เนชั่น จี้ ก.ล.ต.เร่งสอบ โซลูชั่น คอนเนอร์ และพวก รวบซื้อหุ้น NMG เกิน 25% แต่ไม่ประกาศรับซื้อหุ้นทั่วไป ผิดกฎตลาดหลักทรัพย์ฯ เอาเปรียบรายย่อย
วันนี้ (31 มี.ค.58) นายสุทธิชัย หยุ่น และคณะบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG ได้เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เพื่อทวงถามความคืบหน้า หลังจากได้ยื่นเรื่องร้องเรียนถึงการกระทำที่เข้าข่าย Acting in Concert หรือการกระทำที่สอดคล้องกันในการเข้าซื้อกิจการเนชั่น โดยครอบครองหุ้น NMG ในสัดส่วนที่สูงกว่า 25% แต่หลีกเลี่ยงการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หรือการประกาศรับซื้อหุ้นทั่วไปของ บมจ. โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) หรือ SLC ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น หรือ NEWS และกลุ่ม ซึ่งเนชั่นได้ร้องเรียนเรื่องนี้มากว่า 2 เดือนแล้ว ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากสำนักงาน ก.ล.ต.
ประธานกรรมการเนชั่นกรุ๊ป กล่าวว่า การเข้าลงทุนใน NMG ของกลุ่มผู้ลงทุนรายใหม่ ตั้งข้อสังเกตได้ว่าเป็น Acting in Concert มีการกระทำที่สอดคล้องกัน และเนชั่นได้นำข้อมูลนี้เสนอต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้ดำเนินการตรวจสอบ เพื่อสร้างความกระจ่างให้กับผู้ลงทุนรายย่อยว่า เหตุใดไม่ทำคำเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ลงทุนรายย่อย หรือ Tender Offer
ด้าน น.ส.ดวงกมล โชตะนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เนชั่น กรุ๊ป เปิดเผยว่า การเข้าครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร ของกลุ่ม SLC หรือ NEWS ในปัจจุบัน เป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์อย่างชัดเจน ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้นรายใหม่ทั้ง 3 รายมีความเกี่ยวพันกัน
“ผู้ลงทุนทั้ง 3 ราย ที่เข้าซื้อหุ้น NMG คือ บริษัท SLC (NEWS) บริษัท WAT (POLAR) และนายศิร์วสิษฐ์ สายน้ำผึ้ง มีความเชื่อมโยง สามารถระบุว่า เป็นการกระทำที่เข้าข่าย Acting in Concert แต่หลีกเลี่ยงการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ เราเชื่อว่า ก.ล.ต. จะทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่ โดยมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง เพื่อให้กฎเกณฑ์ต่างๆ บังคับใช้ได้จริง ไม่เช่นนั้น ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และกิจการในตลาดหลักทรัพย์ จะตกเป็นเหยื่อของความไม่เป็นธรรม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเนชั่น กรุ๊ป กล่าว
จากข้อมูลการปิดสมุดทะเบียนหุ้น ณ เดือน มกราคม 2558 น.ส.ดวงกมล ให้ข้อมูลว่า กลุ่มของ SLC และพวก ถือหุ้นรวมกันเกินกว่า 40% อย่างแน่นอน โดยนิติบุคคลและบุคคลที่ชี้ชัดว่ามีความเชื่อมโยงกันชัดเจน คือ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ บมจ. นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 12.21% นายศิร์วสิษฐ์ สายน้ำผึ้ง 9.14% บมจ.โพลาริส แคปปิตัล 7.54% โดย 2 รายหลังได้ทำรายการซื้อหุ้น NMG จาก บริษัท MBK ในวันเดียวกัน
“มีหลายประเด็นที่บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน เช่น นายอภิวุฒิ ทองคำ มีตำแหน่งใน 2 บริษัท โดยเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร POLAR (WAT) ขณะเดียวกันนั่งเป็นรองประธานกรรมการ SLC เช่นเดียวกับ นายจีรศักดิ์ ธเนศนันท์ มีตำแหน่งใน 2 บริษัท คือ ประธานกรรมการ บริษัท POLAR (WAT) และเป็นกรรมการอิสระ บริษัท SLC” น.ส.ดวงกมล เปิดเผย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NMG ขยายความอีกว่า หากย้อนกลับไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า SLC (NEWS) กับ WAT (POLAR) มีความเกี่ยวพันกันใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง หรือ Private Placement (PP) ให้กับกลุ่มคนเดียวกัน โดยในรายชื่อผู้ที่ได้รับจัดสรร PP จำนวน 20 คนของ POLAR (WAT) มีถึง 14 คน หรือ 70% ที่ได้รับการจัดสรร PP จากบริษัท SLC
สำหรับ พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ระบุไว้ว่า กรณีที่มีผู้จะเข้าซื้อกิจการของบริษัทจดทะเบียนในระดับ 25% ขึ้นไป จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทมีทางเลือกว่า จะถือหุ้นดังกล่าวต่อไปหรือไม่ หลังการเปลี่ยนอำนาจการบริหาร ดังนั้น ผู้ที่จะเข้ามาซื้อกิจการ จะต้องทําคำเสนอซื้อหุ้น (tender offer) แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดด้วย
วันนี้ (31 มี.ค.58) นายสุทธิชัย หยุ่น และคณะบริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG ได้เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เพื่อทวงถามความคืบหน้า หลังจากได้ยื่นเรื่องร้องเรียนถึงการกระทำที่เข้าข่าย Acting in Concert หรือการกระทำที่สอดคล้องกันในการเข้าซื้อกิจการเนชั่น โดยครอบครองหุ้น NMG ในสัดส่วนที่สูงกว่า 25% แต่หลีกเลี่ยงการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หรือการประกาศรับซื้อหุ้นทั่วไปของ บมจ. โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) หรือ SLC ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น หรือ NEWS และกลุ่ม ซึ่งเนชั่นได้ร้องเรียนเรื่องนี้มากว่า 2 เดือนแล้ว ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากสำนักงาน ก.ล.ต.
