xs
xsm
sm
md
lg

ระบอบทักษิณกับลัทธิธรรมกาย

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่นพ.เหวง โตจิราการจะออกมาระบุอย่างชัดเจนด้วยว่า วัดพระธรรมกายนั้นเป็นกลุ่มสงฆ์ที่เป็นฐานกำลังสำคัญของคนเสื้อแดง นปช. และทักษิณ “เป็นการพุ่งปลายหอกเพื่อทำลายล้างกลุ่มพระสงฆ์ที่ถือว่าเป็นฐานกำลังสำคัญของฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายคนเสื้อแดง ฝ่าย นปช. ฝ่ายอดีตนายกฯ ทักษิณอย่างชัดแจ้ง”

นั่นสะท้อนว่า คนเสื้อแดงระดับแกนนำที่อ้างความเจนจัดโลกในทฤษฎีการเมืองและประชาธิปไตย มองไม่เห็นความผิดปกติของวัดธรรมกายในการใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์เข้าวัดเลย ทั้งยังไม่เห็นและไม่ได้ยินคำสอนที่บิดเบือนหลักพระธรรมวินัยของวัดแห่งนี้ด้วย

ดังนั้น คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขามองไม่เห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณที่คนส่วนหนึ่งในสังคมออกมาต่อต้านเพราะเห็นว่า ระบอบทักษิณนั้นฉ้อฉลและเป็นอันตรายต่อประเทศชาติ

ขณะที่สังคมรับรู้เรื่องที่หมอเหวงออกมายอมรับผ่านการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่เกี่ยวโยงกับวัดธรรมกายมานานแล้ว และกิจกรรมของวัดธรรมกายก็ได้รับการเกื้อหนุนจากรัฐบาลของระบอบทักษิณทุกวิถีทาง เพื่อทำให้ธรรมกายแทรกเข้าสู่โรงเรียนและชุมชนทุกหัวระแหง

ธรรมกายมุ่งเน้นในวัตถุนิยม ใช้จิตวิทยาหมู่เพื่อหลอกให้คนทำบุญเข้าวัดโดยอ้างว่ายิ่งทำบุญมากจะทำให้ขึ้นสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้น ยิ่งทำบุญมากๆ ชีวิตจะดีขึ้น หน้าตาผิวพรรณจะดีขึ้น สามารถใช้เงินซื้อเทวดาให้มาเปิดประตูสวรรค์ในแต่ละชั้นได้ และไม่สนใจที่มาของเงิน

อธิบายได้ว่าวิธีการของธรรมกายก็มีวิธีการที่ไม่ต่างกับระบอบทักษิณ นั่นคือมุ่งสู่เป้าหมายโดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่าถูกต้องชอบธรรมหรือไม่

ทักษิณใช้เงินเป็นใบเบิกทางเข้าสู่การเมืองด้วยการซื้อตัว ส.ส. ซื้อหัวคะแนน ซื้อพรรคการเมือง โดยมีเป้าหมายที่คนเสื้อแดงเรียกว่ารัฐไทยใหม่ ที่มีคนเปิดโปงว่า มีปฏิญญาฟินแลนด์เป็นเป้าหมายไปสู่ความสำเร็จ

(1) สร้างระบบการเมืองเป็นระบบพรรคเดียว (2) ทำลายความเข้มแข็งแบบเก่าของระบบราชการ โดยทำให้ระบบราชการต้องรับใช้ระบบการเมืองโดยไม่มีเงื่อนไข (3) แปลงสินทรัพย์ของรัฐให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี (4) ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นแต่เพียงสัญลักษณ์ (5) การสร้างระบบพรรคการเมืองแบบรวมอำนาจที่กรรมการบริหารพรรคและผู้นำพรรค

ไม่แปลกหรอกที่ทักษิณจะปฏิเสธเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ในเวลาต่อมา แต่เราก็เห็นเค้าโครงการบริหารแบบทักษิณเมื่อเข้าสู่อำนาจรัฐเดินไปสู่แนวทางนั้น จนนักวิชาการขนานนามการปกครองแบบทักษิณว่า ระบอบทักษิณ

มีคนพยายามอธิบายว่า วิธีการของทักษิณคือ ประชาธิปไตยเพราะทักษิณมาจากการเลือกตั้ง พวกที่ออกมาต่อสู้เพื่อทักษิณที่หนีคุกในข้อหาคอร์รัปชันเรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตยได้อย่างไม่เขินอาย

พวกเขาอ้างว่า วิธีการของทักษิณนั้นถูกต้อง เพราะประชาชนเลือกทักษิณมาด้วยเสียงข้างมาก ทักษิณจึงมีสิทธิกำหนดนโยบายอย่างไรก็ได้ ไม่ว่าวิธีการนั้นจะถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ถ้านโยบายที่ทักษิณทำผิดพลาดประชาชนก็จะไม่เลือกมาอีก แม้ทักษิณจะทำผิดขัดกับกฎหมายที่เขียนไว้อย่างชัดแจ้ง พวกนี้ก็พูดราวกับว่า ทักษิณทำผิดไม่ได้เพราะมาจากการเลือกตั้ง และหลอกมวลชนเพื่อปลุกปั่นให้ออกมาตายแทนว่า ทักษิณถูกกลั่นแกล้งจากอำมาตย์เพราะอำมาตย์อิจฉาที่ทักษิณทำให้คนจนกินดีอยู่ดีขึ้น

