“สอดแนมการเมือง”
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
มหาตมะ คานธี ได้กล่าวถึง “มนุษย์” ผู้ละโมบโลภมากไว้ว่า
“ทรัพยากรในโลก มีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก แต่มีไม่เพียงพอ ที่จะหล่อเลี้ยงคนที่มีความโลภเพียงคนเดียว”
จริงแท้แน่นอนเลยล่ะ..วิกฤตบนโลกใบนี้ เกิดจากความไม่รู้จักพอของมนุษย์ทั้งสิ้น ถ้าค้นลึกลงไปถึงสงครามใหญ่น้อย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มักหนีไม่พ้น ต้นเหตุที่เกิดจากความโลภที่ไม่รู้จักพอ ทั้งเรื่องอำนาจ-ทรัพย์สินเงินทอง ฯลฯ
มนุษย์ทุกสังคมที่เห็นแก่ตัว จึงมักแอบอิงทั้งทางลับและเปิดเผย อยู่กับบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลาย เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น-เอาเปรียบสังคม-เอาเปรียบชาติ จนสังคมบางชาติเต็มไปด้วยการโกงทุกระดับ
แม้แต่สงครามโลกครั้งที่ 1 กับสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ล้วนเกิดจากผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งสิ้น
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความขัดแย้งของพวกนักล่าอาณานิคมยุโรป 2 ค่าย ระหว่างฝ่าย “จักรวรรดิ” ที่มีเยอรมนี-ออสเตรีย-อิตาลี กับฝ่าย“สัมพันธมิตร” ที่มี ฝรั่งเศส-อังกฤษ-รัสเซีย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2457 ( ค.ศ.1914 ) ถึง พ.ศ. 2461 ( ค.ศ.1918) โดยต้นเหตุเกิดจาก..
เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม-เกิดลัทธิชาตินิยม-เกิดลัทธิจักรวรรดินิยม โดยชาติมหาอำนาจในยุโรป ได้ใช้กองทัพที่เข้มแข็งกว่า รุกรานชาติอื่นที่อ่อนแอกว่านั่นเอง
สงครามโลกครั้งที่ 1 ตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ของไทย และไทยได้เข้าร่วมกับฝ่าย “สัมพันธมิตร” ซึ่งเป็นผู้ชนะสงครามในครั้งนั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งสองฝ่ายรบกันยืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปีกับอีก 4 เดือน มีทหารมากกว่า 70 ล้านคน มีส่วนร่วมในการสู้รบ สงครามครั้งนี้มีผู้บาดเจ็บ-สูญหาย-ล้มตายกว่า 40 ล้านคน
เมื่อสงครามยุติลง ฝ่ายไทยได้รับการยกเลิก“สัญญาบาวริ่ง” จากการช่วยเหลือของ ดร.ฟรานซิส บีแซร์ (พระยากัลยาณไมตรี) ได้รับเงินค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนสองล้านบาท ฯลฯ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง รัสเซียได้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เป็นรัฐคอมมิวนิสต์แห่งแรกของโลก!