ประธานกรรมการเนชั่นกรุ๊ป กล่าวว่า การเข้าลงทุนใน NMG ของกลุ่มผู้ลงทุนรายใหม่ ตั้งข้อสังเกตได้ว่าเป็น Acting in Concert มีการกระทำที่สอดคล้องกัน และเนชั่นได้นำข้อมูลนี้เสนอต่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. ให้ดำเนินการตรวจสอบ เพื่อสร้างความกระจ่างให้กับผู้ลงทุนรายย่อยว่า เหตุใดไม่ทำคำเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ลงทุนรายย่อย หรือ Tender Offer
ด้าน น.ส.ดวงกมล โชตะนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เนชั่น กรุ๊ป เปิดเผยว่า การเข้าครอบงำกิจการอย่างไม่เป็นมิตร ของกลุ่ม SLC หรือ NEWS ในปัจจุบัน เป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์อย่างชัดเจน ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้นรายใหม่ทั้ง 3 รายมีความเกี่ยวพันกัน
“ผู้ลงทุนทั้ง 3 ราย ที่เข้าซื้อหุ้น NMG คือ บริษัท SLC (NEWS) บริษัท WAT (POLAR) และนายศิร์วสิษฐ์ สายน้ำผึ้ง มีความเชื่อมโยง สามารถระบุว่า เป็นการกระทำที่เข้าข่าย Acting in Concert แต่หลีกเลี่ยงการทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ เราเชื่อว่า ก.ล.ต. จะทำหน้าที่ของตัวเองเต็มที่ โดยมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง เพื่อให้กฎเกณฑ์ต่างๆ บังคับใช้ได้จริง ไม่เช่นนั้น ผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และกิจการในตลาดหลักทรัพย์ จะตกเป็นเหยื่อของความไม่เป็นธรรม” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเนชั่น กรุ๊ป กล่าว
จากข้อมูลการปิดสมุดทะเบียนหุ้น ณ เดือน มกราคม 2558 น.ส.ดวงกมล ให้ข้อมูลว่า กลุ่มของ SLC และพวก ถือหุ้นรวมกันเกินกว่า 40% อย่างแน่นอน โดยนิติบุคคลและบุคคลที่ชี้ชัดว่ามีความเชื่อมโยงกันชัดเจน คือ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ บมจ. นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้น 12.21% นายศิร์วสิษฐ์ สายน้ำผึ้ง 9.14% บมจ.โพลาริส แคปปิตัล 7.54% โดย 2 รายหลังได้ทำรายการซื้อหุ้น NMG จาก บริษัท MBK ในวันเดียวกัน
“มีหลายประเด็นที่บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน เช่น นายอภิวุฒิ ทองคำ มีตำแหน่งใน 2 บริษัท โดยเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร POLAR (WAT) ขณะเดียวกันนั่งเป็นรองประธานกรรมการ SLC เช่นเดียวกับ นายจีรศักดิ์ ธเนศนันท์ มีตำแหน่งใน 2 บริษัท คือ ประธานกรรมการ บริษัท POLAR (WAT) และเป็นกรรมการอิสระ บริษัท SLC” น.ส.ดวงกมล เปิดเผย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NMG ขยายความอีกว่า หากย้อนกลับไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า SLC (NEWS) กับ WAT (POLAR) มีความเกี่ยวพันกันใกล้ชิด โดยเฉพาะในประเด็นการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง หรือ Private Placement (PP) ให้กับกลุ่มคนเดียวกัน โดยในรายชื่อผู้ที่ได้รับจัดสรร PP จำนวน 20 คนของ POLAR (WAT) มีถึง 14 คน หรือ 70% ที่ได้รับการจัดสรร PP จากบริษัท SLC
สำหรับ พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ระบุไว้ว่า กรณีที่มีผู้จะเข้าซื้อกิจการของบริษัทจดทะเบียนในระดับ 25% ขึ้นไป จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทมีทางเลือกว่า จะถือหุ้นดังกล่าวต่อไปหรือไม่ หลังการเปลี่ยนอำนาจการบริหาร ดังนั้น ผู้ที่จะเข้ามาซื้อกิจการ จะต้องทําคำเสนอซื้อหุ้น (tender offer) แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดด้วย
