**กงล้อประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดา หลายครั้งเกิดเหตุบังเอิญตรงกันในช่วงเวลา 10 ปี ในขณะนี้มีกรณีที่ใกล้เคียงกันซึ่งกำลังเป็นเรื่องร้อนแรงในสังคม คือกรณี “ธัมมชโย”เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นต้นแบบของพุทธพาณิชย์ ขายบุญจนร่ำรวย มีเครือข่ายไปทั่วโลก
จะว่าไปแล้ว วงจรชีวิตที่พัวพันกับการยักยอกทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ควรจะจบบทบาท “ธัมมชโย”ไปได้ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งมีการฟ้องคดีต่อศาลอาญา จนเหลือการสืบพยานเพียงแค่สองนัดสุดท้าย แต่ “ทักษิณ”กลับเป็นผู้ชุบชีวิตให้ “โจร”ยักยอกเงินวัด ยังคงห่มจีวรครองผ้าเหลืองต่อไป แถมยังใช้เป็นเครือข่ายสำคัญในการครอบงำความคิดทางการเมืองให้กับตัวเองอีกด้วย
การถอนคดีกลางคันของ อัยการสูงสุดในขณะนั้น เต็มไปด้วยข้อพิรุธมากมาย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงชุดอัยการที่ไม่ยอมถอนฟ้องตามคำสั่ง มาเป็นคนของตัวเองที่สั่งได้ ทำให้ “ธัมมชโย”มีโอกาสได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้เลื่อนสมณศักดิ์ ในยุคที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาล
**ทั้งที่ควรจะต้องถอดผ้าเหลืองไปนอนคุก ในฐานะนายไชยบูลย์ สุทธิผล ไปตั้งนานแล้ว
แต่เพราะอำนาจรัฐสามานย์ลามไปถึงพุทธจักรที่ต้องเสื่อมทรามลงจากการสร้างเครือข่ายธุรกิจธรรมจนวงการสงฆ์อ่อนแอ ไม่แตกต่างไปจากวงการอื่นๆ หรืออาจจะหนักยิ่งกว่า เนื่องจากพอเป็นเรื่องพระ ก็ไม่ได้ถูกตรวจสอบ กลายเป็นช่องโหว่ที่มีการใช้วัดเป็นแหล่งทำมาหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน บิดเบือนคำสอนของพุทธศาสนา ด้วยการควบคุมกลไกราชการให้เชื่อมต่อกับ "ลัทธิจานบิน" อย่างเป็นระบบ นับเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งสำหรับประเทศไทย
พชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดให้เหตุผลในการถอนฟ้องครั้งนั้นว่า ไชยบูลย์ ได้คืนทั้งที่ดิน และเงินจำนวน 959.3 ล้านบาท ให้กับวัดพระธรรมกายแล้ว
"การกระทำดังกล่าวของ จำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชครบถ้วนทุกประการแล้ว หากดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้"
เหตุการณ์ผ่านมา 9 ปี การนิรโทษกรรมให้“ไชยบูลย์”ในปี 2549 กลับทำผิดซ้ำอีก ในข้อหาเดิมคือการยักยอกทรัพย์ รับเช็คจาก ศุภัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งพบข้อมูลเชื่อมโยงเป็นใยแมงมุมอยู่กับ ไชยบูลย์ และวัดพระธรรมกาย จากเส้นทางการเงินที่มอบเช็คให้รวมเกือบ 1 พันล้านบาท
**ถ้าในปี 2549 ไม่มีการถอนฟ้อง ไชยบูลย์ ก็คงไม่มีโอกาสใช้วัดพระธรรมกาย เป็นแหล่งฟอกเงินให้กับนักฉ้อโกงจนทำให้สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นเสียหายกว่า 1.5 หมื่นล้าน มีประชาชนผู้บริสุทธิ์เดือดร้อนกว่า 5 หมื่นคน
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สามารถเทียบเคียงได้กับปัญหาทางการเมืองในบ้านเรา ซึ่งกำลังมีแนวคิดผิดทางให้ “คนดีใช้ชีวิตร่วมกับคนชั่ว”เพื่อความปรองดอง ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าทักษิณ มีสำนึกรู้จักคิด ก็คงหยุดทำร้ายประเทศชาติตั้งแต่ถูกถีบลงจากอำนาจเมื่อครั้งที่มีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และใช้ชีวิตเหมือนกับที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูก รสช.ทำรัฐประหาร โดยไม่มีการใช้เงิน อำนาจ สร้างเครือข่ายก่อให้เกิดความแตกแยกในแผ่นดินอย่างรุนแรงเหมือนที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้