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดจากปัญหาต่อเนื่องของรัฐมหาอำนาจ ที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ขัดแย้งในผลประโยชน์ จนต้องแก้ปัญหากันด้วยสงคราม ที่ยิ่งใหญ่และทำความเสียหายให้กับมวลมนุษยชาติ มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ทั้งยุโรป-แอฟริกาเหนือ-เอเชียตะวันออก-และมหาสมุทรแปซิฟิก เรียกว่าการสู้รบทางทหารเกิดขึ้นทุกทวีป มีการระดมทหารเข้าสู่สงครามกว่า 100 ล้านคน และยังใช้อาวุธที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นเข่นฆ่าผู้คนอีกด้วย
สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ.1939) ถึง ปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ.1945) ระหว่างฝ่าย“สัมพันธมิตร” ที่มีอังกฤษ-ฝรั่งเศส-สหภาพโซเวียต(รัสเซียเดิม)-จีน-สหรัฐอเมริกา ฝ่าย“อักษะ” มีเยอรมนี-อิตาลี-ญี่ปุ่น ต้นเหตุของสงครามโลกครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์ ที่ขัดกันของมหาอำนาจอีกตามเคย
นั่นคือ มหาอำนาจที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่พอใจกับสนธิสัญญาต่างๆ ที่ทำให้ชาติตนต้องสูญเสียผลประโยชน์ ผนวกกับลัทธิชาตินิยมและเผด็จการทหาร ได้แผ่กว้างไปในสังคมโลกหลายแห่ง ทั้งเยอรมนี-อิตาลี-ญี่ปุ่น เป็นต้น
สงครามในยุโรปสิ้นสุดเมื่อเยอรมนียอมจำนน ในวันที่ 8 พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ.1945)
สงครามในเอเชียยุติลงเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ ในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน หลังถูกอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ LITTLE VOY ลงในเมืองฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม 2488 และทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ FAT MAN ที่ใหญ่และรุนแรงกว่า ลงในเมืองนางาซากิ ในวันที่ 9 สิงหาคม 2488
ผู้เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณูทั้ง 2 เมือง ตามที่บันทึกไว้ประมาณ 243,692 คน แต่ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน มีรายชื่อผู้เสียชีวิตถูกจารึกเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 คน โดยแบ่งเป็นเมืองฮิโรชิมา 258,310 คน และเมืองนางาซากิ 145,984 คน
บันทึกความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของทั้งสองฝ่ายได้ระบุไว้ว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร-ทหารเสียชีวิต 17 ล้านคน พลเรือนเสียชีวิต 33 ล้านคน รวม 50 ล้านคน ส่วนฝ่ายอักษะ-ทหารเสียชีวิต 8 ล้านคน พลเรือนเสียชีวิต 4 ล้านคน รวม 12 ล้านคน โดยมีการประเมินว่า ผู้คนต้องเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ราว 60 ล้านคน
รวมแล้วสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ได้คร่าชีวิติผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นับ 100 ล้านคน!
ผู้คนที่ไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้จักกัน ผู้คนที่ไม่เคยเคียดแค้นเป็นการส่วนตัวกัน แต่กลับต้องใช้อาวุธสงครามร้ายแรง เข้าห้ำหั่นเข่นฆ่ากันอย่างหฤโหด กับผลประโยชน์ที่มิใช่ของชาติ และประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่เป็นเรื่องของผู้นำชาติ และกลุ่มทุนสามานย์เพียงหยิบมือเดียว ที่ไม่รู้จักพอในอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง จีนได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นประเทศคอมมิวนิสต์อีกแห่งหนึ่งของโลก!
ความจริงแห่งประวัติศาสตร์โลกในอดีต ได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า หากชาติและโลกมีคนชั่วขึ้นปกครอง ไม่ว่าจะยึดอำนาจรัฐด้วยการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการทหาร ล้วนส่งผลร้ายและเป็นอันตรายต่อชาติและโลกทั้งสิ้น
เพราะผู้นำชาติที่ชั่วช้า จะสมคบกับกลุ่มทุนสามานย์ แสวงหาแต่ผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้องโดยมิรู้จักพอ โดยใช้อำนาจรัฐไปสู่การคอร์รัปชั่นโกงชาติ และใช้กำลังทหารกับการครอบงำทางการเมือง ออกไปกอบโกยผลประโยชน์ และทรัพยากรของชาติที่อ่อนแอกว่า
ส่งผลให้ชาติและสังคมโลกไร้ความยุติธรรม เกิดการเอารัดเอาเปรียบของคนรวยต่อคนจน เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน เกิดสงครามใหญ่น้อยไปทุกหย่อมหญ้า ทำให้สังคมไร้ความสงบศานตินั่นคือ สภาพวิกฤตในหลายชาติของสังคมโลกในวันนี้!