เมื่อไม่กี่วันมานี้มีนักวิชาการที่สนับสนุนทักษิณและคนเสื้อแดงออกมาพูดถึงนโยบายจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ว่า ไม่เคยมีผู้บริหารหน้าไหนถูกลากคอไปจ่าย “ค่าเสียหาย” จากนโยบายแบบนี้ เพราะรัฐบาลไม่ใช่พ่อค้า และนโยบายสาธารณะไม่ใช่เรื่องของการค้ากำไร การขาดทุนจึงเกิดได้เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์จากนโยบายเหล่านั้น ไมมีสิ่งที่เรียกว่า “ความเสียหาย” ตราบใดที่ประชาชนได้ประโยชน์

เป็นความพยายามจะอธิบายว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะกำหนดนโยบายอย่างไรก็ได้ แม้จะสร้างความเสียหายแก่ชาติหลายแสนล้านอย่างนโยบายจำนำข้าวผู้กำหนดนโยบายก็ไม่ต้องรับผิดชอบ โดยมองข้ามการทุจริตที่ซ่อนอยู่ในนโยบายนั้นไปเสีย

ส่วนธรรมกายใช้เงินเป็นใบเบิกทางในการยึดครองพุทธศาสนจักรโดยการหว่านเงินให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่ มีรายงานว่า มีการถวายเงินพระผู้ใหญ่ครั้งละหลายล้านบาทในการนิมนต์ไปร่วมทำกิจกรรมของวัด

มีความพยายามอธิบายกรณีธรรมกาย ทำนองว่า ให้ปล่อยเขาไป ธรรมกายก็อยู่ส่วนธรรมกาย หาเงินของเขาเอง ให้เป็นสำนักหนึ่งไป อย่าไปมองว่าเป็นพุทธ ไม่ต้องไปตรวจสอบข้องแวะด้วย บอกให้แยกรัฐออกจากศาสนา ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงธรรมกายอ้างความเป็นพุทธนั่นแหละมาหลอกลวงประชาชน

อ้างว่า โลกสมัยที่เป็นเรื่องประชาธิปไตย ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อ เป็นเสรีภาพทางความคิด ทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ลัทธิอะไรก็ได้

แต่คำถามว่า เมื่อมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา แปลว่า รัฐควรจะปล่อยให้ลัทธิหนึ่งหรือสำนักหนึ่งใช้วิธีการแสวงหาประโยชน์เข้าวัดอย่างไรก็ได้เช่นนั้นหรือ เราปล่อยให้วัดธรรมกายหาเงินเข้าวัดแบบไหนก็ได้ สอนธรรมะแบบไหนก็ได้แม้ว่าจะหลอกลวง หรือใครจะทรงเจ้าเข้าผีหลอกลวงประชาชนอย่างไรก็ได้ รัฐก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง

ถ้าเอาอย่างนั้นใครทำสินค้าอะไรมาขายจะหลอกลวงประชาชนอย่างไรรัฐก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง แยกรัฐออกจากพ่อค้า โดยอ้างประชาธิปไตย และเสรีภาพทางความคิดเช่นนั้นหรือ

มีการอ้างว่าถ้าตรวจสอบธรรมกาย ต้องตรวจสอบมหาเถระด้วย ตรวจสอบทุกสำนักอย่างเท่าเทียมกัน ฟังดูก็ถูกต้องครับ แต่ผมว่ามันไม่น่าจะแปลว่า ถ้าไม่ตรวจสอบสำนักอื่นก็ไม่ควรตรวจสอบธรรมกายนะ เหมือนตำรวจจับโจรขโมยของมาได้ แต่แก๊งโจรทำกันหลายคน ยังมีคนที่ตามจับไม่ได้ ตำรวจไม่ควรจะดำเนินคดีกับคนที่จับได้เช่นนั้นหรือ

คล้ายกับว่าฝ่ายที่สนับสนุนทั้งระบอบทักษิณและลัทธิธรรมกายมองเห็นว่า ประชาธิปไตยนั้นไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม นี่คือ เสรีภาพ เสรีภาพที่จะใช้วิธีการอย่างไรก็ได้เพื่อไปสู่เป้าหมาย แล้วให้ประชาชนตัดสินเอาเอง

ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่ระบอบทักษิณกับธรรมกายจึงผูกโยงกันแล้วอ้างความเป็นฝ่ายประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพเพื่อมาหลอกลวงมอมเมาประชาชน ฝ่ายหนึ่งมีเป้าหมายยึดครองประเทศในทางโลก ฝ่ายหนึ่งมีเป้าหมายยึดครองประเทศในทางธรรม

เมื่อประชาชนออกมาไล่ทักษิณเพราะฉ้อฉลก็สร้างเรื่องว่า อำมาตย์อยู่เบื้องหลัง เมื่อประชาชนออกมาไล่ธัมมชโยที่ทำผิดวินัยก็อ้างว่าเป็นเรื่องแย่งชิงอำนาจปกครองสงฆ์ระหว่างนิกาย

พวกนี้ยังชอบอ้างความเป็นฝ่ายประชาธิปไตยจนลืมไปว่า ก็เพราะประชาธิปไตยนี่แหละที่ประชาชนเขาลุกขึ้นมาต่อต้านจึงมีความชอบธรรม เพราะพวกเขามองเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ไม่ชอบธรรม และการอ้างประชาธิปไตยและเสรีภาพต้องอยู่บนวิธีการที่ถูกต้องชอบธรรมด้วย

พลังที่ลุกขึ้นมาขับไล่ระบอบทักษิณและลัทธิธรรมกายต่างหากคือฝ่ายประชาธิปไตยที่แท้จริง
กำลังโหลดความคิดเห็น