“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
เมื่อใด-ที่ชาติมหาอำนาจได้ผู้นำที่ละโมบโลภมาก เข้ายึดกุมอำนาจรัฐ!
เมื่อนั้น-โลกจะไร้ซึ่งความยุติธรรม-ไร้ความสงบ-ไร้ความสุข อีกทั้งชาติใหญ่น้อยจะต้องเผชิญกับความอยุติธรรมในแทบทุกมิติทันที!!
สภาพการณ์ของโลกทั้งในอดีต-ปัจจุบัน กำลังเดินไปสู่หนทางแห่งหายนะ ด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่ละโมบโลภมากไม่รู้จักพอ จากผู้กุมอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ!!!
สงครามอินโดจีนในเวียดนาม-กัมพูชา-ลาว จึงเป็นอีกหนึ่งบทเรียน ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ต้องทุกข์-บาดเจ็บ-ล้มตาย เพื่อให้ผู้นำและกลุ่มทุนสามานย์ ของชาติมหาอำนาจได้สวาปามประโยชน์กันจนพุงกาง
ประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเนื้อที่ประมาณ 323,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 3 ใน 5 ของไทย ทิศเหนือติดกับมณฑลกวางสีและกวางตุ้งของจีน ทิศตะวันตกติดกับลาว ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกัมพูชา ทิศตะวันออกติดกับทะเลจีนใต้และอ่าว Tonkin ส่วนทิศใต้ติดกับอ่าวไทย
ดินแดนด้านตะวันออกของเวียดนามทั้งหมด ติดกับด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนล่าง ซึ่งเรียกกันว่าทะเลจีนใต้ (South China Sea) รูปร่างของประเทศเวียดนามจึง คล้ายกับตัว S อักษรโรมัน ประชากรเวียดนามกว่า 86 ล้านคน มักเปรียบประเทศของตนเหมือน“หาบข้าว”
เวียดนามเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตร และสินค้าประมงเป็นสำคัญ โดยเฉพาะส่งออกข้าวติดอันดับต้นๆของโลก ประมาณ 3-4 ล้านตันต่อปี ส่งออกพริกไทยดำ และมะม่วงหิมพานต์มากที่สุดในโลก ส่งออกกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลก ส่งออกยางพาราเป็นอันดับ 4 ของโลก และส่งออกน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย
นักล่าอาณานิคมฝรั่งเศสยึดประเทศเวียดนาม เพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าอุตสาหกรรม และเป็นแหล่งวัตถุดิบกับแรงงานราคาถูก และเพื่อส่งเสริมสินค้าของประเทศตน ฝรั่งเศสใช้เล่ห์ด้านภาษี ทำให้สินค้าของเวียดนาม รวมทั้งสินค้าจากประเทศอื่น ถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าสินค้าของประเทศฝรั่งเศส ดังนั้น ระบบภาษีของรัฐโดยส่วนใหญ่ จึงเก็บได้จากชาวเวียดนามทั้งสิ้น
ระบบอาณานิคมภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ได้ก่อเกิดอุตสาหกรรมขนาดเล็กมากมายในเวียดนาม เช่น การผลิตเบียร์ แก้ว กระเบื้อง ปูนซีเมนต์ ฯลฯ รวมทั้งธุรกิจค้าทรัพยากรธรรมชาติอันมั่งคั่ง ของเวียดนามไม่ว่าจะเป็นที่ดิน แร่ธาตุ ป่าไม้ ฯลฯ
