ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สุภาษิตไทยที่ว่า “ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน”ดูจะใช้ได้ดีกับเครือข่ายในระบอบทักษิณ ซึ่งในขณะนี้กำลังถูกกรรมไล่ล่าอย่างหนัก จนนั่งกันไม่ติดทั้งที่อยู่ในวงการศึกษา และวงการสงฆ์ แต่บุคคลที่เกี่ยวข้อง กลับเชื่อมโยงกับตระกูลชินวัตร อย่างไม่น่าเชื่อ และแน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ลองไล่เรียงดู ตั้งแต่ ถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ที่ถูกกองปราบแจ้ง 5 ข้อหาหนัก ตั้งแต่ ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ , ร่วมกันสนับสนุนพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ , ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารของทางราชการ , ร่วมกันลักทรัพย์ และ ร่วมกันฟอกเงิน
แม้เจ้าตัวจะยังปากแข็งปฏิเสธ แต่ดูเหมือนว่าพยานหลักฐานจะหนาแน่นมัดว่า ถวิล ลงนามเปิดบัญชีสถาบัน ก่อนขึ้นดำรงตำแหน่งอธิการบดี และยังเป็นผู้ปิดบัญชีดังกล่าว หลังจากหมดสถานภาพเป็นอธิการบดีแล้ว อีกทั้งยังทำหนังสือถึงธนาคาร ไม่อนุญาตให้ธนาคารตรวจสอบบัญชีหรือสถานะทางการเงินของสถาบัน
นี่คือพฤติกรรมเชิงประจักษ์ ที่สะท้อนถึงเจตนาไม่บริสุทธิ์ มีการหาทางหนีทีไล่ไว้แต่ต้นเสียด้วย ว่าห้ามไม่ให้มีการตรวจสอบบัญชีเสียด้วย ต่อให้อมพระธัมมชโยมาก็คงโฆษณาชวนเชื่อให้คนหลงลมปากไม่ได้ว่า "ไม่เกี่ยวข้องกับการกโกงครั้งมโหฬาร" ของสถาบันการศึกษาจำนวนถึง 1.6 พันล้านบาท
เมื่อสาวประวัติ ถวิล ก็พบว่า สุดอื้อฉาวเป็นอธิการบดีที่ถูกขับไล่ จนถูกปลด ด้วยมติ 9 ต่อ 4 จากหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่แก้เกรด ไขเกรด นักศึกษาอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม แก้เกรดให้ลูกชายตัวเอง 8 วิชา ไม่รู้ว่าก็อปปี้มาจากนายใหญ่หรือเปล่า ไปจนถึงความไม่โปร่งใส ในการบริหาร และที่สำคัญคือ การนำสถาบันการศึกษาไปรับใช้การเมืองอย่างน่ารังเกียจ
ในยุคที่ ถวิล เป็นอธิการบดี เปิดโอกาสให้พลพรรคแก๊งเพื่อไทย เข้าเรียนระดับด็อกเตอร์ เพื่ออัพเกรดตัวเองกันเป็นโขยง จนศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน อดรนทนไม่ได้ต้องออกมาแฉผ่านโซเชียลมีเดีย จนไส้เน่าถูกลากออกมาประจาน เหม็นโฉ่ไปทั่ว
ตัวอย่างของบรรดาคนโลเกรด อยากอัพเกรด ผ่าน สจล. ก็ไม่ใช่ใครอื่น ตระกูลวงศ์สวัสดิ์ เกือบยกโคตร ตั้งแต่ผู้เป็นแม่ เยาวภา และลูกสาวอีกสองคน คือ ชินณิชา และ ชยาภา ไม่เพียงเท่านั้น คนที่มีปัญหาวุฒิการศึกษาอย่าง สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีหลายสมัย ทั้งในรัฐบาลทักษิณ และยิ่งลักษณ์ ซึ่งเคยถูกเปิดโปงกลางสภา ในขณะเป็น รมว.คมนาคม ว่า จ้างคนเข้าสอบแทน สมัยเรียนที่รามคำแหง เมื่อปี 2542 จนถูกลบชื่อออกจากสถาบัน
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การกล่าวหาลอย ๆ แต่มีหนังสือคำสั่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่ 1170/2542 เรื่องลงโทษลบชื่อออกจากทะเบียนนักศึกษา ซึ่งระบุว่า ในการสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2541 หัวหน้าตึกสอบ PRB 201 รายงานว่า ในการสอบกระบวนวิชา PY 103 เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2542 คาบสอบที่ 1 ตรวจพบว่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ รหัสประจำตัว 4106562624 ให้บุคคลอื่นเข้าสอบแทน โดยการปลอมบัตรประจำตัวนักศึกษา และใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ ของกรมการขนส่งทางบก มาใช้เป็นหลักฐานในการเข้าสอบ จึงมีการลงโทษ ลบชื่อนายสันติ ออกจากการทะเบียนนักศึกษา ตั้งแต่สอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2541 โดยผู้ลงนามในคำสั่งคือ นายรังสรรค์ แสงสุข อธิการบดี เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2542
