ASTV ผู้จัดการรายวัน-ศาลฎีกานักการเมืองประทับรับฟ้องคดีจำนำข้าว ส่ง "ยิ่งลักษณ์" ขึ้นเขียง ฐานปล่อยให้ชาติเจ๊ง 6 แสนล้าน นัดเปิดคดี 19 พ.ค.นี้ เจ้าตัวโพสต์เฟซครวญไม่ได้ทำผิด ตั้งแง่เส้นทางคดีน่าสงสัย เชื่อมีการเมืองแทรก ทนายยัน “ปู” ไปศาลแน่ “พี่แม้ว” ยกหูปลอบใจ ชี้คสช.หวังเขี่ยพ้นการเมือง ด้านอัยการสูงสุดมั่นใจหลักฐานแน่น เตรียม 13 ปากให้การมัด “บิ๊กตู่” โยนถามศาลไปนอกได้หรือไม่ พูดมีนัยเด็ดดอกไม้เก่าทิ้งไปบ้าง "ไก่อู"ดักคอคงไม่หนีเหมือนนักการเมืองคนอื่น
วานนี้ (19 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ ศาลฎีกาฯนัดฟังคำสั่งคดีจำนำข้าว หมายเลขดำ อม.22/2558 ที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาท
** ศาลรับฟ้อง-เปิดคดี 19 พ.ค.นี้
โดยก่อนการอ่านคำสั่ง องค์คณะได้ประชุมกันเพื่อเลือกเจ้าของสำนวน ซึ่งองค์คณะมีมติเลือกนายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา เป็นเจ้าของสำนวน หลังจากนั้นเวลา 10.30 น. นายวีระพล พร้อมองค์คณะทั้ง 9 คน ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งระบุว่า องค์คณะพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาฯ ตามมาตรา 9 (1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 และคำฟ้องโจทก์ถูกต้องตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาฯ พ.ศ.2543 ข้อ 8 จึงให้ประทับรับฟ้องคดีไว้ และนัดพิจารณาคดีครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การจำเลย วันที่ 19 พ.ค.นี้ เวลา 09.30 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้เดินทางไปที่ศาลเพื่อฟังผลการพิจารณาของศาลแต่อย่างใด ซึ่งก่อนหน้านี้ ทีมทนายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุว่ากฎหมายไม่ได้กำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องไปที่ศาล
ทั้งนี้ หลังจากที่องค์คณะมีคำสั่งประทับฟ้องแล้ว จะมีการส่งหมายแจ้งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางมาศาลเพื่อนัดพิจารณาครั้งแรกในวันที่ 19 พ.ค. ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์จะต้องเดินทางมาแสดงตัวต่อศาลเป็นครั้งแรกตามขั้นตอน เพื่อจะสอบคำให้การว่าจะรับสารภาพหรือให้การปฏิเสธ
** “ปู” โพสต์เฟซครวญมั่นใจไม่ได้ทำผิด
ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุความตอนหนึ่งว่า ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ได้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รับใช้พี่น้องประชาชนตามที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาด้วยอุดมการณ์ที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างครบถ้วนถูกต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ข้อกฎหมาย ตลอดจนกฎระเบียบ ข้อบังคับ ของทางราชการทุกประการ และต้องการเห็นประเทศชาติเจริญก้าวหน้า ทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวไร่ชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบมาโดยตลอด โดยคดีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่ถูกกล่าวหานี้ ถือเป็นคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำนโยบายเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ อันเป็นนโยบายที่ประชาชนได้มอบหมายความไว้วางใจเป็นฉันทามติตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย เพราะประชาชนต้องการให้กลไกตลาดเป็นธรรม สะท้อนความเป็นจริงและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนา
“คดีนี้จึงเป็นคดีที่จะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนเกษตรกรและประชาชนอย่างกว้างขวาง ทั้งยังมีผลต่อบรรทัดฐานและการตัดสินใจในการจัดทำนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชนในอนาคต” น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุ
** เชื่อมีการเมืองสั่งแทรกคดี
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้ตั้งข้อสังเกตต่อสิทธิในกระบวนการยุติธรรมด้วยว่า หลักนิติธรรมที่พึงต้องปฏิบัติต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาเพื่ออำนวยความยุติธรรมนั้นได้ขาดหายไปในคดีนี้ เห็นได้จากรายงานและสำนวนคดีพร้อมความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เองก็ระบุอย่างชัดเจนว่า ไม่มีพยานหลักฐานถึงกระทำการทุจริตหรือสมยอมให้ผู้ใดทุจริต แต่กลับมีการชี้มูลความผิด และก่อนหน้าที่อัยการสูงสุดจะฟ้องคดีก็ได้ชี้ข้อไม่สมบูรณ์ของคดีนี้หลายเรื่อง ต่อมาทั้งที่ทางอัยการยังไม่ได้มีการสืบพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะฟ้องคดีนี้ แต่กลับมีการเร่งรีบที่จะส่งฟ้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นไปตามกระบวนการปกติที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา และหวังว่าในการพิจารณาคดีในชั้นศาล จะมีสิทธิที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง และมีโอกาสเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้งอย่างเพียงพอ
“ขอให้มีการพิจารณาอย่างถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม ปราศจากอคติใดๆ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดิฉันเห็นว่า ดิฉันยังไม่ได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมในชั้นที่ถูกกล่าวหา และมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่จะทำลายดิฉันเข้ามาแทรกซ้อนโดยตลอด ดิฉันขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้โปรดยุติการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ หยุดกดดันหรือชี้นำเพื่อประโยชน์ทางการเมือง จนกว่ากระบวนการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ จะเสร็จสิ้น เพื่อให้ความเป็นธรรมกลับคืนสู่สังคมไทยต่อไป” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุ
** ทนายมั่นใจ 19 พ.ค.ไปศาลแน่
นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทีมทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เมื่อศาลฎีกาฯ ประทับรับฟ้องแล้ว ก็ถือว่าเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลอย่างเต็มที่ จากนี้ทีมทนายความก็ต้องรอสำนวนคำฟ้องจากศาลฎีกาฯ ก่อน แล้วจะนัดหารือกันถึงแนวทางการต่อสู้คดีต่อไป และในวันที่ 19 พ.ค. ที่ศาลฎีกาฯ นัดพิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การจำเลยนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางศาลฎีกาฯ อย่างแน่นอน
** “พี่แม้ว”ยกหูให้กำลังใจ
ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับโทรศัพท์ให้กำลังใจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ภายหลังจากศาลฎีกาฯ มีคำสั่งประทับรับฟ้อง โดย พ.ต.ท.ทักษิณให้กำลังใจว่า อย่าท้อถอยในการต่อสู้คดี และยังมองว่าคดีนี้ ฝ่ายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีเป้าหมายให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดนคดีอาญา เพราะไม่ต้องการให้เล่นการเมืองตลอดชีวิต ส่วนการชดใช้ความเสียหายต่อรัฐ ยังเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาการต่อสู้ทางคดีแพ่งไปอีกหลายปี กว่าจะถึงขั้นฎีกา รวมถึงแม้ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำสั่งประทับรับฟ้อง แต่กว่าจะนัดไต่สวนองค์คณะผู้พิพากษา ยังต้องใช้เวลาอีก 45 วัน ซึ่งทีมทนายจะยื่นประกันตัวในทันที
แหล่งข่าวแจ้งด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้วิตกกังวลกับคดีนี้ เพราะทีมทนายได้เตรียมพยานหลักฐานต่างๆ ไว้ต่อสู้คดีแล้ว รวมทั้งคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้น ก็จะร่วมเป็นพยานด้วยถึงการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวที่ช่วยเหลือให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาดีขึ้นกว่าร้อยละ 80 และยังรวบรวมหลักฐานผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีการรับทราบ และมีการหารือถึงปัญหาในการรับจำนำข้าวทุกครั้ง ก่อนเปิดฤดูกาลรับจำนำข้าวปี 2555-57 ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการสู้คดีไว้พร้อมแล้ว โดยจะนัดให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาร่วมประชุมกับทีมทนายอีกครั้งในช่วงต้นเดือน พ.ค.
