xs
xsm
sm
md
lg

ไพบูลย์ชงกม.จัดทรัพย์สินวัด หลวงปู่ฉะสมเด็จช่วง สร้างภาพลาออก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

กก.ปฏิรูปพุทธศาสนา เตรียมส่งรายงานให้ สปช. ถก 24 มี.ค. ดันร่าง พ.ร.บ.จัดการทรัพย์สินวัด-พระ แก้ ป.แพ่ง ให้รายได้ตอนอยู่ในสมณเพศตกเป็นของวัด พร้อมแก้ กม.สงฆ์ ปฏิรูปทั้งประเทศ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ระบุไม่เกินคาด "สมเด็จวัดปากน้ำ" เล่นมุกหนีตาย ลาออก 3 ตําแหน่งทางการปกครอง ลดแรงกดดันสังคม ย้อนถาม อ้างอายุมาก ต้องการวางภาระ แล้วตำแหน่งกรรมการมหาเถระ ตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาส เป็นภาระไหม

นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า ทางคณะกรรมการฯ ได้ส่งรายงาน เรื่องรายงานผลการพิจารณาศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ต่อ สปช. แล้ว เบื้องต้นคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของ สปช. ได้ในวันที่ 24 มี.ค. นี้

สำหรับประเด็นสำคัญคือ การศึกษาของคณะกรรมการฯเป็นไปตามกรอบความเห็นปฏิรูปประเทศไทย ด้านอื่นๆของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ระบุว่า ต้องมีการส่งเสริมให้ศานาเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาคน สังคม และประเทศชาติให้มีความมั่นคง จากการประชุมหารือกันจำนวน 5 ครั้ง พบ 4 ปัญหาสำคัญ คือ

1. ทรัพย์สินของวัดหรือของพระสงฆ์ที่ไม่มีการตรวจสอบ หรือการเปิดเผยทรัพย์สิน จนทำให้พระสงฆ์จำนวนมากมุ่งแสวงประโยชน์เข้าสู่ตนเองมากกว่าศึกธรรม และปฏิบัติธรรมตามแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

2. ปัญหาของสงฆ์ที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย จนกลายเป็นความเสื่อมศรัทธา ทั้งนี้มีสาเหตุจากปัญหาการปกครองของคณะสงฆ์ ที่เป็นแบบรวมศูนย์ และ การศึกษาคณะสงฆ์

3. การทำให้พระธรรมวินัยให้วิปริต และการประพฤติปฏิบัติวิปริตจากพระธรรมวินัย เช่น กรณีของวัดพระธรรมกาย ที่มีแนวทางคำสอนที่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัยที่ร้ายแรง โดยชักจูงประชาชนให้เชื่อว่า บุญ คือ สินค้า รวมถึงยังมีพฤติกรรมรับเงินบริจาคที่มาโดยมิชอบ ดังนั้น ประเด็นที่เกิดขึ้นต้องมีการตั้งคณะกรรมการ เพื่อชำระการปฏิบัติที่เพี้ยนจากพระธรรมวินัย

4.ฝ่ายอาณาจักรต้องสนับสนุน ปกป้อง คุ้มครองกิจการของฝ่ายศาสจักร โดยการจัดโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ ที่มีความคล่องตัว
นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า ทางคณะกรรมการฯ ยังได้เสนอข้อเสนอแนะ เพื่อการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสตร์ ต่อสปช. ดังนี้ คือ

1. ให้มีการเสนอร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของวัดและพระภิกษุ โดยอย่างน้อยต้องมีกลไกหลักในการดำเนินงาน คือการจัดทำงบบัญชีทรัพย์สินของวัด, ทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ รวมถึงผลประโยชน์อื่นที่ได้มาจากการดำเนินงานภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ ย่อมตกเป็นของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคล พระสงฆ์ หรือวัดใด , การบริหารจัดการทรัพย์สิน เงินทอง รายได้ ของวัดและพระ ควรให้พุทธบริษัท 4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และ อุบาสิกา มีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ที่กำหนดให้ทรัพย์สินของพระภิกษุ ที่ได้มาระหว่างอยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพ ให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นแต่พระภิกษุนั้น จะจำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิต หรือโดยพินัยกรรม เพื่ออุดช่องว่างทางกฎหมาย และให้เป็นไปตามธรรมวินัย โดยให้ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างเป็นพระภิกษะให้ตกเป็นของวัด นับตั้งแต่ที่ได้มา และไม่สามารถจำหน่าย โอน หรือ ทำพินัยกรรมยกให้บุคคลอื่นได้