พฤติกรรมคล้ายคลึงกับลูกชายอดีตนายกรัฐมนตรี เพียงแต่กรณีนั้นไม่ได้จ้างใครสอบ แต่โง่โกงข้อสอบจนถูกจับได้ หลายคนสงสัยว่า คนที่มีการทุจริตในการสอบเช่นนี้ กลับมามีอำนาจ และยกระดับตัวเองไปเรียนปริญญาเอก ที่ สจล.ได้อย่างไร
คำตอบง่าย ๆ สไตล์ระบอบทักษิณ คือ ผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่ใช้ได้กับทุกคนที่ไร้ซึ่งจริยธรรม และความละอายต่อบาป
สันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งถูกลบชื่อออกจากทะเบียนนักศึกษา ในปี 2542 กลับมีปาฏิหาริย์ เรียนจบปริญญาตรี ในปี 2545 ต่อด้วยปริญญาโทอีกใบ ในปี 2547 จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่ สันติ ถูกลบชื่อออกจากทะเบียนนักศึกษาไปแล้ว และเป็นเรื่องกรรมมะจัดสรรโดยแท้ เพราะช่วงที่ สันติ รุ่งเรืองทางอำนาจด้วยการเกาหลังทักษิณ จนได้ปริญญาโท
รังสรรค์ แสงสุข ออกมาอ้างข้างๆ คูๆ ว่า การลบชื่อ สันติ ออกจากทะเบียนนักศึกษา เป็นความผิดพลาดของฝ่ายวินัย เพราะผู้กระทำผิดไม่ใช่นายสันติ แต่เป็นบุคคลอื่น ที่ชื่อและสนามสกุลคล้ายกัน คือ สานติ พรมพัฒน์ ต่อมาทางสภามหาวิทยาลัย ก็มีการออกระเบียบว่าด้วยการล้างมลทิน เนื่องในมหามงคลพระชนมพรรษา 6 รอบ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ สันติ ได้รับอานิสงส์ กลับมาเป็นนักศึกษาจนจบปริญญาตรี ในปี 2545
ส่วนกรณีที่กำลังฮือฮา เป็นเรื่องที่คนสนใจทั้งประเทศคือ กรณี ธัมมชโย รับเงินบริจาคกว่า 300 ล้าน จากการฉ้อโกงสหกรณ์เครดิตยูเนียน คลองจั่น ของ นายศุภชัย ศรีศุภอักษา ซึ่งในทางพระธรรมวินัย ถือว่า ต้องอาบัติ ปาราชิกไปโดยอัตโนมัติ หรือต้องเรียกว่า ปาราชิกซ้ำสอง
แต่ที่รอดในคราวแรก ก็เพราะการถอนคดีออกจากศาลทั้งๆ ที่เหลือการสืบพยานอีกเพียงแค่ 2 นัด ทำให้กลายเป็นข้ออ้างในทางธรรมว่าเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว จนได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาส วัดพระธรรมกาย อีกครั้งในปี 2549
นี่คือคนในเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่เวียนว่ายอยู่กับการโกงทั้งเงิน ไปจนถึงการศึกษา แล้วใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการล้างมลทิน ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ให้อัยการถอนฟ้อง ซึ่งถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ด้วยข้ออ้างในขณะนั้นว่า เพื่อจะได้ไม่สร้างความแตกแยกในศาสนจักร
สุดท้าย ธัมมชโย ก็กลับมาทำผิดซ้ำซาก ในเรื่องเดียวกัน คือการรับของโจร และใช้วัดเป็นแหล่งฟอกเงิน ซึ่งเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ แม้ว่า ปปง.โดย พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาฯ จะออกตัวล้อฟรีแต่แรกว่าไม่เอาผิด เนื่องจากวัดจะคืนเงินให้ แต่ดูเหมือนว่า จะเอาไม่อยู่
บทเรียนเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ทบทวนประเด็นที่กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการปรองดอง ไว้ในรัฐธรรมนูญ อยู่เหนืออำนาจอธิปไตย 3 ฝ่าย คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ เรียกว่า คณะกรรมการฯ จะทำอะไร ทั้ง 3 องค์กรต้องก้มหัวรับเพียงอย่างเดียว จึงไม่ต่างจากการซ่อนอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ไว้ในหมวดการปฏิรูป และการสร้างความปรองดอง 5 ปี
แถมมีธงแต่หัววันว่า จะเดินหน้าไปสู่“การอภัยโทษ”ยังไม่นับว่ามีการเปิดช่องให้เสนอ พระราชบัญญัติอะไรก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่า แม้จะไม่มีคำว่า “นิรโทษกรรม”ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ภายหลังจากรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้แล้ว ด้วยดุลพินิจของคณะกรรมการปรองดอง ผู้ยิ่งใหญ่
ถ้าเราแก้ปัญหาง่ายๆ เพราะกลัวอันธพาลยอมปล่อยให้โจรพ้นผิด จะได้ไม่มีเสียงระเบิด ในอนาคตเราก็จะเจอปัญหาซ้ำซาก จากปีศาจตัวใหม่ที่จะใช้ประเทศไทยเป็นตัวประกัน เอาความรุนแรงมาข่มขู่ เพื่ออยู่เหนือกฎหมาย เหมือนกับกงล้อแห่งกรรมที่สะท้อนสันดาน ธัมมชโย ว่า คนชั่วบริสุทธิ์ ไม่กลับไปชั่วอีกเป็นไม่มี