“ในช่วงเดือน เม.ย.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เตรียมเดินสายทำบุญในวัดชื่อดังทางภาคอีสานไว้แล้ว ซึ่งทางแกนนำ และสมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อมบรรดาหัวคะแนน ได้เตรียมจัดงานเลี้ยงให้กำลังใจในระหว่างการทัวร์บุญในภาคอีสานไว้แล้ว” แหล่งข่าวระบุ
** อสส.มั่นใจพยาน-หลักฐานแน่น
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน รองหัวหน้าคณะทำงานอัยการที่รับผิดชอบคดีโครงการจำนำข้าวและระบายข้าว กล่าวว่า การที่ศาลฎีกาฯ ประทับรับฟ้องเป็นผลให้อำนาจการพิจารณาคดีทั้งหมด รวมถึงการเดินทางออกนอกประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ในดุลพินิจของศาลฎีกาฯ หลังจากนี้จำเลยมีสิทธิ์ส่งตัวแทนหรือเดินทางมาขอคัดเอกสารการฟ้องของโจทก์รวมถึงขอประกันตัวได้ตั้งแต่วันนี้ ส่วนในวันที่ 19 พ.ค.58 ซึ่งศาลนัดพิจารณาคดีครั้งแรก น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องเดินทางมาศาลด้วยตนเอง ถ้าไม่มา ศาลอาจออกหมายจับได้ แต่หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ติดภารกิจก็ต้องเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะมีความเห็นอย่างไร รวมทั้งจะเป็นวันที่ศาลพิจารณาด้วยว่าจะให้ประกันตัวจำเลยหรือไม่ และหลังจากวันที่ 19 พ.ค. ศาลฎีกาฯ จะกำหนดวันตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง ซึ่งหากจำเลยไม่มา ศาลฎีกาฯ ก็มีสิทธิพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ โดยในวันตรวจพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยต้องยื่นบัญชีเพื่อระบุพยานหลักฐานที่จะใช้ในการต่อสู้คดี
ทั้งนี้ อัยการโจทก์ตรียมพยานบุคคลไว้ 13 ปาก ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่รัฐ และกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อยืนยันการได้มาซึ่งเอกสารราชการ และประเด็นข้อกฎหมาย รวมถึงพยานเอกสาร และพยานวัตถุต่างๆ อีกจำนวนมาก
“มั่นใจว่าพยานหลักฐานขณะนี้ เพียงพอแล้วที่จะเสนอให้ศาลรับฟังเป็นที่ยุติได้ แต่จะเอาผิดให้ศาลลงโทษได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของศาล ส่วนฝ่ายจำเลยจะยื่นบัญชีพยานเท่าใด จะต้องรอดูในวันนัดตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง” นายสุรศักดิ์ กล่าว
** “บิ๊กตู่” พูดมีนัยเด็ดดอกไม้ทิ้ง
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ว่า หลังจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะสามารถขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศได้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เดี๋ยวไปถามศาล มันเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม เดี๋ยวรอให้เขารายงานมาก่อน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามเกี่ยวกับคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เพียงสั้นๆ ก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า โดยระหว่างเดินขึ้นบันได พล.อ.ประยุทธ์ ได้หยุดและเด็ดดอกพุทธที่เริ่มโรยในกระถาง ซึ่งวางอยู่เชิงบันได พร้อมกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ดอกที่เหี่ยวๆ ต้องเด็ดทิ้งไปบ้าง ต้นไม้เราต้องดูมันทุกวัน ดอกมันเก่าแล้ว อย่าไปสนใจ ดอกไม้นี้เรียกว่าดอกพุทธ บ้านเราเอาไว้ไหว้พระ ส่วนของฝรั่งเขาก็มีพวกดอกคาร์เนชั่น เอาไว้จีบกัน”
