ASTV ผู้จัดการรายวัน- ศาลอาญาจำคุกคนละ 17 ปี “กำนันเซี้ย-ภรรยา” บุกรุกที่ดินราชพัสดุใน จ.กาญจนบุรีกว่า 100 ไร่ แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือติดคุก 10 ปี 16 เดือน
วานนี้ (24 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 710 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ ( 24 มี.ค.) ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีกรุกที่ดิน หมายเลขดำ อ.4849/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี้ยะ อายุ 72 ปี อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ และนางเขมพร ต่างใจเย็น อายุ 64 ปี ภรรยา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกและยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในความครอบครองดูแลของ รัฐ เหตุเกิดที่ ต.ช่องด่านและ ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมาย.ที่ดิน มาตรา 9 และ 108 ทวิ และให้จำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากที่ดินพิพาทด้วย
อัยการโจทก์นำคดียื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2554 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 29 พ.ย. 2544 - 8 ก.พ. 2545 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกและยึดถือ ครอบครองที่ดิน ของรัฐ มากกว่า 50 ไร่ ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ จ.กาญจนบุรี กรมธนารักษ์ โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และกองทัพบกมีหน้าที่ดูแลรักษาเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหารโดยเฉพาะ โดยแผ้วถางป่าและไถปรับพื้นที่ทำถนน สร้างบ้านพักอาศัย บ้านพักคนงานและคอกปศุสัตว์ในที่ดินเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ โดยไม่มีสิทธิและไม่ได้รับอนุญาต ที่หมู่ 2 ต.ช่องด่านและหมู่ที่ 2 ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี
เหตุเกิดที่หมู่ที่ 2 ต. ช่องด่าน ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ทวิ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธต่อสู้คดีมาโดยตลอด ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาทดังกล่าว
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองได้ เข้ายึด ถือครองที่ดินสาธารณะประโยชน์ โดยใช้ชื่อ “เขมประชา ฟาร์ม ”โดยเป็นชื่อนำของจำเลยทั้งสอง เพื่อแสดงออกต่อบุคคลทั่วไปว่าจำเลย เป็นเจ้าของ และได้ เข้าครอบครองในที่ดินพิพาท นอกจากนี้ฝ่ายโจทก์ ยังมีพยานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับการถ่ายภาพทางอากาศ เข้าเบิกความยืนยันว่า มีการเข้ายึดครองที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1) และมาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ รวม 6 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี เป็น 12 ปี ฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี เป็น 3 ปี และฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี เป็น 2 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 17 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 11 ปี 4 เดือน ต่อมาทนายความจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 1 ล้านบาทและสมุดบัญชีเงินฝาก เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตโดยตีราคาประกันคนละ 1.1 ล้านบาท .
วานนี้ (24 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 710 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ ( 24 มี.ค.) ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีกรุกที่ดิน หมายเลขดำ อ.4849/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายประชา โพธิพิพิธ หรือกำนันเซี้ยะ อายุ 72 ปี อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ และนางเขมพร ต่างใจเย็น อายุ 64 ปี ภรรยา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกและยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐในความครอบครองดูแลของ รัฐ เหตุเกิดที่ ต.ช่องด่านและ ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมาย.ที่ดิน มาตรา 9 และ 108 ทวิ และให้จำเลยทั้งสองกับบริวารออกจากที่ดินพิพาทด้วย
อัยการโจทก์นำคดียื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2554 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 29 พ.ย. 2544 - 8 ก.พ. 2545 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบุกรุกและยึดถือ ครอบครองที่ดิน ของรัฐ มากกว่า 50 ไร่ ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ จ.กาญจนบุรี กรมธนารักษ์ โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และกองทัพบกมีหน้าที่ดูแลรักษาเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหารโดยเฉพาะ โดยแผ้วถางป่าและไถปรับพื้นที่ทำถนน สร้างบ้านพักอาศัย บ้านพักคนงานและคอกปศุสัตว์ในที่ดินเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ โดยไม่มีสิทธิและไม่ได้รับอนุญาต ที่หมู่ 2 ต.ช่องด่านและหมู่ที่ 2 ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี
เหตุเกิดที่หมู่ที่ 2 ต. ช่องด่าน ต.หลุมรัง อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี และที่อื่นเกี่ยวพันกัน จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ทวิ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธต่อสู้คดีมาโดยตลอด ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาทดังกล่าว
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองได้ เข้ายึด ถือครองที่ดินสาธารณะประโยชน์ โดยใช้ชื่อ “เขมประชา ฟาร์ม ”โดยเป็นชื่อนำของจำเลยทั้งสอง เพื่อแสดงออกต่อบุคคลทั่วไปว่าจำเลย เป็นเจ้าของ และได้ เข้าครอบครองในที่ดินพิพาท นอกจากนี้ฝ่ายโจทก์ ยังมีพยานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ มีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับการถ่ายภาพทางอากาศ เข้าเบิกความยืนยันว่า มีการเข้ายึดครองที่ดินดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1) และมาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ รวม 6 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี เป็น 12 ปี ฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี เป็น 3 ปี และฐานร่วมกันเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี เป็น 2 ปี รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 17 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 11 ปี 4 เดือน ต่อมาทนายความจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดจำนวน 1 ล้านบาทและสมุดบัญชีเงินฝาก เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตโดยตีราคาประกันคนละ 1.1 ล้านบาท .