ภาคใต้ของเวียดนาม ฝรั่งเศสได้ใช้แรงงานของชาวเวียดนาม เร่งการผลิตยางพาราเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุที่ยุคนั้นมีความต้องการด้านกิจการทางการทหาร และอุตสาหกรรมรถยนต์ ขณะที่ภาคเหนือของเวียดนาม ก็มีการพัฒนาอุตสาหกรรมหมืองแร่ ทั้งถ่านหิน ดีบุก สังกะสี ฯลฯ
ส่วนที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงนั้น ฝรั่งเศสปรับให้เป็นพื้นที่ผลิตข้าว โดยใช้ชาวนาเวียดนามให้ปลูกข้าวเพื่อให้ฝรั่งเศสเป็นคนส่งออก ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ชาวนารายย่อยของเวียดนาม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแต่ประการใดเลย แต่กลับทำให้อาชีพ“หลังสู้ฟ้า-หน้าสู้ดิน” ของชาวนาเวียดนาม ยากจนข้นแค้นลงไปอีก แถมต้องเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อ“โฮจิมินห์” นำกองกำลัง“เวียดมินห์” ลุกขึ้นทำสงครามอันชอบธรรม ลุกขึ้นต่อสู้ขับไล่ฝรั่งเศสผู้รุกรานที่ปล้นชาติเวียดนาม จึงได้รับการสนับสนุนจากชาวเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
ศึกสงครามที่สำคัญยิ่ง ซึ่งทำให้กองทัพอันทันสมัยของมหาอำนาจฝรั่งเศส ต้องยกธงขาวถอนทัพออกจากเวียดนามอย่างหมดรูป คือ “ศึกเดียนเบียนฟู” โดยกองทัพปฏิวัติคอมมิวนิสต์ชาตินิยมเวียดมินห์ ได้เปิดฉากการรบอันดุเดือด ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ.2497 (ค.ศ.1954)
เดียนเบียนฟู-อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอย 200 กิโลเมตร โดยฝรั่งเศสได้ตั้งฐานกำลังทหารไว้ ตัดเส้นทางเสบียงของเวียดมินห์ ที่เข้าสู่เวียดนามทางด้านราชอาณาจักรลาว ซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรของฝรั่งเศสในขณะนั้น
เป้าหมายทางการทหารของฝรั่งเศสนั้น หวังจะทำลายกองกำลังใหญ่ของเวียดมินห์ในจุดนี้ แต่ พลเอก“โว เหวียน ย๊าบ”ได้ใช้กำลัง 4 กองพล 1 กองพลหนัก และกำลังอิสระรวมกว่า 80,000 คน ปฏิบัติการลับสุดยอดในการขนปืนใหญ่ ปืนต่อสู้อากาศยาน และอาวุธนานาชนิด ผ่านถิ่นทุรกันดารขึ้นไปจัดวาง ตามจุดสำคัญต่างๆบนยอดเขา ที่มองเห็นที่มั่นของฝรั่งเศสอย่างชัดแจ้ง โดยฝรั่งเศสไม่รู้ระแคะระคายแม้แต่น้อย
จากนั้นกองกำลังเวียดมินห์ ก็ยิงถล่มปืนใหญ่ลงใส่ที่มั่นของฝรั่งเศสอย่างหนัก จนเกิดการรบในภาคพื้นดินขึ้นหลายระลอก เพราะฝรั่งเศสต้องการไล่กองกำลังเวียดมินห์ ลงจากยอดเขาเหนือหุบเบียนเดียฟูให้ได้..แต่ล้มเหลว..