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เด็ดดอกพุทธดอกใหม่ที่บานสะพรั่งมาใส่ในกระเป๋าเสื้อด้วย
** “บิ๊กป๊อก” ยันไม่มีกลั่นแกล้ง
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า เมื่อมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย บางส่วนอาจกังวลว่าเป็นเรื่องกลั่นแกล้งทางการเมือง แต่ตนอยากให้ประชาชนคิดเสมอว่าทุกคนในประเทศนี้อยู่บนหลักของกฎหมาย อย่าไปคิดว่ากลั่นแกล้งหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ ทั้งนี้ตนขอให้อยู่ในเรื่องของกฎหมาย ใครทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบ แม้กระทั่งตนเอง ถ้าทำผิดก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายเช่นกัน
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่าอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล หน่วยงานใดๆ ไม่สามารถก้าวล่วงได้ ขั้นตอนต่อไป คือ จำเลยต้องมาแถลงเปิดคดี เพื่ออธิบายและยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเอง ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์มาโดยตลอดว่า มั่นใจว่าการดำเนินนโยบายกรณีจำนำข้าวไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นจึงควรมาแถลงเปิดคดีด้วยตนเองเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และเพื่อให้กระบวนการพิจารณาคดีดำเนินต่อไปได้ มั่นใจว่าศาลจะพิจารณาวินิจฉัยบนพื้นฐานของหลักการและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม และเมื่อมีคำพิพากษาเช่นไร ก็ถือเป็นที่สิ้นสุด และทุกฝ่ายต้องน้อมรับคำวินิจฉัยนั้น
“ยังเชื่อว่า คุณยิ่งลักษณ์น่าจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่เลือกที่จะหลบหนีในชั้นศาลเหมือนนักการเมืองหลายคนในอดีต” พล.ต.สรรเสริญกล่าว
** “ยะใส” ซัดเก่งแต่พูดนอกศาล
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวตอบโต้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เรียกร้องขอให้ศาลพิจารณาคดีทุจริตข้าวด้วยความยุติธรรมโปร่งใส รวมทั้งระบุว่า มีการเมืองแทรกแซงกดดันคดีนี้มาตลอดว่า ไม่สมควรที่จะตั้งแง่กับศาลฎีกาฯ ตั้งแต่เริ่มนับหนึ่ง ข้อความที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์โพสต์นั้น เป็นการกดดันศาลกดดันกระบวนการยุติธรรมโดยตรง การเรียกร้องขอสิทธิทางศาล เป็นเรื่องน่าเคลือบแคลงใจเพราะศาลและกระบวนการยุติธรรม ไม่เคยขัดขวางการแสดงความบริสุทธิ์ หรือยื้อเกมมาตั้งแต่ต้น น.ส.ยิ่งลักษณ์เองเสียอีกที่เลือกไปแสดงความบริสุทธิ์ในช่วงท้ายๆ ก่อนหมดเวลารายงานตัวด้วยซ้ำไป
“เลิกเสียทีประเภทขอใช้สิทธิทางศาล แต่เอาเข้าจริงๆ กลับเลือกใช้สิทธินอกศาล บิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้กระบวนการยุติธรรมถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม เลิกคิดเถอะครับว่า สิทธินอกศาล จะเป็นตัวแปรของคดีแบบนี้ เพราะสุดท้ายแพ้ชนะจะอยู่ที่ว่า เราใช้สิทธิในศาล ต่อสู้คดีอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลหรือไม่ ศาลสถิตย์ยุติธรรมไม่ใช่ศาลประชาชนกลางสี่แยกที่ผู้ต้องหาจะเน้นแต่การเขียนสปีช และสร้างสำนวนโวหาร ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างหากเป็นตัวชี้ขาดคำพิพากษา” นายสุริยะใส กล่าว