แต่เรื่องชั่วร้ายเช่นนี้มิได้ยุติลง เพราะชาติมหาอำนาจของโลก ยังคงมีผู้นำชาติที่ยอมตน ไปรับใช้กลุ่มทุนสามานย์อยู่ตลอดเวลา ดังกรณีสงครามที่เกิดขึ้นในยุคนี้ เช่น
สงครามอธรรมของมหาอำนาจ ที่ทำตัวเป็นนักล่าทรัพยากรชาติที่อ่อนแอกว่า บุกเข้ายึดครองชาติอื่นอย่างชั่วช้า ดังในเวียดนาม-กัมพูชา-ลาว โดยเฉพาะสงครามในเวียดนาม มหาอำนาจได้ผลัดกันเข้าไปยึดครอง และกอบโกยทรัพยากรกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเข่นฆ่าคนเวียดนามอย่างป่าเถื่อน
แต่ชาวเวียดนามภายใต้การนำของ“ลุงโฮ-โฮจิมินห์” ได้แสดงออกซึ่งความเป็นนักสู้ผู้รักชาติ อย่างแท้จริงและกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง โดยชาวเวียดนามได้สั่งสอนมหาอำนาจ ทั้งฝรั่งเศสและอเมริกาให้รู้ว่า สงครามอธรรมต้องพ่ายแพ้สงครามเป็นธรรม
สนามรบในเวียดนามที่เดียนเบียนฟู กองทัพเวียดนามที่มีประชาชนสนับสนุน ได้ช่วยกันขนปืนใหญ่ขึ้นสู่เขาสูงด้วยความมุมานะจนสำเร็จ การโจมตีป้อมปราการใหญ่ของทหารฝรั่งเศส จึงประสบชัยชนะอย่างงดงาม จนฝรั่งเศสต้องยอมยกธงขาว ล่าถอยกลับสู่เมืองน้ำหอมแทบไม่ทัน
แต่เพราะประเทศเวียดนามมีทรัพยากร อันมีค่าทางการเกษตรและอุตสาหกรรมมากมาย โดยเฉพาะพลังงานธรรมชาติอย่างก๊าซและน้ำมัน ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง ของกลุ่มทุนสามานย์ในอเมริกา
ทำให้ชาวเวียดนามที่เพิ่งชนะสงครามกับฝรั่งเศส ต้องหันมาสู้รบกับอเมริกา ที่ได้ก้าวเข้ามาทำสงครามกับเวียดนาม ต่อจากประเทศฝรั่งเศสทันที
สงครามที่มีกลุ่มทุนสามานย์ ที่ไม่รู้จักพออยู่เบื้องหลังจึงระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงในเวียดนาม!!!
โดย “ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
มหาตมะ คานธี ได้กล่าวถึง “มนุษย์” ผู้ละโมบโลภมากไว้ว่า
“ทรัพยากรในโลก มีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก แต่มีไม่เพียงพอ ที่จะหล่อเลี้ยงคนที่มีความโลภเพียงคนเดียว”
จริงแท้แน่นอนเลยล่ะ..วิกฤตบนโลกใบนี้ เกิดจากความไม่รู้จักพอของมนุษย์ทั้งสิ้น ถ้าค้นลึกลงไปถึงสงครามใหญ่น้อย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน มักหนีไม่พ้น ต้นเหตุที่เกิดจากความโลภที่ไม่รู้จักพอ ทั้งเรื่องอำนาจ-ทรัพย์สินเงินทอง ฯลฯ
มนุษย์ทุกสังคมที่เห็นแก่ตัว จึงมักแอบอิงทั้งทางลับและเปิดเผย อยู่กับบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลาย เพื่อเอาเปรียบผู้อื่น-เอาเปรียบสังคม-เอาเปรียบชาติ จนสังคมบางชาติเต็มไปด้วยการโกงทุกระดับ
แม้แต่สงครามโลกครั้งที่ 1 กับสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ล้วนเกิดจากผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองทั้งสิ้น
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความขัดแย้งของพวกนักล่าอาณานิคมยุโรป 2 ค่าย ระหว่างฝ่าย “จักรวรรดิ” ที่มีเยอรมนี-ออสเตรีย-อิตาลี กับฝ่าย“สัมพันธมิตร” ที่มี ฝรั่งเศส-อังกฤษ-รัสเซีย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2457 ( ค.ศ.1914 ) ถึง พ.ศ. 2461 ( ค.ศ.1918) โดยต้นเหตุเกิดจาก..
เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม-เกิดลัทธิชาตินิยม-เกิดลัทธิจักรวรรดินิยม โดยชาติมหาอำนาจในยุโรป ได้ใช้กองทัพที่เข้มแข็งกว่า รุกรานชาติอื่นที่อ่อนแอกว่านั่นเอง
สงครามโลกครั้งที่ 1 ตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 ของไทย และไทยได้เข้าร่วมกับฝ่าย “สัมพันธมิตร” ซึ่งเป็นผู้ชนะสงครามในครั้งนั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งสองฝ่ายรบกันยืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปีกับอีก 4 เดือน มีทหารมากกว่า 70 ล้านคน มีส่วนร่วมในการสู้รบ สงครามครั้งนี้มีผู้บาดเจ็บ-สูญหาย-ล้มตายกว่า 40 ล้านคน
เมื่อสงครามยุติลง ฝ่ายไทยได้รับการยกเลิก“สัญญาบาวริ่ง” จากการช่วยเหลือของ ดร.ฟรานซิส บีแซร์ (พระยากัลยาณไมตรี) ได้รับเงินค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนสองล้านบาท ฯลฯ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง รัสเซียได้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เป็นรัฐคอมมิวนิสต์แห่งแรกของโลก!
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดจากปัญหาต่อเนื่องของรัฐมหาอำนาจ ที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ขัดแย้งในผลประโยชน์ จนต้องแก้ปัญหากันด้วยสงคราม ที่ยิ่งใหญ่และทำความเสียหายให้กับมวลมนุษยชาติ มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ทั้งยุโรป-แอฟริกาเหนือ-เอเชียตะวันออก-และมหาสมุทรแปซิฟิก เรียกว่าการสู้รบทางทหารเกิดขึ้นทุกทวีป มีการระดมทหารเข้าสู่สงครามกว่า 100 ล้านคน และยังใช้อาวุธที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นเข่นฆ่าผู้คนอีกด้วย
สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ.1939) ถึง ปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ.1945) ระหว่างฝ่าย“สัมพันธมิตร” ที่มีอังกฤษ-ฝรั่งเศส-สหภาพโซเวียต(รัสเซียเดิม)-จีน-สหรัฐอเมริกา ฝ่าย“อักษะ” มีเยอรมนี-อิตาลี-ญี่ปุ่น ต้นเหตุของสงครามโลกครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์ ที่ขัดกันของมหาอำนาจอีกตามเคย
นั่นคือ มหาอำนาจที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่พอใจกับสนธิสัญญาต่างๆ ที่ทำให้ชาติตนต้องสูญเสียผลประโยชน์ ผนวกกับลัทธิชาตินิยมและเผด็จการทหาร ได้แผ่กว้างไปในสังคมโลกหลายแห่ง ทั้งเยอรมนี-อิตาลี-ญี่ปุ่น เป็นต้น
สงครามในยุโรปสิ้นสุดเมื่อเยอรมนียอมจำนน ในวันที่ 8 พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ.1945)
สงครามในเอเชียยุติลงเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ ในวันที่ 15 สิงหาคม ปีเดียวกัน หลังถูกอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ LITTLE VOY ลงในเมืองฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม 2488 และทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ FAT MAN ที่ใหญ่และรุนแรงกว่า ลงในเมืองนางาซากิ ในวันที่ 9 สิงหาคม 2488
ผู้เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณูทั้ง 2 เมือง ตามที่บันทึกไว้ประมาณ 243,692 คน แต่ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน มีรายชื่อผู้เสียชีวิตถูกจารึกเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 คน โดยแบ่งเป็นเมืองฮิโรชิมา 258,310 คน และเมืองนางาซากิ 145,984 คน
บันทึกความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของทั้งสองฝ่ายได้ระบุไว้ว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร-ทหารเสียชีวิต 17 ล้านคน พลเรือนเสียชีวิต 33 ล้านคน รวม 50 ล้านคน ส่วนฝ่ายอักษะ-ทหารเสียชีวิต 8 ล้านคน พลเรือนเสียชีวิต 4 ล้านคน รวม 12 ล้านคน โดยมีการประเมินว่า ผู้คนต้องเสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ราว 60 ล้านคน
รวมแล้วสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ได้คร่าชีวิติผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นับ 100 ล้านคน!
