“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
รัฐบาลมะกันหลงคิดว่า “กู” คือ “จ้าวโลก”!
รัฐบาลมะกันจึงกลายเป็นพวกบ้าอำนาจบนโลกใบนี้!!
รัฐบาลมะกันทำตัวเป็น “มาเฟีย” โลก อยากได้อะไรของชาติไหน-ต้องได้ อยากให้ชาติใดทำอะไร-ต้องทำ ชาติใดเห็นต่างหรือไม่ยอมเป็นขี้ข้า จะถูกถือเป็นศัตรูของชาติมะกันทันที!!!
รัฐบาลชาติที่เห็นต่างจากมะกัน จะถูกกดดัน ถูกก่อการทุกวิถีทางจนง่อนแง่น หรือถูกโค่นล้มลงทั้งลับและเปิดเผยมาแล้วหลายชาติ
สูตรการเมืองตายตัวของ “มาเฟียโลก” คือ “ต้องเลือกตั้งสถานเดียว”เท่านั้น จึงจะเป็น “ประชาธิปไตย” สไตล์ “ตัวกูของกู-พญาอินทรี”
ส่วน“การเลือกตั้ง”จะโกง จะใช้เงินซื้อเสียงมากแค่ไหน มะกันไม่เคยแยแสสนใจ พรรคใดได้เสียงสส.เกินครึ่งสภา นายทุนสามานย์พรรคนั้น จะให้ใครหน้าไหนเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ แล้วนายกฯคนนั้นจะตั้งครม.ห่วย-เลว-สถุลแค่ไหน ประชาชนคนชาตินั้นจะรับได้หรือไม่ได้ นักการเมืองซื้อเสียงเลือกตั้ง และ “มาเฟียโลกมะกัน” ไม่แยแสสนใจ
ที่สำคัญ..รัฐบาลที่ใช้เงินซื้อเสียงเลือกตั้ง จะโกงชาติตัวเองมากแค่ไหน แต่ถ้ายังเป็นขี้ข้าและทำประโยชน์คุ้มค่า “มาเฟียโลกมะกัน” ก็จะอุ้มรัฐบาลโกงชาติต่อไปเรื่อยๆ
พูดภาษาชาวบ้าน คือ มะกันชอบและจะช่วยรัฐบาลทุกชาติ ที่สมคบกับมะกันปล้นชาติปล้นประชาชนตนเองไงล่ะครับ
ดังนั้น รัฐบาลมะกันมองยุทธศาสตร์ทางการเมืองการทหารว่า หากเวียดนามที่เป็นคอมมิวนิสต์ นำโดย “โฮจิมินห์” ชนะศึกในเวียดนาม จะเกิด “โดมิโน” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยลัทธิคอมมิวนิสต์จะลามเข้ายึดประเทศไทย และประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ ซึ่งจะส่งผลเสียใหญ่หลวง ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ต่อกลุ่มทุนสามานย์มะกัน-ชาติตะวันตก-ญี่ปุ่น ฯลฯ
เมื่อฝรั่งเศสยกธงขาวถอยทัพจากอินโดจีน มะกันที่ไม่เห็นด้วยกับการเจรจาที่เจนีวา ให้ยุติสงครามเวียดนามและให้มีเลือกตั้งในปีพ.ศ. 2499 เพื่อรวมเวียดนามเหนือและใต้ ดังนั้น รัฐบาลมะกันจึงได้เข้าแทรกแซงทางการเมือง ให้ยกเลิกการเลือกตั้งรวมเวียดนาม แล้วหนุน “โง ดินห์ เดียม” นักต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่เป็นชาวคริสต์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเวียดนามใต้ ทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ในเวียดนามเป็นชาวพุทธ
เวียดนามจึงถูกมะกันแยกเป็น 2 ประเทศ โดย “โฮจิมินห์” ได้ปกครองเวียดนามเหนือ มีกรุง“ฮานอย”เป็นเมืองหลวง ส่วนกลุ่มรัฐบาลหุ่นเชิดของมะกัน ยึดเวียดนามใต้มีกรุง “ไซ่ง่อน”เป็นเมืองหลวง