นอกจากนั้นฝูงเครื่องบินรบของฝรั่งเศส ก็ทิ้งระเบิดถล่มใส่พื้นที่ของเวียดมินห์อย่างหนัก และส่งเสบียงและยุทโธปกรณ์ทางอากาศ เพื่อหวังช่วยกองกำลังฝรั่งเศส ที่ถูกปิดล้อมอยู่ในภาคพื้นดิน แต่ก็ถูกตอบโต้จากปืนต่อสู้อากาศยาน ของเวียดมินห์อย่างดุเดือดอยู่ตลอดเวลา
ที่เวียดมินห์สามารถต่อสู้ กับกองกำลังของฝรั่งเศส ทั้งภาคพื้นดินและทางอากาศได้ เพราะเวียดมินห์ใช้ยุทธการสงครามสนามเพลาะ ยืนหยัดปิดล้อมกองกำลังฝรั่งเศสนานถึง 2 เดือน จนในที่สุดกองกำลังเวียดมินห์ ก็สามารถรุกคืบเข้ายึดที่มั่น ของกองกำลังฝรั่งเศสได้เรื่อยๆ
ในที่สุด..กองกำลังส่วนใหญ่ ของชาติมหาอำนาจฝรั่งเศสผู้รุกราน ณ สนามรบเบียนเดียนฟู ก็ยอมจำนนยกธงขาวให้กับกองกำลังเวียดมินห์
การพ่ายศึกเดียนเบียนฟูครั้งนั้น ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องลาออก โดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “ปีแยร์ ม็อง-แต็ส-ฟร็องส์” ได้สนับสนุนให้ฝรั่งเศสถอนตัวออกจากประเทศในอินโดจีนทั้งหมด คือ ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
โดยเปิดโต๊ะเจรจากันที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนเกิดสนธิสัญญาสันติภาพเจนีวา ฝรั่งเศสยอมออกจากดินแดนอาณานิคมในอินโดจีนทั้งหมด กองกำลังของ“โฮจิมินห์” ได้คุมอำนาจในดินแดนทางภาคเหนือของเวียดนาม ส่วนทางภาคใต้เวียดนามนั้น ตกลงจะจัดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อให้ชาวเวียดนามกำหนดอนาคตของตนเอง
แต่แล้วการเลือกตั้งก็ไม่เกิดขึ้นจริง เพราะถูกมหาอำนาจอเมริกา ได้เข้ามาแทรกแซงยกเลิกไป เวียดนามถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ เกิดการสู้รบระหว่างรัฐบาลเวียดนามใต้ ที่มีอเมริกาเข้ามาร่วมรบเต็มตัว กับรัฐบาลเวียดนามเหนือ ที่นำโดย“โฮจิมินห์”อย่างดุเดือดอีกคำรบหนึ่ง
ชาวโลกเรียกสงครามนี้ว่า “สงครามอเมริกากับเวียดนาม” หรือสงครามระหว่างกองทัพอันเกรียงไกร ที่เต็มไปด้วยอาวุธอันทันสมัยของอเมริกา กับกองทัพคอมมิวนิสต์ชาตินิยมเวียดมินห์ ซึ่งเป็นกองทัพที่มีอาวุธด้อยประสิทธิภาพกว่า
แต่ประชาชนชาวเวียดนาม ได้สั่งสอน“อินทรีมะกัน” ผู้อหังการ์ ด้วยบทพิสูจน์ที่เป็นจริงว่า กองทัพและอาวุธที่เหนือกว่านั้น ถ้าถูกใช้เพื่อผู้นำและกลุ่มทุนสามานย์ ไปเที่ยวปล้นประเทศที่อ่อนแอกว่า ก็ใช่ว่าจะชนะได้ทุกครั้งเสมอไป
โดยกองทัพเวียดมินห์ภายใต้การนำของ“ลุงโฮ” ที่มีประชาชนชาวเวียดนามทั้งชาติ ได้ร่วมกันทำศึกสงครามกับผู้รุกราน ที่ไร้ความชอบธรรมอย่างมหาอำนาจอเมริกา ชนิดตาต่อตา-ฟันต่อฟันอีกครั้งหนึ่ง
งานนี้..ต้องยกย่องจิตใจ“ลุงโฮ”และชาวเวียดนาม ที่ชนะศึกมหาอำนาจฝรั่งเศสแล้ว แทนที่ประเทศจะพบสันติสุขกับสันติภาพ กลับต้องทำสงครามอย่างยืดเยื้อ กับผู้นำและกลุ่มทุนสามานย์ ที่ไม่รู้จักพออย่างมหาอำนาจอเมริกา..
สงครามเวียดนามนี้แหละ..ที่อเมริกาเจอศึกภายใน จนกลายเป็น”อินทรีปีกหัก”ไปเล้ย..