แต่เพราะ คมช.ในขณะนั้นประเมินความเป็นมนุษย์ของ “ทักษิณ”สูงเกินไป คิดว่าไปอยู่ต่างประเทศแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบ เหมือนกรณี "น้าชาติ" เมื่อสถานการณ์ปกติก็กลับมาเล่นการเมืองใหม่ตามวิถีทางประชาธิปไตยโดยไม่มีการทำร้ายประเทศ
แต่ “ทักษิณ”ซึ่งไม่สามารถเอาความเป็น “มนุษย์”ไปวัดกับบุคคลนี้ได้ กลับชั่วเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง เพราะได้สร้างชุดความเท็จ แบ่งแยกประชาชน จนเกิดความแตกแยกไปทุกวงการ เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ใช้มวลชนกดดันไปจนถึงขั้นก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ ไชยบูลย์ กำลังทำอยู่
อาจเรียกได้ว่าเป็นโมเดลการต่อสู้เดียวกันเลยทีเดียวระหว่าง ไชยบูลย์ กับทักษิณ เพราะในขณะที่ “ทักษิณ”ตั้งสารพัดหน่วยงานซ้อนทับกับหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เช่น เรามีสภาทนายความ ทักษิณ ก็ตั้งสมาคมทนายความมาไว้ใช้งาน เรามีสมาคมนักข่าว ก็มีการตั้งชมรมสารพัดนักข่าว มาคอยขับเคลื่อน เพื่อให้สังคมสับสนว่ามีการแบ่งฝ่าย ทั้งๆ ที่ความจริงคือ การสร้างเครือข่ายปกป้องตัวเองด้วยชุดความเท็จ ใช้การโฆษณาชวนเชื่อตอกย้ำผ่านสื่อ จนคนหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง อันเป็นเหตุให้สังคมแยกแยะ ถูก ผิด ดีชั่ว ไม่ได้ เพราะมองไม่ออกระหว่าง“ความจริง” กับ “ความเท็จ”
นอกจากนี้ “ทักษิณ”ยังใช้เครือข่ายในต่างประเทศเข้ามากดดันรัฐบาลไทยอย่างเป็นระบบ
ไม่แตกต่างอะไรจากกรณี ไชยบูลย์ ที่ขาข้างหนึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ “ห้องกรง”เพราะเริ่มมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งล้วนตั้งชื่อไว้อย่างสวยหรู ว่าเกี่ยวข้องกับการปกป้องพุทธศาสนาทั้งสิ้น แต่การขับเคลื่อนชัดเจนว่าเป็นการปกป้อง ไชยบูลย์ และผลประโยชน์ที่กำลังจะถูกทลาย ถึงขนาดพระในต่างประเทศ ที่เป็นเครือข่ายของวัดพระธรรมกาย ก็ร่อนจดหมายถึงผู้มีอำนาจให้ปลดคณะกรรมการฯชุดของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ที่กำลังเดินหน้าปฏิรูปวงการสงฆ์ให้พ้นจากเรื่องผลประโยชน์
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่ทำกันอย่างเป็นระบบ และเป็นสิ่งที่“ทักษิณ”ใช้ได้ผลมาแล้ว คือ เมื่อใช้เครือข่ายสร้างชุดความเท็จมาสู้ความจริงไม่สำเร็จ ก็จะลากประเทศไปสู่อาณาจักรแห่งความกลัว โดยหยิบยกเรื่องความแตกแยก มาเป็นข้ออ้างให้ยุติการดำเนินคดีกับคนที่ทำผิดกฎหมาย
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซี่งมีปลายทางให้กับคำตอบการปรองดองไว้ที่ การอภัยโทษ นิรโทษกรรม ถอนคดี ฯลฯ ควรจะได้เรียนรู้จากกรณี ไชยบูลย์ ให้จงหนัก เพราะถ้าตัดสินใจพลาด ปล่อยคนพาลอยู่ในสังคม คนเหล่านั้นก็จะไม่หยุดสร้างเครือข่ายถ่ายทอดค่านิยมที่ผิดเพี้ยนจนกระทบต่อบรรทัดฐานทางจริยธรรมของสังคมอย่างรุนแรง เหมือนกับที่ วัดพระธรรมกาย ล้างสมองคนจำนวนไม่น้อยให้เชื่อว่า บุญซื้อได้ อย่างได้ผลมาแล้ว
