xs
xsm
sm
md
lg

บททดสอบสังคมไทย จะปรองดองกับปีศาจ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

รายงานการเมือง

อาการหงุดหงิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาบ่นดังๆ ว่า “เอาให้มันสงบๆ กันซะบ้างไม่ได้หรือ ทั้งคนทั้งพระทั้งฆราวาส วุ่นไปหมดเลยประเทศไทย”

เป็นการสะท้อนทัศนคติแบบโลกสวยไปหน่อยที่ไม่เอื้อต่อการปฏิรูป เพราะไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนในโลกการเปลี่ยนแปลงถึงขั้นที่เรียกว่า “ปฏิรูป” นั้นความวุ่นวายมาก่อนแล้วความสงบจึงค่อยตามมาเสมอ แต่ถ้าบอกว่าจะ “ปฏิรูป” แล้วให้เงียบก็อย่าคาดหวังเลยว่าการปฏิรูปจะเกิดขึ้นจริง เพราะสิ่งที่จะเป็นไปคือการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากลุ่มบุคคลหนึ่งไปให้อีกกลุ่มบุคคลหนึ่ง โดยไม่ได้แก้ไขที่รากเหง้าของปัญหาทั้งโครงสร้าง และความไม่รู้เท่าทันของประชาชน

“รัฐไทยใหม่” ที่ ทักษิณ ชินวัตร ฝันถึงฝังตัวครอบงำประเทศไทยมายาวนานกว่า 10 ปี ถ้าปล่อยให้ขบวนการเหล่านี้มีอำนาจเอาแค่ไม่ต้องถึงชั่วอายุคน รับรองว่า ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

คงยังจำกันได้ที่ “ยิ่งลักษณ์” ประกาศบนเวทีหาเสียงว่าจะ “สังคายนาพุทธศาสนา” จากนั้นเมื่อมีอำนาจก็สนับสนุนลัทธิจานบินสุดตัวผ่านหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการทั้งบุคลากรครูและลามปามไปถึงโรงเรียนในระดับตำบลด้วยการบังคับให้เด็กบวชเณร อบรมจริยธรรมกับ “วัดพระธรรมกาย”

กระทั่ง “ยิ่งลักษณ์” ถึงขนาดออกโรงเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการตักบาตรพระกลางกรุง อันเป็นที่มาของการธุดงค์ผ่าเมืองหลวงที่อื้อฉาว

สถานการณ์ของประเทศไทยวันนี้จึงไม่ใช่เรื่อง “ความเห็นต่าง” ของคนสองกลุ่ม ตามที่มีความพยายามจะชี้นำให้สังคมเข้าใจผิด แต่เป็นบททดสอบสังคม ระหว่าง “ความดี” กับ “ความชั่ว” ว่าอะไรจะมีพลังมากกว่ากัน โดยมี ทักษิณ เป็นผู้เปิดประตูนรกให้ปีศาจมาอาศัยปะปนกับคน กระทั่งเริ่มแยกกันไม่ออกแล้วว่า อะไรคือปีศาจและอะไรคือคน

ดังนั้น โจทย์ในการแก้ปัญหาที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กำลังทำอยู่ในขณะนี้จึงเป็นการตั้งคำถามที่ผิดซึ่งไม่มีวันได้คำตอบที่ถูกสำหรับประเทศไทย

เพราะวิธีการที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ตั้งแต่การประประนีประนอมกับฝ่ายที่ป่วนบ้านป่วนเมืองไปจนถึงการตั้งธงนิรโทษกรรมและอภัยโทษไว้ที่ปลายทางเพื่อเป็นคำตอบตามที่ “ทักษิณ” ต้องการ ย่อมมีความหมายว่า ผู้มีอำนาจมีหลักคิดอยากให้บ้านเมืองสงบโดยยอมที่จะต่อรองกับโจร เปลี่ยนจากการ “จับโจร” เพราะ “กลัวเจ็บ” มาเป็น “จับมือกับโจร” แทน

นั่นหมายถึงว่าเราจะยังคงอยู่ในสังคมที่ไม่มีการแยกแยะดีชั่ว และยังคงอยู่ในสงครามสื่อระหว่างความจริงกับกลุ่มสื่อจัดตั้งของทักษิณที่สร้างชุดความเท็จโดยไม่สนใจความจริงจนทำให้ประชาชนสับสนไม่รู้อะไรจริงอะไรปลอม เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจต่อระบบการปกครองจนถูกหลอกให้หลงเชื่อได้โดยง่าย

การร่างรัฐธรรมนูญในขณะนี้ไม่ว่าจะเลิศหรูขนาดไหนก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะที่ผ่านมารัฐธรรมนูญของไทยมีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ไม่ได้พัฒนาตามไปด้วยคือ “ความรู้ของประชาชน” ที่มีต่อรัฐธรรมนูญ จึงเป็นสาเหตุให้มีการบิดเบือนโดยพวกชั่วช้าต่ำทราม ทำให้ระบบตรวจสอบสั่นคลอนจากตรรกะวิบัติว่า ตุลากการไม่มีสิทธิตัดสินคนที่มาจากการเลือกตั้ง ป.ป.ช. ตรวจสอบนักการเมืองชั่วก็อ้างว่าถูกไล่ล่า ส่วนสื่อมวลชนก็ตกเป็นเครื่องมือนำเสนอความเท็จโดยไม่แยกแยะระหว่าง “ขยะ” กับ “ข่าว”

