xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จันทรุปราคา กับ รัฏฐาธิปัตย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ในปีนี้ มีการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงไปแล้วเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา แต่ในประเทศไทยไม่สามารถมองเห็นได้ และในวันที่ 4 เม.ย.นี้ ก็จะเกิดจันทรุปราคาเต็มดวงอีกครั้ง ซึ่งในประเทศไทยมีโอกาสเห็นได้ในช่วงหัวค่ำ ถ้าท้องฟ้าเปิด โดยจะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่เวลา 18.53 น. และไปเต็มดวงที่เวลา 19.07 น. หลังจากนั้น ก็จะเกิดสุริยุปราคา บางส่วน ในวันที่ 13 ก.ย. และเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง เป็นรอบที่สอง ในวันที่ 28 ก.ย.

การเกิด "อุปราคา" ในแต่ละครั้ง ก็มักจะนำมาผูกโยงเป็นคำทำนายทางโหราศาสตร์ ที่เกี่ยวพันกับบ้านเมืองแทบทุกครั้ง และการเกิดจันทรุปราคา ในวันที่ 4 เม.ย.นี้ ก็มีคำทำนายไว้เช่นกัน

โดย อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า หากการเกิด "อุปราคา" ที่มองไม่เห็นในประเทศไทย ก็จะไม่มีผลมากนัก แต่ถ้าครั้งไหนสามารถมองเห็นได้ ก็มีอิทธิพลอย่างรุนแรงต่อประเทศไทย

ทั้งนี้ การเกิดจันทรุปราคา ตามตำราโหราศาสตร์ ว่าจะมีอิทธิพลเกี่ยวกับเรื่อง สังคม จิตวิทยาสังคม อารมณ์สาธารณะ เรื่องของประชาชนคนหมู่มาก

...อาจเกิดเรื่องไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง ที่ส่งผลสลับซับซ้อน ยากแก่การสืบสวน อาจเกิดความยุ่งยากเกี่ยวกับเรื่องของการชุมนุมประท้วง ทางการเมือง หรือเกี่ยวกับแรงงาน การนัดหยุดงาน เป็นห้วงเวลาที่อาจเกิดคดีอาชญากรรมมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บในคน และสัตว์ระบาดหนัก มีความยุ่งยากในวงการศาสนา การศึกษา กฎหมาย การแพทย์ และมีผลตามหลังอุปราคาด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาก ทั้งทางพื้นดิน ทะเล อากาศ

...อาจมีปัญหาดินฟ้าอากาศแปรปรวนติดตามมา โลกธุรกิจอาจถูกก่อกวน หรือกระทบกระเทือน การบริหารประเทศอาจมีคะแนนนิยมตกต่ำลง เพราะปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง และการคอร์รัปชัน การฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบเกิดขึ้นทั่วไป จนอาจทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างชนชั้นมากขึ้น

... ธุรกิจอาจประสบปัญหาขาดทุนมาก งานบริการที่เคยโดดเด่นอาจทรุดลงเห็นได้ชัด สุขภาพประชาชน และโครงการเกี่ยวกับสุขภาพประชาชน อาจกระทบกระเทือน อาจอำนวยความอับโชคให้กับการบริหารประเทศ และผู้นำในระดับสูง ๆ

อ.ภิญโญ ยังทำนายกรณี "อุปราคาสัมพันธ์กับจุดตั้งรับในดวงชะตาเมือง" เอาไว้ด้วยว่า ...ประเทศอาจเสียหายด้านการสื่อสาร รวมถึงสิ่งที่เป็นความหมายของดาวศุกร์ เกี่ยวกับเศรษฐกิจ เศรษฐกิจตกต่ำ การออกกฎหมาย การเสนอร่างกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย อาจเกิดปัญหายุ่งยาก คนสำคัญในวงการดังกล่าวนี้ มีการสูญเสีย...
 