ผู้มีอำนาจอาจลังเลไม่กล้าจัดการกับ ทักษิณ เพราะคิดแบบมักง่ายว่า แค่ให้อยู่ร่วมกันได้ อย่าป่วน อย่าวางระเบิด ก็จะทำให้สังคมเกิดความสงบแล้ว แต่แท้จริงแล้วนั่นคือการเปิดโอกาสให้ความชั่วฟักตัวจนสุดท้ายเราอาจไม่ได้เห็น “สังคมความดี”ที่เรายึดมั่นอีกแล้ว
จะว่าไปแล้ว วงจรชีวิตที่พัวพันกับการยักยอกทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ควรจะจบบทบาท “ธัมมชโย”ไปได้ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งมีการฟ้องคดีต่อศาลอาญา จนเหลือการสืบพยานเพียงแค่สองนัดสุดท้าย แต่ “ทักษิณ”กลับเป็นผู้ชุบชีวิตให้ “โจร”ยักยอกเงินวัด ยังคงห่มจีวรครองผ้าเหลืองต่อไป แถมยังใช้เป็นเครือข่ายสำคัญในการครอบงำความคิดทางการเมืองให้กับตัวเองอีกด้วย
การถอนคดีกลางคันของ อัยการสูงสุดในขณะนั้น เต็มไปด้วยข้อพิรุธมากมาย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงชุดอัยการที่ไม่ยอมถอนฟ้องตามคำสั่ง มาเป็นคนของตัวเองที่สั่งได้ ทำให้ “ธัมมชโย”มีโอกาสได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ได้เลื่อนสมณศักดิ์ ในยุคที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาล
**ทั้งที่ควรจะต้องถอดผ้าเหลืองไปนอนคุก ในฐานะนายไชยบูลย์ สุทธิผล ไปตั้งนานแล้ว
แต่เพราะอำนาจรัฐสามานย์ลามไปถึงพุทธจักรที่ต้องเสื่อมทรามลงจากการสร้างเครือข่ายธุรกิจธรรมจนวงการสงฆ์อ่อนแอ ไม่แตกต่างไปจากวงการอื่นๆ หรืออาจจะหนักยิ่งกว่า เนื่องจากพอเป็นเรื่องพระ ก็ไม่ได้ถูกตรวจสอบ กลายเป็นช่องโหว่ที่มีการใช้วัดเป็นแหล่งทำมาหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน บิดเบือนคำสอนของพุทธศาสนา ด้วยการควบคุมกลไกราชการให้เชื่อมต่อกับ "ลัทธิจานบิน" อย่างเป็นระบบ นับเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งสำหรับประเทศไทย
พชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดให้เหตุผลในการถอนฟ้องครั้งนั้นว่า ไชยบูลย์ ได้คืนทั้งที่ดิน และเงินจำนวน 959.3 ล้านบาท ให้กับวัดพระธรรมกายแล้ว
"การกระทำดังกล่าวของ จำเลยที่ 1 กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชครบถ้วนทุกประการแล้ว หากดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักร และไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้"
เหตุการณ์ผ่านมา 9 ปี การนิรโทษกรรมให้“ไชยบูลย์”ในปี 2549 กลับทำผิดซ้ำอีก ในข้อหาเดิมคือการยักยอกทรัพย์ รับเช็คจาก ศุภัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งพบข้อมูลเชื่อมโยงเป็นใยแมงมุมอยู่กับ ไชยบูลย์ และวัดพระธรรมกาย จากเส้นทางการเงินที่มอบเช็คให้รวมเกือบ 1 พันล้านบาท
**ถ้าในปี 2549 ไม่มีการถอนฟ้อง ไชยบูลย์ ก็คงไม่มีโอกาสใช้วัดพระธรรมกาย เป็นแหล่งฟอกเงินให้กับนักฉ้อโกงจนทำให้สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นเสียหายกว่า 1.5 หมื่นล้าน มีประชาชนผู้บริสุทธิ์เดือดร้อนกว่า 5 หมื่นคน
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สามารถเทียบเคียงได้กับปัญหาทางการเมืองในบ้านเรา ซึ่งกำลังมีแนวคิดผิดทางให้ “คนดีใช้ชีวิตร่วมกับคนชั่ว”เพื่อความปรองดอง ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าทักษิณ มีสำนึกรู้จักคิด ก็คงหยุดทำร้ายประเทศชาติตั้งแต่ถูกถีบลงจากอำนาจเมื่อครั้งที่มีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และใช้ชีวิตเหมือนกับที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูก รสช.ทำรัฐประหาร โดยไม่มีการใช้เงิน อำนาจ สร้างเครือข่ายก่อให้เกิดความแตกแยกในแผ่นดินอย่างรุนแรงเหมือนที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้