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
เมื่อใด-ที่ชาติมหาอำนาจได้ผู้นำที่ละโมบโลภมาก เข้ายึดกุมอำนาจรัฐ!
เมื่อนั้น-โลกจะไร้ซึ่งความยุติธรรม-ไร้ความสงบ-ไร้ความสุข อีกทั้งชาติใหญ่น้อยจะต้องเผชิญกับความอยุติธรรมในแทบทุกมิติทันที!!
สภาพการณ์ของโลกทั้งในอดีต-ปัจจุบัน กำลังเดินไปสู่หนทางแห่งหายนะ ด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่ละโมบโลภมากไม่รู้จักพอ จากผู้กุมอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ!!!
สงครามอินโดจีนในเวียดนาม-กัมพูชา-ลาว จึงเป็นอีกหนึ่งบทเรียน ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ต้องทุกข์-บาดเจ็บ-ล้มตาย เพื่อให้ผู้นำและกลุ่มทุนสามานย์ ของชาติมหาอำนาจได้สวาปามประโยชน์กันจนพุงกาง
ประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเนื้อที่ประมาณ 323,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 3 ใน 5 ของไทย ทิศเหนือติดกับมณฑลกวางสีและกวางตุ้งของจีน ทิศตะวันตกติดกับลาว ทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดกัมพูชา ทิศตะวันออกติดกับทะเลจีนใต้และอ่าว Tonkin ส่วนทิศใต้ติดกับอ่าวไทย
ดินแดนด้านตะวันออกของเวียดนามทั้งหมด ติดกับด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกตอนล่าง ซึ่งเรียกกันว่าทะเลจีนใต้ (South China Sea) รูปร่างของประเทศเวียดนามจึง คล้ายกับตัว S อักษรโรมัน ประชากรเวียดนามกว่า 86 ล้านคน มักเปรียบประเทศของตนเหมือน“หาบข้าว”
เวียดนามเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตร และสินค้าประมงเป็นสำคัญ โดยเฉพาะส่งออกข้าวติดอันดับต้นๆของโลก ประมาณ 3-4 ล้านตันต่อปี ส่งออกพริกไทยดำ และมะม่วงหิมพานต์มากที่สุดในโลก ส่งออกกาแฟเป็นอันดับ 2 ของโลก ส่งออกยางพาราเป็นอันดับ 4 ของโลก และส่งออกน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย
นักล่าอาณานิคมฝรั่งเศสยึดประเทศเวียดนาม เพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าอุตสาหกรรม และเป็นแหล่งวัตถุดิบกับแรงงานราคาถูก และเพื่อส่งเสริมสินค้าของประเทศตน ฝรั่งเศสใช้เล่ห์ด้านภาษี ทำให้สินค้าของเวียดนาม รวมทั้งสินค้าจากประเทศอื่น ถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าสินค้าของประเทศฝรั่งเศส ดังนั้น ระบบภาษีของรัฐโดยส่วนใหญ่ จึงเก็บได้จากชาวเวียดนามทั้งสิ้น
ระบบอาณานิคมภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ได้ก่อเกิดอุตสาหกรรมขนาดเล็กมากมายในเวียดนาม เช่น การผลิตเบียร์ แก้ว กระเบื้อง ปูนซีเมนต์ ฯลฯ รวมทั้งธุรกิจค้าทรัพยากรธรรมชาติอันมั่งคั่ง ของเวียดนามไม่ว่าจะเป็นที่ดิน แร่ธาตุ ป่าไม้ ฯลฯ
