วานนี้ (19ก.พ.) นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ก่อนการประชุมตัวแทนเกษตรกร ได้รายงานต่อนายกฯ ถึงข้อสั่งการให้เกษตรกรรวมตัวกันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้พูดคุยกันได้ในทุกเรื่อง และเป็นผู้ประสานงานให้รัฐบาลนั้น ได้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรจากเดิมที่มีอยู่ 5 กลุ่ม เป็น 7 กลุ่ม จากทุกภาค ซึ่งจะนำมติจากคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องยางพารา เพื่อให้เสียงเกษตรกร และผู้ผลิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้รัฐบาลจะได้แก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม อาจจะมีบางคนที่ยังไม่เข้าใจ แต่ก็มีความพร้อมที่จะทำความเข้าใจ เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมกับรัฐบาล เพราะเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่นั้น เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง และทำเพื่อเกษตรกรจริงๆ นอกจากนี้ในส่วนพ.ร.บ.การยางนั้น มีการแก้ไขสัดส่วนคณะกรรมการที่มีทั้งสิ้น 5 คน โดยการปรับสัดส่วนเกษตรกร ซึ่งจากเดิมจะมีตัวแทนเกษตรกร เพียง 1 คน ให้มีเกษตรกร 3 คน และตัวแทนภาครัฐ 2 คน ที่มีรมว.เกษตรและสหกรณ์ และอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นตัวแทน
ทั้งนี้ ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือภาคเกษตรกร ให้ลืมตาอ้าปากได้ ซึ่งเป็นความสำคัญอันดับแรก และขอให้ทุกฝ่ายมีความสามัคคีกัน เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการยางให้มีความก้าวหน้าขึ้นไป และเดินหน้าเพื่อให้เป็นอันดับหนึ่งของโลกให้ได้ นอกจากนี้วาระสำคัญ ที่มีการประชุมครั้งนี้ นายกฯ ได้รับทราบสถานการณ์ยางพาราของโลกและของประเทศไทย โดยสถานการณ์โลกขณะนี้ อยู่ในช่วงอาการสาหัส เนื่องจากราคาน้ำมันลดลงถึง 30 บาทต่อลิตร ทำให้ราคายางเทียม อยู่ที่ 35 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งหากยางธรรมชาติราคาเพิ่มสูงกว่านี้ จะทำให้หันกลับมาใช้ยางเทียมแทน
สำหรับเรื่องที่รัฐบาลพยายามทำในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้น ได้ขับเคลื่อนทำให้ราคายางแผ่นดิบรมควันชั้น 3 ที่ส่งออกมาที่สุดในไทยนั้นมีราคาขยับสูงขึ้ง จาก 55 บาท ต่อกิโลกรัม เป็น 63.15 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ยางแผ่นดิบ อยู่ที่ 58 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนน้ำยางสดและยางก้อนถ้วย ที่มีปัญหาขณะนี้ รัฐบาลได้มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ก.พ. อนุมัติงบประมาณ 2 พันล้านบาท เพื่อเข้าไปจัดซื้อในโครงการมูลภัณฑ์กันชนยางพารา ซึ่งเมื่อมีการประกาศ ราคายางก้อนถ้วยก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 40 กว่าบาท และน้ำยางสด ขึ้นเป็น 45.5 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าเดินหน้าไปด้วยดี ขณะเดียวกันก็จะประกาศปิดฤดูกาล ภายในวันที่ 28 ก.พ.นี้ และช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 เดือนครึ่ง ก็จะเป็นช่วงการทำนโยบายของปี 58-59 กลไกต่างๆ ที่ใช้มา เมื่อ 3 เดือนก่อนมีปัญหาอะไร เกษตรกรก็สามารถร่วมกันปรับปรุงแก้ไข เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลกรีดอีกครั้ง ในเดือนพ.ค.จะได้ไม่มีปัญหาขึ้นอีก
นายอำนวย กล่าวว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ และวิธีการซื้อยางก้อนถ้วยและน้ำยางสดโดยให้ กนย. เป็นผู้กำหนด และเสนอ ครม.ทราบ โดย กนย.มีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่า หลักสำคัญจะต้องไม่ใช้เงินก้อนนี้ไปให้เกษตรกรรายใหญ่ เพราะวัตถุประสงค์ของเงินก้อนนี้ไปยังเกษตรกรรายย่อย ผ่านสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร หรือวิสาหกิจชุมชน ที่มีหลักฐานชัดเจนและกำชับให้จังหวัดตรวจสอบในเรื่องนี้ให้สอดคล้องกับทะเบียน ที่จะซื้อขายกัน
