ประกาศหลักเกณฑ์การประมูลทีวีดิจิตอลต่อเนื่องภายหลังการประมูล และมีความเห็นว่า SLC ถือหุ้นเกินกว่า 10% ใน NMG เป็นการขัดต่อประกาศหลักเกณฑ์ที่ห้ามไม่ให้ผู้ถือหุ้นใหญ่เกินกว่า 10% ถือครองใบอนุญาตกิจการทีวีดิจิตอลในประเภทเดียวกัน เพราะ NMG ถือหุ้นมากกว่า 70% ในบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ็นบีซี เน็กซ์วิชั่น จำกัด (NNV) ที่ถือใบอนุญาตช่องข่าวทีวีดิจิตอล Nation TV เพราะ SLC ถือหุ้น 100% ในบริษัท สปริงนิวส์ จำกัด (มหาชน) ที่ถือใบอนุญาตทีวีดิจิตอลช่องข่าวสปริงนิวส์ โดยให้ออกคำสั่งทางปกครองให้ SLC ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ภายใน 90 วัน 3.พล.ท.ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ มีความเห็นว่า SLC สามารถถือหุ้นเกินกว่า 10% ใน NMG ได้เพราะ NMG ที่ถือหุ้น 70% ในบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้น 100% ในบริษัท เอ็นบีซี เน็กซ์วิชั่น จำกัด ที่ถือใบอนุญาตช่องข่าวทีวีดิจิตอล Nation TV และ SLC ไม่ได้ถือหุ้นโดยตรงในบริษัท NNV ที่เป็นผู้รับใบอนุญาตทีวีดิจิตอล
ทั้งนี้ บริษัท เนชั่น มัลติมีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในเร็วๆ นี้เฉพาะกรรมการ กสท.3 ท่าน คือ พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ ในฐานะประธาน กสท. พ.ต.อ.ทวีศักดิ์ งามสง่า และ พล.ท.ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ ที่มีความเห็นดังกล่าวในการประชุม กสท.เป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ในมาตรา 31 และมาตรา 32 และหลักเกณฑ์วิธีการคัดเลือกการใช้คลื่นความถี่สำหรับทีวีดิจิตอลในส่วนของคุณสมบัติ “ผู้ถือหุ้นใหญ่” และ “ผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน” ของผู้เข้าประมูล และภายหลังการประมูล ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยบริษัทฯ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะทำงานของ กสท.เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 อย่างละเอียดถึงการเข้ามาถือหุ้นของ SLC และพวก หรือเป็นผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันใน NMG ที่มีสัดส่วนหุ้นรวมกันมากกว่า 35% อันประกอบด้วย SLC 12.27% บมจ.วธน แคมปิตัล หรือ WAT ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.โพลาริส แคปปิตัล 7.54% และผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันเป็นรายบุคคลอีกหลายคนรวมกัน 16.31% รวมกันทั้งสิ้นอย่างน้อย 36% ใน NMG ที่ถือได้ว่ามีเป็น “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน” ที่ถือได้ว่าจะมีอำนาจควบคุมกิจการของ NMG ในอนาคตได้ อันจะส่งผลเสียหายทางธุรกิจอย่างร้ายแรงต่อเครือเนชั่นที่มีบริษัทลูก คือ NBC และบริษัทหลาน คือ NNV ที่ถือใบอนุญาตช่องทีวีดิจิตอล Nation TV เมื่อกลุ่ม SLC และพวกได้มีอำนาจควบคุมกิจการหรือใช้สิทธิเข้ามาเป็น “กรรมการ” ในบริษัท NMG จะถือเป็นการสูญเสียความลับทางธุรกิจในกิจการช่องข่าวทีวีดิจิตอลให้แก่คู่แข่งขันโดยตรงคือ ช่องข่าว Springnews ที่กลุ่ม SLC และพวกมีอำนาจควบคุม 100% ในขณะที่ NMG ไม่ได้ถือหุ้นใน SLC แต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีความเห็นว่า เมื่อกรรมการ กสท. 3 ท่านดังกล่าวไม่ได้ยึดมั่นในการใช้ความรู้ความสามารถในการกำกับ และดูแลการประกอบกิจการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลตามกฎหมายอย่างเที่ยงธรรม ตามพระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ในส่วนที่ 4 การป้องกันการผูกขาด มาตรา 31 เพื่อป้องกันมิให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งครอบงำกิจการในลักษณะที่เป็นการจำกัดโอกาสในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารสาธารณะที่มาจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย หรือกระทำการอันเป็นการผูกขาดการประกอบกิจการสื่อมวลชนหลายประเภทในเวลาเดียวกัน ห้ามผู้รับใบอนุญาตถือครองธุรกิจในกิจการประเภทเดียวกัน หรือครองสิทธิข้ามสื่อในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นความถี่เกินสัดส่วนที่คณะกรรมการประกาศกำหนด และมาตรา 32 เพื่อส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม และป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด ลด หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ให้การประกอบกิจการของผู้รับใบอนุญาตอยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าหรือมาตรการเฉพาะที่คณะกรรมการประกาศกำหนดตามลักษณะการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ซึ่งการกระทำอันเป็นการผูกขาด ลด หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ให้หมายความรวมถึงการถือครองธุรกิจในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกันหรือการใช้วัสดุหรืออุปกรณ์ที่ติดตั้งเป็นพิเศษเพื่อรับสัญญาณเสียงหรือภาพในลักษณะที่กีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
นอกจากนี้ หลักเกณฑ์วิธีการคัดเลือกการใช้คลื่นความถี่สำหรับทีวีดิจิตอลปี 2556 ได้ให้นิยาม “ผู้ถือหุ้นใหญ่” ที่เกินกว่า 10% และ “การเป็นผู้ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน” ของผู้เข้าประมูลทีวีดิจิตอลในช่วงปี 2556 ที่มีการกำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เป็นไปเจตนารมณ์การแข่งขันอย่างเสรี และเป็นธรรมที่ได้มีการบัญญัติในกฎหมาย 2 ฉบับคือ พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 และพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2553 รวมทั้งมติของคณะอนุกรรมการที่ปรึกษากฎหมาย กสทช.ได้ให้ความเห็นเสียงข้างมากว่า หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกด้วยการประมูลคลื่นความถี่สำหรับทีวีดิจิตอล 24 ช่องให้บังคับใช้ต่อเนื่อง ภายหลังการประมูลสิ้นสุดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2556 เพื่อให้สภาพการแข่งขันอย่างเสรี และเป็นธรรมของช่องทีวีดิจิตอล 24 ช่องยังดำรงอยู่ตลอดอายุใบอนุญาตที่มีอายุ 15 ปี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมีช่องทางหลากหลายในการเลือกรับชมช่องทีวีดิจิตอล 24 ช่องเช่นเดิม