นั่นเป็นเรื่องของคำทำนายทางโหราศาสตร์ แต่ในความเป็นจริงของบ้านเมือง และสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ จะว่าไปแล้วก็ไม่ไกลจากคำทำนายนัก เนื่องจากดีกรีความร้อนแรง ปัญหาที่รุมเร้า รอบด้าน จนทำให้ผู้นำอย่างนายกรัฐมนตรี ต้องหัวเสีย และมีการแสดงออกทางอารมณ์ เกรี้ยวกราดหนักขึ้นทุกวัน

ว่ากันว่า ปัญหาที่ทำให้คนเกิดอาการเครียด ในลำดับต้นๆ คือ เรื่องเงิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี เรื่องเงินส่วนตัวคงไม่มีปัญหา แต่เรื่องเงินของประเทศชาติเป็นเรื่องใหญ่ ที่นายกฯต้องรับผิดชอบ และในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา จุดอ่อนของรัฐบาลก็คือ เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ที่โพลแทบทุกสำนักชี้ไปในทางเดียวกันว่า พอใจในเรื่องการลดความขัดแย้งของคนในสังคม แต่ยังสอบตกในเรื่องบริหารเศรษฐกิจ

ซึ่งในความเป็นจริงก็มีหลักฐานที่ฟ้องอยู่ คือ ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตัวหลักๆ อย่าง ข้าว ยางพารา ไม่กระเตื้องขึ้นเลย ตัวเลขการส่งออกวูบ เนื่องจากบางประเทศยกเอาปัญหาประชาธิปไตยมาเป็นข้ออ้างในการลดการค้าขายด้วย การจ้างงานภายในประเทศลดลงมาก หวังจะเก็บภาษี เพื่อเป็นรายได้เข้ารัฐ ก็ทำไม่สำเร็จ อย่างเช่นเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แค่อ้าปาก ก็ถูกต่อต้านรอบทิศ จำต้องพักโครงการไว้ก่อน โครงการขนาดใหญ่ ที่หวังจะให้เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ก็ได้แต่แค่ทำท่า แต่ยังไม่เกิด

ปัญหา"เกาเหลา"ในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มีเสียงเรียกร้องให้มีการปรับตัวบุคคลใหม่ ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากนายกรัฐมนตรี อ้างว่าไม่มีเกาเหลา ทุกคนยังทำงานได้ดี ขยันขันแข็ง ลงท้ายด้วยคำยืนยันว่าไม่ปรับครม.

คำชี้แจงเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจที่นายกฯ พูดอยู่เสมอ คือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก ไทยย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ส่วนเรื่องกฎอัยการศึก ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นตัวขัดขวางการลงทุน ก็ไม่จริง ต่างประเทศยังสนใจเข้ามาลงทุน จำนวนนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้น

ส่วนปัญหาการเมือง ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ในขณะนี้คือเรื่องการ ร่าง รัฐธรรมนูญ ที่ขณะนี้การยกร่างเสร็จแล้ว รอการพิจารณา ตรวจแก้จากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยสภาปฏิรูปแห่งชาติ จะทำการพิจารณากันในช่วง 20-26 เม.ย. นี้

มีประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก อาทิ ที่มาของนายกรัฐมนตรี ที่เปิดช่องให้มาจากคนนอกได้โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งประเด็นนี้ กรรมาธิการยกร่าง เตรียมทางออกไว้แล้วว่า หากนายกฯมาจากคนนอก จะต้องเกิดสถานการณ์พิเศษ เพื่อให้เห็นชัดเจนเป็นสัญลักษณ์ว่า ในภาวะปกติอยากให้มาจากส.ส. แต่ก็มีปัญหาว่า จะนิยามคำว่า วิกฤตที่หาทางออกไม่ได้ อย่างไร หรืออาจใช้วิธีกำหนดให้นายกฯ คนนอก มีวาระสั้นกว่าปกติ คือเพียง 2 ปี หรือ ให้ใช้เสียงในสภามากกว่าปกติ คือหากโหวตนายกฯคนนอกต้องใช้เสียง 2 ใน 3 แต่ถ้าเป็นนายกฯที่มาจากส.ส. ใช้แค่เสียงเกินกึ่งหนึ่ง

นอกจากนี้ก็มีประเด็น เกี่ยวกับที่มา และอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ที่มาของ ส.ส. การเลือกตั้งที่เรียกว่าระบบโอเพ่น ลิสต์ การนับคะแนนแบบเยอรมันโมเดล ระบบตรวจสอบถ่วงดุล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งหมด 4 เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูป ปรองดอง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยถึงเนื้อหาว่าจะทำอย่างไรบ้าง

และสุดท้ายมีเสียงเรียกร้องให้ทำประชามติ เมื่อยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วแต่คำตอบจากนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่หลุดคำพุดมาว่า จะเลือกตั้งปลายปีนี้ ซึ่งถ้าดูตามกำหนดเวลาแล้ว ถ้าเป็นจริงอย่างที่ว่า ก็ชัดเจนว่า ไม่มีการประชามติ