2. เสนอให้แก้กฎหมายมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 พ.ศ. 2541 ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ หรือ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ในสาระสำคัญ คือ การกระจายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์ แทนการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ โดยคณะสงฆ์ที่อยู่ในวัดและพุทธศาสนิกชนรอบวัดร่วมกันดูแลและกิจการพุทธศาสนา รวมถึงปฏิรูปให้พระสงฆ์ทั่วประเทศ มีส่วนร่วมแสดงความเห็นและร่วมกำหนดนโยบายบริหารและกระจายอำนาจจากระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ขณะที่การแต่งตั้งถอดถอนเจ้าอาวาส ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย

3. ต้องมีกลไกนำหลักปฏิบัติตามพุทธบัญญัติที่ทรงไว้ซึ่งความดี ถูกต้อง และบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนามาปฏิบัติ เพื่อไม่ให้มีการบิดเบือนหรือแอบอ้างพระธรรมวินัย

4. ปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันเหตุการณ์ โดยราชการต้องให้ความสำคัญด้านการศึกษาของคณะสงฆ์ด้วย ทั้งนี้ พบว่า การศึกษาของคณะสงฆ์ โดยเฉพาะศึกษาปริยัติธรรม , แผนกบาลี และแผนกธรรมไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขทำให้ค่านิยมในหมู่พระภิกษุ สามเณร และเยาวชนลดลง

** "หลวงปู่ฯ"ถามแทงใจ"สมเด็จช่วง"

หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) หัวข้อ "หรือว่าแผนยอมคืน ยอมจ่าย ยอมเจ็บ จักได้ผล" สืบเนื่องจากกรณีที่ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ลาออก 3 ตำแหน่งสำคัญทางการปกครองคณะสงฆ์ ตามข้อความดังนี้

"เห็นข่าวพระมหารัชมังคลาจารย์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ ซึ่งเป็นตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ งานพระธรรมทูต และ ตำแหน่งประธานพระธรรมจาริกภายในประเทศ ด้วยวาจา

เป็นสิ่งที่ไม่เกินคาด เพราะพวกตระกูลธรรมกาย มักจะใช้มุกนี้เป็นยุทธศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด และเพื่อลดแรงเสียดทานจากสังคมที่รุมกระหน่ำ บีบคั้น

เริ่มจากนายธัมมชโย หรือ นายไชยบูลย์ อดีตเจ้าสำนักวัดพระธรรมกาย ต้องยอมจ่ายคืนเงิน ที่ดิน และทรัพย์สิน ที่ยักยอกจากวัดนำมาเป็นสมบัติของตน

พอสมเด็จพระสังฆราชจับผิดได้ สังคมบีบคั้น กฎหมายบ้านเมืองจะเล่นงาน เห็นท่าว่าจะไม่รอดแน่ จึงยอมคืนเงิน ที่ดิน ทรัพย์สิน กลับสู่วัด จนนำมาซึ่งการตัดสินของมติมหาเถระว่า ได้คืนทรัพย์แล้ว ไม่มีเจตนา ถือว่า นายธัมมชโย นายไชยบูลย์ ไม่ผิด เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2542-43

ต่อมาปี 2558 เกิดคดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น โดยมีไวยาวัจกรของวัดพระธรรมกาย คือนายศุภชัย ศรีศุภอักษร เป็นประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ด้วยการบริหารเงินสูญหายไป 3 หมื่นกว่าล้าน เมื่อมีการสอบเส้นทางการเงิน ปรากฏว่า มีเงินจำนวนหนึ่งเข้าไปอยู่ในความครอบครองของวัดพระธรรมกาย นายธัมมชโย และบริวาร ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้าน โดยเฉพาะเช็คของสหกรณ์ฯ ที่สั่งจ่ายให้ในนามของ นายธัมมชโย มีไม่ต่ำกว่า 700 กว่าล้าน

กลางปี 57 ฉันและพี่น้องสมาชิก เดินทางเข้าไปพบเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ขอให้ไปช่วยเจรจากับ นายธัมมชโย ว่า ให้กรุณาคืนเงินเหล่านั้นมาให้แก่สมาชิกสหกรณ์ด้วย

แต่กลับได้รับคำตอบแบบ ช้าๆ ชัดๆ ว่า เงินใช้ไปหมดแล้ว ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องร้องเอา พอมีการร้องเรียนให้รัฐเข้ามาช่วยตรวจสอบ กลายเป็นที่รับรู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง เกิดกระแสสังคมบีบคั้น จนนำมาซึ่งการยินยอมคืนเงิน 600 กว่าล้าน แต่ก็มีข้อแม้ว่า ต้องถอนแจ้งความ ถอนฟ้องทั้งแพ่ง และอาญา