ภาคใต้ของเวียดนาม ฝรั่งเศสได้ใช้แรงงานของชาวเวียดนาม เร่งการผลิตยางพาราเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุที่ยุคนั้นมีความต้องการด้านกิจการทางการทหาร และอุตสาหกรรมรถยนต์ ขณะที่ภาคเหนือของเวียดนาม ก็มีการพัฒนาอุตสาหกรรมหมืองแร่ ทั้งถ่านหิน ดีบุก สังกะสี ฯลฯ
ส่วนที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงนั้น ฝรั่งเศสปรับให้เป็นพื้นที่ผลิตข้าว โดยใช้ชาวนาเวียดนามให้ปลูกข้าวเพื่อให้ฝรั่งเศสเป็นคนส่งออก ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ชาวนารายย่อยของเวียดนาม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแต่ประการใดเลย แต่กลับทำให้อาชีพ“หลังสู้ฟ้า-หน้าสู้ดิน” ของชาวนาเวียดนาม ยากจนข้นแค้นลงไปอีก แถมต้องเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ดังนั้น เมื่อ“โฮจิมินห์” นำกองกำลัง“เวียดมินห์” ลุกขึ้นทำสงครามอันชอบธรรม ลุกขึ้นต่อสู้ขับไล่ฝรั่งเศสผู้รุกรานที่ปล้นชาติเวียดนาม จึงได้รับการสนับสนุนจากชาวเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
ศึกสงครามที่สำคัญยิ่ง ซึ่งทำให้กองทัพอันทันสมัยของมหาอำนาจฝรั่งเศส ต้องยกธงขาวถอนทัพออกจากเวียดนามอย่างหมดรูป คือ “ศึกเดียนเบียนฟู” โดยกองทัพปฏิวัติคอมมิวนิสต์ชาตินิยมเวียดมินห์ ได้เปิดฉากการรบอันดุเดือด ตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤษภาคม พ.ศ.2497 (ค.ศ.1954)
เดียนเบียนฟู-อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอย 200 กิโลเมตร โดยฝรั่งเศสได้ตั้งฐานกำลังทหารไว้ ตัดเส้นทางเสบียงของเวียดมินห์ ที่เข้าสู่เวียดนามทางด้านราชอาณาจักรลาว ซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรของฝรั่งเศสในขณะนั้น
เป้าหมายทางการทหารของฝรั่งเศสนั้น หวังจะทำลายกองกำลังใหญ่ของเวียดมินห์ในจุดนี้ แต่ พลเอก“โว เหวียน ย๊าบ”ได้ใช้กำลัง 4 กองพล 1 กองพลหนัก และกำลังอิสระรวมกว่า 80,000 คน ปฏิบัติการลับสุดยอดในการขนปืนใหญ่ ปืนต่อสู้อากาศยาน และอาวุธนานาชนิด ผ่านถิ่นทุรกันดารขึ้นไปจัดวาง ตามจุดสำคัญต่างๆบนยอดเขา ที่มองเห็นที่มั่นของฝรั่งเศสอย่างชัดแจ้ง โดยฝรั่งเศสไม่รู้ระแคะระคายแม้แต่น้อย
จากนั้นกองกำลังเวียดมินห์ ก็ยิงถล่มปืนใหญ่ลงใส่ที่มั่นของฝรั่งเศสอย่างหนัก จนเกิดการรบในภาคพื้นดินขึ้นหลายระลอก เพราะฝรั่งเศสต้องการไล่กองกำลังเวียดมินห์ ลงจากยอดเขาเหนือหุบเบียนเดียฟูให้ได้..แต่ล้มเหลว..