สถานการณ์เวียดนามขณะนั้น นอกจากรัฐบาลสหรัฐจะส่งทหารส่วนหนึ่ง เข้าไปเข่นฆ่าชาวเวียดนามแล้ว มะกันยังทำให้คนเวียดนามสู้รบเข่นฆ่ากันเองอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม..นโยบายประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ มีแนวโน้มจะเจรจามากกว่ารบพุ่ง และมอง “โง ดินห์ เดียม”ว่าบ้าอำนาจ ปราบปรามคอมมิวนิสต์แบบเหวี่ยงแห ถึงขนาดส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิด ทั้งบ้านและวัดพุทธอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่สงสัยว่าเป็นที่ซ่อนของเวียดกง ทำให้ชาวเวียดนามที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสกปรก และเป็นเผด็จการ “โง ดินห์ เดียม” จึงถูกนักเรียน นักศึกษา ปัญญาชน พระสงฆ์ และชาวเวียดนามในไซ่ง่อน ออกมาเดินขบวนขับไล่ตามท้องถนน จนมีพระสงฆ์รูปหนึ่งได้เผาตัวเองมรณภาพ กลายเป็นข่าวใหญ่เผยแพร่ไปทั่วโลก ทำให้ชาวโลกและประชาชนเวียดนาม ไม่พอใจต่อรัฐบาลเวียดนามใต้ หุ่นเชิดของอเมริกาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ที่สำคัญ ทำให้กระแสความไม่พอใจรัฐบาลสหรัฐ ที่ไปหนุนรัฐบาล “โง ดินห์ เดียม” ซึ่งเข่นฆ่าชาวเวียดนามอย่างป่าเถื่อน ขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในชนชาวอเมริกัน
เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของสงครามเวียดนาม ได้เกิดขึ้นที่เวียดนามใต้และอเมริกา นั่นคือ
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2506 ประธานาธิบดี “โง ดินห์ เดียม” ถูกจับกุมตัวไปยิงทิ้ง โดยกลุ่มที่ทำรัฐประหารในเวียดนามใต้ ซึ่งมีหน่วยงานมะกันร่วมปฏิบัติการด้วย หลังจากนั้นเพียงแค่ 3 อาทิตย์ ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ก็ถูกลอบสังหาร โดยมือปืนหนุ่มที่ลั่นไกใส่ถึง 4 นัด บนถนนกลางเมืองดัลลัส ณ มลรัฐเท็กซัส
รองประธานาธิบดี ลินดอน บี จอห์นสัน จึงได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทนเคนเนดี้ ในขณะที่ “เหงียน วัน เทียว” ก็ได้เป็น ประธานาธิบดีเวียดนามใต้แทน “โง ดินห์ เดียม”
จากนั้นก็มีการสร้างสถานการณ์ ให้เรือรบมะกัน 2 ลำถูกโจมตีในอ่าวตังเกี๋ย แล้วป้ายสีว่าเป็นกระทำของกองกำลัง “เวียดมินห์” เพื่อให้ “จอห์นสัน” ร้องขอต่อรัฐสภา ให้มีอำนาจสั่งการทำสงครามครั้งใหญ่ โดยจอห์นสันได้สั่งเพิ่มกองกำลังมะกัน เข้าสู่เวียดนามใต้อย่างต่อเนื่องใต้กว่า 5 แสนคน
สงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 นี้ กองทัพมะกันเปิดการรบทั้งทางทะเล-บนบก-อากาศ โดยการใช้เครื่องบินยักษ์ บี 52 หมุนเวียนไปทิ้งระเบิดแบบปูพรม 24 ชั่วโมง มีทั้งการใช้อาวุธเคมี“ฝนเหลือง” โปรยใส่แผ่นดินเวียดนามอย่างหนัก “ฝนเหลือง” ได้ทำให้ดินของเวียดนามบางพื้นที่ ผลิตธัญญาหารไม่ได้กว่าสิบปี