แต่เพราะ คมช.ในขณะนั้นประเมินความเป็นมนุษย์ของ “ทักษิณ”สูงเกินไป คิดว่าไปอยู่ต่างประเทศแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบ เหมือนกรณี "น้าชาติ" เมื่อสถานการณ์ปกติก็กลับมาเล่นการเมืองใหม่ตามวิถีทางประชาธิปไตยโดยไม่มีการทำร้ายประเทศ
แต่ “ทักษิณ”ซึ่งไม่สามารถเอาความเป็น “มนุษย์”ไปวัดกับบุคคลนี้ได้ กลับชั่วเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง เพราะได้สร้างชุดความเท็จ แบ่งแยกประชาชน จนเกิดความแตกแยกไปทุกวงการ เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ใช้มวลชนกดดันไปจนถึงขั้นก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ ไชยบูลย์ กำลังทำอยู่
อาจเรียกได้ว่าเป็นโมเดลการต่อสู้เดียวกันเลยทีเดียวระหว่าง ไชยบูลย์ กับทักษิณ เพราะในขณะที่ “ทักษิณ”ตั้งสารพัดหน่วยงานซ้อนทับกับหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เช่น เรามีสภาทนายความ ทักษิณ ก็ตั้งสมาคมทนายความมาไว้ใช้งาน เรามีสมาคมนักข่าว ก็มีการตั้งชมรมสารพัดนักข่าว มาคอยขับเคลื่อน เพื่อให้สังคมสับสนว่ามีการแบ่งฝ่าย ทั้งๆ ที่ความจริงคือ การสร้างเครือข่ายปกป้องตัวเองด้วยชุดความเท็จ ใช้การโฆษณาชวนเชื่อตอกย้ำผ่านสื่อ จนคนหลงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง อันเป็นเหตุให้สังคมแยกแยะ ถูก ผิด ดีชั่ว ไม่ได้ เพราะมองไม่ออกระหว่าง“ความจริง” กับ “ความเท็จ”
นอกจากนี้ “ทักษิณ”ยังใช้เครือข่ายในต่างประเทศเข้ามากดดันรัฐบาลไทยอย่างเป็นระบบ
ไม่แตกต่างอะไรจากกรณี ไชยบูลย์ ที่ขาข้างหนึ่งกำลังก้าวเข้าสู่ “ห้องกรง”เพราะเริ่มมีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งล้วนตั้งชื่อไว้อย่างสวยหรู ว่าเกี่ยวข้องกับการปกป้องพุทธศาสนาทั้งสิ้น แต่การขับเคลื่อนชัดเจนว่าเป็นการปกป้อง ไชยบูลย์ และผลประโยชน์ที่กำลังจะถูกทลาย ถึงขนาดพระในต่างประเทศ ที่เป็นเครือข่ายของวัดพระธรรมกาย ก็ร่อนจดหมายถึงผู้มีอำนาจให้ปลดคณะกรรมการฯชุดของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ที่กำลังเดินหน้าปฏิรูปวงการสงฆ์ให้พ้นจากเรื่องผลประโยชน์
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่ทำกันอย่างเป็นระบบ และเป็นสิ่งที่“ทักษิณ”ใช้ได้ผลมาแล้ว คือ เมื่อใช้เครือข่ายสร้างชุดความเท็จมาสู้ความจริงไม่สำเร็จ ก็จะลากประเทศไปสู่อาณาจักรแห่งความกลัว โดยหยิบยกเรื่องความแตกแยก มาเป็นข้ออ้างให้ยุติการดำเนินคดีกับคนที่ทำผิดกฎหมาย
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซี่งมีปลายทางให้กับคำตอบการปรองดองไว้ที่ การอภัยโทษ นิรโทษกรรม ถอนคดี ฯลฯ ควรจะได้เรียนรู้จากกรณี ไชยบูลย์ ให้จงหนัก เพราะถ้าตัดสินใจพลาด ปล่อยคนพาลอยู่ในสังคม คนเหล่านั้นก็จะไม่หยุดสร้างเครือข่ายถ่ายทอดค่านิยมที่ผิดเพี้ยนจนกระทบต่อบรรทัดฐานทางจริยธรรมของสังคมอย่างรุนแรง เหมือนกับที่ วัดพระธรรมกาย ล้างสมองคนจำนวนไม่น้อยให้เชื่อว่า บุญซื้อได้ อย่างได้ผลมาแล้ว
ผู้มีอำนาจอาจลังเลไม่กล้าจัดการกับ ทักษิณ เพราะคิดแบบมักง่ายว่า แค่ให้อยู่ร่วมกันได้ อย่าป่วน อย่าวางระเบิด ก็จะทำให้สังคมเกิดความสงบแล้ว แต่แท้จริงแล้วนั่นคือการเปิดโอกาสให้ความชั่วฟักตัวจนสุดท้ายเราอาจไม่ได้เห็น “สังคมความดี”ที่เรายึดมั่นอีกแล้ว