เวลาต่อมา พุทธะอิสระ รุกไล่ บีบเอาผิดต่อบุคคลที่ออกมาปกป้องธรรมกายที่สอนผิด เจ้าสำนักเป็นปาราชิก และเสนอชื่อขอพระราชทานสมณศักดิ์ อีกทั้งผู้ที่ปกป้องธรรมกาย และนายธัมมชโย กลุ่มนี้ ล้วนมีผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวเนื่องกับธรรมกายอย่างเหนียวแน่น ในที่สุดจึงต้องนำเรื่องขึ้นฟ้องร้อง ขอพึ่งบารมีศาลสถิตยุติธรรม
3 วันต่อมา ภิกษุอุปัชฌาย์ของธัมมชโย จึงประกาศลาออกจากตำแหน่งปกครองหนเหนือ และตำแหน่งหัวหน้าคณะธรรมทูต และธรรมจาริก เพื่อลดแรงกดดัน เป็นการยอมถอน ยอมเจ็บ เพื่อไม่ให้ตนเองต้องตาย ตามกลอุบายที่ศิษย์รัก เจ้าสำนักวัดธรรมกาย กระทำสำเร็จมาแล้ว

งานนี้ดูจะมีผลในเชิงบวก แก่พวกเผ่าพันธุ์ธรรมกายมากพอสมควร นอกจากจะช่วยลดกระแสกดดันจากสังคมแล้ว ยังสามารถสร้างแรงจูงใจให้สังคมเห็นใจ ว่าธัมมชโย ก็ยอมคืนเงินแล้ว สมเด็จวัดปากน้ำ ก็ยอมลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะปกครองแล้ว
แล้วพุทธะอิสระ ทำไมยังจะรุกไล่จองเวรพวกธรรมกาย และมหาเถระอยู่อีกทำไม จากภาพพระเอกที่สังคมมองดูดีในการออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องพระธรรมวินัย พระพุทธศาสนา กลับจะกลายเป็นผู้หยาบคาย โหดร้าย ไม่มีเมตตา ไม่รู้จักให้อภัย พุทธะอิสระจะกลายเป็นมหาโจรไปในทันที

ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ฉันเตรียมใจยอมรับมาตั้งแต่เริ่มออกไปสู้อยู่ที่เวทีแจ้งวัฒนะแล้ว ด้วยความสัตย์ ชั่วชีวิตฉันไม่เคยคิดจะเป็นพระเอก อยู่ให้ใครไหว้ ขอแค่ไหว้ตนเองได้อย่างภาคภูมิ แม้คนทั้งแผ่นดินจักถ่มถุย ดูถูกเหยียดหยามฉันมากขนาดไหน ฉันก็จะไม่หยุดเดินหน้ากำจัดเสี้ยนหนามพระธรรมวินัย และผลักดันให้เกิดการปฏิรูปวงการคณะสงฆ์และกิจการพระพุทธศาสนาต่อไปหรอก

หากจะมองในมุมบวก สำหรับฉัน แสดงว่า พระบ้านๆธุลีดินอย่างฉัน สามารถทำให้คนผู้มักมาก จมปลักอยู่ในโลกธรรมทั้ง 8 มาชั่วชีวิต รู้จักคิด แม้จะเป็นการคิดเอาตัวรอดก็ตาม ฉันจึงอยากจะส่งสัญญาณบอกต่อเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ว่า หากอ้างว่าอายุมากแล้ว ต้องการจะวางภาระ แล้วทรัพย์สินเงินทองที่สะสมเอาไว้มากมายก่ายกอง เป็นภาระไหม ตำแหน่งกรรมการมหาเถร เป็นภาระไหม ตำแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นภาระไหม เจ้าอาวาส เป็นภาระไหม

หากจะเปลื้องภาระจริงๆ ทำอย่างพุทธะอิสระดูซิ จะได้เบาสบาย จะได้มีความสุขมากขึ้น

อย่าลืมนะจ๊ะ ว่ายังมีคดีเท็จทูลเบื้องสูง นำเอาชื่ออลัชชีปาราชิก ขอพระราชทานสมณศักดิ์ และการใช้จ่ายงบประมาณ ที่รัฐให้มาอุปถัมภ์กิจการคณะสงฆ์ รวมทั้งเรื่องรับสินบนจากจำเลยในกรณีธรรมกาย ร่ำรวยเกินสมณะวิสัย นี่ยังไม่รวมที่ละเมิดวินัยอื่นๆ และผิด พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ ที่ได้ยื่นฟ้องต่อศาลไปแล้ว เหล่านี้ ใครจะเป็นผู้เสนอหน้าออกมายอมรับผิด
กำลังโหลดความคิดเห็น