สำหรับเรื่องศาสนา ก็เป็นระเบิดเวลาอีกลูก ที่สร้างความหนักใจให้กับนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเรื่องวัดธรรมกาย และพระธัมมชโย ซึ่งที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. ที่มีนายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน ได้ประกาศยุบการทำหน้าที่ไป อย่างมีข้อกังขา ค้างคาใจประชาชน หลังถูกบีบจากคณะสงฆ์เครือข่ายวัดพระธรรมกาย ว่าหากไม่ยุติบทบาท จะมี"ม็อบพระ"มาสวดมนต์ประท้วง

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้นำเสนอผลการศึกษา ถึงแนวทางการปฏิรูปกิจการพระพุทธสาสนา ต่อ สปช. ไปเมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า 1. จะต้องมีการปฏิรูปเรื่องทรัพย์สินของวัดและของพระสงฆ์ 2.ปรับปรุงกฎมหาเถรสมาคม 3. นำหลักการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย มาบัญญัติให้เกิดความชัดเจน 4. ปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ ให้ทันกับเหตุการณ์ ซึ่งที่ประชุม สปช.ได้มีมติเห็นด้วย กับรายงานของคณะกรรมาธิการ ชุดนี้ ครม.ดำเนินการต่อไป

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ครม.จะดำเนินการตามข้อสรุปที่เสนอมานั้นหรือไม่ หรือจะซ้ำรอยเหมือนกับข้อเสนอของ คณะกรรมาธิการปฏิรูปพลังงาน ที่เคยมีข้อสรุปเรื่องให้ระงับสัมปทานพลังงาน มาก่อนหน้านี้ แต่ครม.ไม่ปฏิบัติตาม โดยอ้างว่าข้อเสนอของสปช. เป็นเพียงคำแนะนำ ไม่มีผลในเชิงบังคับให้ต้องปฏิบัติตาม  

อีกประเด็นที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คือเรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ประชาชนคาดหวังว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีอำนาจ"รัฏฐาธิปัตย์" อยู่ในมือ จะจัดการกับพวก"แก๊งล้มเจ้า" ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด แต่ผ่านมา 8 เดือนก็มีเพียงข่าวว่า รัฐบาลไล่ล่าจัดการแต่พวกปลายแถว อย่าง "ตั้ง อาชีวะ" หรือ "อั้ม เนโกะ" แต่ไม่มีความคืบหน้าไปถึง หัวโจก หรือระดับตัวใหญ่ของแก๊งนี้ ทั้งที่ประชาชนก็รู้ รัฐบาลก็รู้ ว่าตัวการใหญ่ คือใคร

และเมื่อถูกสังคม ถูกสื่อตรวจสอบ วิพากวิจารณ์ ถึงเรื่องผลงานรัฐบาลที่ไม่ประทับใจ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือ เรื่องของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั่นเอง จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นชายชาติทหาร ที่ได้รับการปลูกฝังมาทั้งชีวิต ในเรื่องปกป้อง เทิดทูน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงทนรับการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวไม่ได้

ยิ่งนายกฯ ออกอาการหัวเสีย หรืออ้างว่า ปัญหาหมักหมมมานาน 8 ปี 10 ปี จะให้แก้ให้เสร็จภายใน 8 เดือนได้อย่างไร ทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว ที่รัฐบาลที่แล้ว ไม่เห็นมีใครไปไล่เบี้ย จะมาไล่แต่กับรัฐบาลนี้ ที่เข้ามานี่ก็เพราะประชาชนจะฆ่ากัน ไม่ได้อยากเข้ามาเลย ถ้าไม่เข้ามาป่านนี้ไม่รู้บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ซึ่งคำพูดเหล่านี้ ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย

เรื่องคำทำนายทางโหราศาสตร์ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในขณะนี้ เป็นคนละส่วน คนละปัจจัยกัน บ้านเมืองจะเกิดความไม่สงบหรือไม่ การบังคับใช้กฎหมายจะเกิดความยุ่งยากหรือไม่ รัฐบาลจะเสื่อมความนิยมหรือไม่ ผู้นำจะอับโชคหรือไม่... 

คำทำนายจะเป็นจริงหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับตัวนายกรัฐมนตรี เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงการกระทำอยู่เหนือสิ่งอื่นใด


กำลังโหลดความคิดเห็น