เห็นไหมล่ะว่า..สิ่งไม่ควรทำและไร้มนุษยธรรมทั้งหลาย มะกันนั่นแหละมักทำทั้งลับและเปิดเผยเสมอ ดังเช่นการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่ญี่ปุ่นลูกแรก ทำให้ญี่ปุ่นยกธงขาวยอมแพ้แล้ว แต่มะกันอยากทดลองระเบิดนิวเคลียร์ FATMAN ที่ใหญ่กว่าลูกแรก ผู้นำมะกันจึงสั่งถล่มนิวเคลียร์ใส่ญี่ปุ่นอีกลูกหนึ่ง จนคนญี่ปุ่นตายเพิ่มอีกนับแสนคน
สงครามยืดเยื้อระหว่างมะกันกับเวียดนาม “ลุงโฮ”ได้ใช้การรบทั้งในและนอกรูปแบบ จนในปี 2511 กองทัพ“ลุงโฮ”ก็เปิดฉากรบใหญ่ โจมตีกลางกรุงไซ่ง่อนในวัน“ตรุษญวน” แม้จะล้มรัฐบาลเวียดนามใต้ไม่ได้ แต่ก็เป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของสงครามนี้
เพราะการรบใหญ่ครั้งนั้น ทำให้ “ลุงโฮ” รู้ความลับว่า หากผู้นำมะกันไม่สนับสนุน กองทัพเวียดนามใต้จะไม่มีศักยภาพ ที่จะต้านกองทัพของ “ลุงโฮ” ได้เลย ดังนั้น ถ้าตัดการช่วยเหลือของมะกันลงได้ กองทัพ “ลุงโฮ” ก็จะยึดไซ่ง่อนได้โดยไวแน่นอน
จุดพ่ายของผู้นำมะกันเริ่มเกิดขึ้น เมื่อมีการสังหารชาวบ้าน ที่ไร้อาวุธ ณ หมู่บ้าน “ไมลาย” เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2511 โดยทหารอเมริกันสังกัดกองร้อย “ชาร์ลี” แห่งกองพันที่ 1 กรมทหารราบที่ 20 ของกองพลน้อยที่ 11 แห่งกองพลทหารราบที่ 26
ได้ปฏิบัติการโหดสังหารหมู่ ทารก-เด็ก-สตรี-คนชรา โดยเหยื่อถูกทรมานด้วยการตัดแขนขา เพราะทหารอเมริกันเชื่อว่า หมู่บ้านนี้เป็นฐานกำลังของ “เวียดกง” แม้จะมีทหารอเมริกันบางคน พยายามขัดขวางการสังหารหมู่ครั้งนี้-แต่ไม่สำเร็จ
เมื่อข่าวและภาพสังหารโหดหมู่ ที่ไมลายถูกเผยแพร่ออกไป ได้สร้างความโกรธอย่างรุนแรงเป็นวงกว้างไปทั่วโลก
ยิ่งทหารอเมริกัน 26 นาย ที่มีความผิดทางอาญา ไม่ได้รับโทษทัณฑ์แต่ประการใด มีเพียง “รต.วิลเลียม แคลลีย์” (William Calley) ผู้นำหมวดในกองร้อยชาร์ลีเท่านั้น ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในการสังหารหมู่ ชาวบ้านเวียดนามตายไปถึง 22 คน แต่ศาลทหารลงโทษเบามาก โดยให้จำคุกและใช้แรงงานตลอดชีวิต แถมสุดท้ายโดนแค่กักบริเวณในบ้าน 3 ปีครึ่งเท่านั้นเอง
ไฟโกรธยิ่งถูกโหมหนักขึ้นไปอีก เมื่อทหารช่างสหรัฐ 3 นาย ที่พยายามขัดขวางและช่วยผู้บาดเจ็บในครั้งนั้น กลับถูกสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐหลายคนติเตียน พวกเขายังได้รับจดหมายข่มขู่ ได้พบขาสัตว์มาวางไว้หน้าบ้าน โน่น..กว่า 30 ปีให้หลัง พวกเขาจึงได้รับการยกย่อง ถึงความกล้าหาญในการปกป้องชีวิตมนุษย์ และเปิดโปงเรื่องชั่วร้ายที่เกิดขึ้น ในหมู่บ้านห่างไกลปืนเที่ยงของเวียดนาม
“โฮจิมินห์”ได้เปิดแนวรบขึ้นในชาติมะกัน เพื่อทำให้ประชาชนมะกัน เป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนกดดัน ให้ผู้นำและกลุ่มทุนสามานย์มะกัน ยุติสงครามอธรรมในเวียดนาม
นั่นคือ..ยุทธการ “อินทรี-หักปีก-อินทรี” ไงล่ะครับ!