ถ้าแม้แต่สื่อมวลชนยังแยกแยะไม่ได้ว่าควรนำเสนอความจริงไม่ใช่ความเท็จ เนื่องจากติดกับดักว่าต้องเปิดโอกาสให้สองฝ่ายได้พูด ประเทศนี้ก็ไม่มีทางหลุดพ้น “รัฐไทยใหม่” ที่ทักษิณกำลังเดินหน้าครอบงำประเทศไทยอยู่ในขณะนี้

เพราะสื่อในมือของเขามีธงเดียวคือเดินหน้าตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่สนถูกผิดหรือศีลธรรมจรรยา ทำให้เกิดสภาพเสมือนว่าสังคมแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจากความเห็นที่แตกต่างกันเป็นสองขั้ว ทั้งที่ความจริงแล้วความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องความเห็นต่าง แต่เป็นเรื่อง “ความถูกต้อง” ที่กำลังต่อสู้กับ “คนทำผิด”

หากผู้มีอำนาจยังไม่ตั้งสติคิดทบทวนให้ดี โดยหวังง่ายๆ ว่าแค่ไม่มีเสียงระเบิดไม่มีการก่อกวน ไม่มีการประท้วง อยู่ร่วมกันไปอย่างที่เรียกจนเฝือว่า “ปรองดอง” ก็จะทำให้บ้านเมืองไม่แตกต่างจากเดิมคือ “ปีศาจอยู่ร่วมกับคน” จนสุดท้ายคนก็แยกไม่ออกว่ามีปีศาจอาศัยอยู่ด้วย หรือเลวร้ายไปกว่านั้น “คนจะถูกกลืนกลายเป็นปีศาจ” ไปในที่สุด

วันนี้ประเทศไทยอยู่ในยุคที่วิกฤตที่สุดในโลกอย่างแท้จริง ถ้าไม่มีความกล้าหาญในการแก้ปัญหาแบบขุดรากถอนโคน ก็คือการสะสมปัญหาจนกระทั่งถึงวันหนึ่งทุกอย่างจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว เพราะมีขบวนการสร้างโครงสร้างชั่วร้ายมาครอบโครงสร้างของประเทศไทย

ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ายังปรองดองกับตระกลูชั่ว ให้คนเหล่านี้มีที่ยืน มีอำนาจไม่ว่าจะผ่านคนในตระกูลเดียวกัน หรือนอมินี เครือข่ายที่ฝังรากลึกมานานกว่า 10 ปี ก็จะยิ่งเข้มแข็งมากขึ้น ประชาธิปไตยจะมีความหมายแค่การเลือกตั้ง คนที่เป็นรัฐบาลมีสิทธิทำทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งการทำผิดกฎหมาย สภาจะกลายเป็นแค่ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของบริษัทมีหน้าที่ตรากฎหมายตามใบสั่งนายทุนไม่ใช่ตามผลประโยชน์ของประชาชน ส.ส. ไม่สำนึกบุญคุณว่ามาจากประชาชนเพราะเป็นแค่พนักงานในบริษัทการเมืองที่ต้องกุมไข่ก้มหัวรับใช้นายใหญ่ เยาวชนรุ่นใหม่จะขาดความเข้าใจต่อรากฐานของประเทศที่เป็นเสาหลักของชาติ คือ ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

จะเห็นได้ว่าประเทศเราอ่อนแอถึงขั้นวิกฤต

เยาวชนในอนาคตจะรู้จักพระพุทธศาสนาไม่เหมือนรุ่นเราที่รู้ว่าหลักคิด คือ การพอเพียงและการเดินสายกลางเพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร การทำบุญคือการให้ไม่ใช่การรับ แต่คนรุ่นใหม่จะถูกปลูกฝังโดยลัทธิจานบินผ่านกลไกราชการตั้งแต่เด็กว่า “บุญซื้อได้” และคงไม่เข้าใจว่าเหตุใด พระพุทธเจ้าจึงสละราชสมบัติเพื่อแสวงหาธรรมมะ เพราะปัจจุบันคนบวชเป็นพระเพื่อแสวงหาประโยชน์เป็นเรื่องที่ได้รับการยอมรับว่าไม่ขัดพระธรรมวินัย

คนรุ่นเราต้องเลือกว่าจะยอมอยู่ร่วมกับปีศาจต่อไปโดยไม่แยกแยะ หรือสู้อย่างถึงที่สุดเพื่อเปลี่ยนปีศาจให้กลับมาเป็นคน แน่นอนว่าไม่ง่าย แต่ถ้าไม่ทำเราก็จะมีแต่ปีศาจเต็มเมือง ลองถามตัวเองว่านี่ใช่บ้านเมืองที่เราต้องการทิ้งไว้ให้ลูกหลานหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น