ผู้คนที่ไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้จักกัน ผู้คนที่ไม่เคยเคียดแค้นเป็นการส่วนตัวกัน แต่กลับต้องใช้อาวุธสงครามร้ายแรง เข้าห้ำหั่นเข่นฆ่ากันอย่างหฤโหด กับผลประโยชน์ที่มิใช่ของชาติ และประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่เป็นเรื่องของผู้นำชาติ และกลุ่มทุนสามานย์เพียงหยิบมือเดียว ที่ไม่รู้จักพอในอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง จีนได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นประเทศคอมมิวนิสต์อีกแห่งหนึ่งของโลก!
ความจริงแห่งประวัติศาสตร์โลกในอดีต ได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า หากชาติและโลกมีคนชั่วขึ้นปกครอง ไม่ว่าจะยึดอำนาจรัฐด้วยการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะใช้อำนาจเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการทหาร ล้วนส่งผลร้ายและเป็นอันตรายต่อชาติและโลกทั้งสิ้น
เพราะผู้นำชาติที่ชั่วช้า จะสมคบกับกลุ่มทุนสามานย์ แสวงหาแต่ผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้องโดยมิรู้จักพอ โดยใช้อำนาจรัฐไปสู่การคอร์รัปชั่นโกงชาติ และใช้กำลังทหารกับการครอบงำทางการเมือง ออกไปกอบโกยผลประโยชน์ และทรัพยากรของชาติที่อ่อนแอกว่า
ส่งผลให้ชาติและสังคมโลกไร้ความยุติธรรม เกิดการเอารัดเอาเปรียบของคนรวยต่อคนจน เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน เกิดสงครามใหญ่น้อยไปทุกหย่อมหญ้า ทำให้สังคมไร้ความสงบศานตินั่นคือ สภาพวิกฤตในหลายชาติของสังคมโลกในวันนี้!
แต่เรื่องชั่วร้ายเช่นนี้มิได้ยุติลง เพราะชาติมหาอำนาจของโลก ยังคงมีผู้นำชาติที่ยอมตน ไปรับใช้กลุ่มทุนสามานย์อยู่ตลอดเวลา ดังกรณีสงครามที่เกิดขึ้นในยุคนี้ เช่น
สงครามอธรรมของมหาอำนาจ ที่ทำตัวเป็นนักล่าทรัพยากรชาติที่อ่อนแอกว่า บุกเข้ายึดครองชาติอื่นอย่างชั่วช้า ดังในเวียดนาม-กัมพูชา-ลาว โดยเฉพาะสงครามในเวียดนาม มหาอำนาจได้ผลัดกันเข้าไปยึดครอง และกอบโกยทรัพยากรกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเข่นฆ่าคนเวียดนามอย่างป่าเถื่อน
แต่ชาวเวียดนามภายใต้การนำของ“ลุงโฮ-โฮจิมินห์” ได้แสดงออกซึ่งความเป็นนักสู้ผู้รักชาติ อย่างแท้จริงและกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง โดยชาวเวียดนามได้สั่งสอนมหาอำนาจ ทั้งฝรั่งเศสและอเมริกาให้รู้ว่า สงครามอธรรมต้องพ่ายแพ้สงครามเป็นธรรม
สนามรบในเวียดนามที่เดียนเบียนฟู กองทัพเวียดนามที่มีประชาชนสนับสนุน ได้ช่วยกันขนปืนใหญ่ขึ้นสู่เขาสูงด้วยความมุมานะจนสำเร็จ การโจมตีป้อมปราการใหญ่ของทหารฝรั่งเศส จึงประสบชัยชนะอย่างงดงาม จนฝรั่งเศสต้องยอมยกธงขาว ล่าถอยกลับสู่เมืองน้ำหอมแทบไม่ทัน
แต่เพราะประเทศเวียดนามมีทรัพยากร อันมีค่าทางการเกษตรและอุตสาหกรรมมากมาย โดยเฉพาะพลังงานธรรมชาติอย่างก๊าซและน้ำมัน ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง ของกลุ่มทุนสามานย์ในอเมริกา
ทำให้ชาวเวียดนามที่เพิ่งชนะสงครามกับฝรั่งเศส ต้องหันมาสู้รบกับอเมริกา ที่ได้ก้าวเข้ามาทำสงครามกับเวียดนาม ต่อจากประเทศฝรั่งเศสทันที
สงครามที่มีกลุ่มทุนสามานย์ ที่ไม่รู้จักพออยู่เบื้องหลังจึงระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงในเวียดนาม!!!