นอกจากนั้นฝูงเครื่องบินรบของฝรั่งเศส ก็ทิ้งระเบิดถล่มใส่พื้นที่ของเวียดมินห์อย่างหนัก และส่งเสบียงและยุทโธปกรณ์ทางอากาศ เพื่อหวังช่วยกองกำลังฝรั่งเศส ที่ถูกปิดล้อมอยู่ในภาคพื้นดิน แต่ก็ถูกตอบโต้จากปืนต่อสู้อากาศยาน ของเวียดมินห์อย่างดุเดือดอยู่ตลอดเวลา
ที่เวียดมินห์สามารถต่อสู้ กับกองกำลังของฝรั่งเศส ทั้งภาคพื้นดินและทางอากาศได้ เพราะเวียดมินห์ใช้ยุทธการสงครามสนามเพลาะ ยืนหยัดปิดล้อมกองกำลังฝรั่งเศสนานถึง 2 เดือน จนในที่สุดกองกำลังเวียดมินห์ ก็สามารถรุกคืบเข้ายึดที่มั่น ของกองกำลังฝรั่งเศสได้เรื่อยๆ
ในที่สุด..กองกำลังส่วนใหญ่ ของชาติมหาอำนาจฝรั่งเศสผู้รุกราน ณ สนามรบเบียนเดียนฟู ก็ยอมจำนนยกธงขาวให้กับกองกำลังเวียดมินห์
การพ่ายศึกเดียนเบียนฟูครั้งนั้น ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องลาออก โดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “ปีแยร์ ม็อง-แต็ส-ฟร็องส์” ได้สนับสนุนให้ฝรั่งเศสถอนตัวออกจากประเทศในอินโดจีนทั้งหมด คือ ลาว กัมพูชา และเวียดนาม
โดยเปิดโต๊ะเจรจากันที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จนเกิดสนธิสัญญาสันติภาพเจนีวา ฝรั่งเศสยอมออกจากดินแดนอาณานิคมในอินโดจีนทั้งหมด กองกำลังของ“โฮจิมินห์” ได้คุมอำนาจในดินแดนทางภาคเหนือของเวียดนาม ส่วนทางภาคใต้เวียดนามนั้น ตกลงจะจัดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อให้ชาวเวียดนามกำหนดอนาคตของตนเอง
แต่แล้วการเลือกตั้งก็ไม่เกิดขึ้นจริง เพราะถูกมหาอำนาจอเมริกา ได้เข้ามาแทรกแซงยกเลิกไป เวียดนามถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ เกิดการสู้รบระหว่างรัฐบาลเวียดนามใต้ ที่มีอเมริกาเข้ามาร่วมรบเต็มตัว กับรัฐบาลเวียดนามเหนือ ที่นำโดย“โฮจิมินห์”อย่างดุเดือดอีกคำรบหนึ่ง
ชาวโลกเรียกสงครามนี้ว่า “สงครามอเมริกากับเวียดนาม” หรือสงครามระหว่างกองทัพอันเกรียงไกร ที่เต็มไปด้วยอาวุธอันทันสมัยของอเมริกา กับกองทัพคอมมิวนิสต์ชาตินิยมเวียดมินห์ ซึ่งเป็นกองทัพที่มีอาวุธด้อยประสิทธิภาพกว่า
แต่ประชาชนชาวเวียดนาม ได้สั่งสอน“อินทรีมะกัน” ผู้อหังการ์ ด้วยบทพิสูจน์ที่เป็นจริงว่า กองทัพและอาวุธที่เหนือกว่านั้น ถ้าถูกใช้เพื่อผู้นำและกลุ่มทุนสามานย์ ไปเที่ยวปล้นประเทศที่อ่อนแอกว่า ก็ใช่ว่าจะชนะได้ทุกครั้งเสมอไป
โดยกองทัพเวียดมินห์ภายใต้การนำของ“ลุงโฮ” ที่มีประชาชนชาวเวียดนามทั้งชาติ ได้ร่วมกันทำศึกสงครามกับผู้รุกราน ที่ไร้ความชอบธรรมอย่างมหาอำนาจอเมริกา ชนิดตาต่อตา-ฟันต่อฟันอีกครั้งหนึ่ง
งานนี้..ต้องยกย่องจิตใจ“ลุงโฮ”และชาวเวียดนาม ที่ชนะศึกมหาอำนาจฝรั่งเศสแล้ว แทนที่ประเทศจะพบสันติสุขกับสันติภาพ กลับต้องทำสงครามอย่างยืดเยื้อ กับผู้นำและกลุ่มทุนสามานย์ ที่ไม่รู้จักพออย่างมหาอำนาจอเมริกา..
สงครามเวียดนามนี้แหละ..ที่อเมริกาเจอศึกภายใน จนกลายเป็น”อินทรีปีกหัก”ไปเล้ย..