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้ติดตามโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือทั้ง 16 โครงการ แบ่งเป็นโครงการของ คสช. 12 โครงการและโครงการของรัฐบาล 4 โครงการ ว่าติดขัดอย่างไร ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งการ และกำหนดเวลาให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังมีการใช้ยางในประเทศ ซึ่ง กนย. ได้เสนอแพคเกจ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยางในประเทศที่เกิดขึ้นจากหน่วยงานต่างๆ ที่นายกฯ สั่งการให้ทุกกระทรวงเสนอโครงการ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังนำไปรวบรวมให้เป็นระบบและเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อทำให้มีการใช้ยางในประเทศ ให้มากที่สุด เช่น การทำสนามฟุตซอล สนามกีฬาต่างๆ ส่วนปริมาณยางที่จะใช้ในปี 58 อยู่ที่ประมาณ 1 แสนตัน
นายอำนวย กล่าวว่า การระบายยางพารานั้น ตามมติ ครม.ขอให้มีการระบายยางพาราในขณะที่ราคายางไม่ตกต่ำ ถ้าระบายในช่วงที่ราคาตก ก็จะตกที่ราคาตลาดโลก และจะกดราคาของเกษตรกร ทำให้นโยบายที่จะทำให้ราคายางพาราที่ 60 บาท ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถดำเนินการได้จนถึงสิ้นฤดูปิดกรีดยางแล้ว ซึ่งหลังฤดูปิดกรีดแล้วถือเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะระบายยางที่มีอยู่ ส่วนจะกระทบหรือไม่นั้นต้องดูสถานการณ์การซื้อยางของประเทศไทย ที่เป็นราคาส่งออกยางพารา ซึ่งขยับใกล้เคียงกับราคาของโครงการรัฐบาลแล้ว แต่ที่ผ่านมามีช่วงราคาห่างกันมาก ส่วนปริมาณที่จะระบายออกไปนั้น ถือเป็นเรื่องยุทธศาสตร์การค้าขาย จำเป็นต้องมีเทคนิค จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ขณะนี้ อย่างไรก็ตาม จะต้องดำเนินการภายใต้ "เอ็มโอยู"ไทย-จีน ให้แล้วเสร็จ ที่จะต้องมีการซื้อขายรูปแบบรัฐต่อรัฐในสินค้า 2 ชนิด ได้แก่ ข้าว 2 ล้านตัน และ ยางพารา 2 แสนตัน หากตกลงกันได้ในราคาภายใต้ เอ็มโอยู ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเป็นฤดูกาลผลิตปี 58-59 ที่จะเริ่มวันที่ 15 พ.ค. และถัดไปอีก 12 เดือน ก็น่าจะเป็นโอกาสของฤดูกาลนั้น หากยางในสต๊อก ที่มีอยู่ได้ระบายไปหมดในช่วงหลัก 28 ก.พ.
อย่างไรก็ตาม อาจจะมีบางคนที่ยังไม่เข้าใจ แต่ก็มีความพร้อมที่จะทำความเข้าใจ เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมกับรัฐบาล เพราะเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่นั้น เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง และทำเพื่อเกษตรกรจริงๆ นอกจากนี้ในส่วนพ.ร.บ.การยางนั้น มีการแก้ไขสัดส่วนคณะกรรมการที่มีทั้งสิ้น 5 คน โดยการปรับสัดส่วนเกษตรกร ซึ่งจากเดิมจะมีตัวแทนเกษตรกร เพียง 1 คน ให้มีเกษตรกร 3 คน และตัวแทนภาครัฐ 2 คน ที่มีรมว.เกษตรและสหกรณ์ และอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นตัวแทน
ทั้งนี้ ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือภาคเกษตรกร ให้ลืมตาอ้าปากได้ ซึ่งเป็นความสำคัญอันดับแรก และขอให้ทุกฝ่ายมีความสามัคคีกัน เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการยางให้มีความก้าวหน้าขึ้นไป และเดินหน้าเพื่อให้เป็นอันดับหนึ่งของโลกให้ได้ นอกจากนี้วาระสำคัญ ที่มีการประชุมครั้งนี้ นายกฯ ได้รับทราบสถานการณ์ยางพาราของโลกและของประเทศไทย โดยสถานการณ์โลกขณะนี้ อยู่ในช่วงอาการสาหัส เนื่องจากราคาน้ำมันลดลงถึง 30 บาทต่อลิตร ทำให้ราคายางเทียม อยู่ที่ 35 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งหากยางธรรมชาติราคาเพิ่มสูงกว่านี้ จะทำให้หันกลับมาใช้ยางเทียมแทน
สำหรับเรื่องที่รัฐบาลพยายามทำในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานั้น ได้ขับเคลื่อนทำให้ราคายางแผ่นดิบรมควันชั้น 3 ที่ส่งออกมาที่สุดในไทยนั้นมีราคาขยับสูงขึ้ง จาก 55 บาท ต่อกิโลกรัม เป็น 63.15 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ยางแผ่นดิบ อยู่ที่ 58 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนน้ำยางสดและยางก้อนถ้วย ที่มีปัญหาขณะนี้ รัฐบาลได้มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ก.พ. อนุมัติงบประมาณ 2 พันล้านบาท เพื่อเข้าไปจัดซื้อในโครงการมูลภัณฑ์กันชนยางพารา ซึ่งเมื่อมีการประกาศ ราคายางก้อนถ้วยก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 40 กว่าบาท และน้ำยางสด ขึ้นเป็น 45.5 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าเดินหน้าไปด้วยดี ขณะเดียวกันก็จะประกาศปิดฤดูกาล ภายในวันที่ 28 ก.พ.นี้ และช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 เดือนครึ่ง ก็จะเป็นช่วงการทำนโยบายของปี 58-59 กลไกต่างๆ ที่ใช้มา เมื่อ 3 เดือนก่อนมีปัญหาอะไร เกษตรกรก็สามารถร่วมกันปรับปรุงแก้ไข เมื่อเข้าสู่ฤดูกาลกรีดอีกครั้ง ในเดือนพ.ค.จะได้ไม่มีปัญหาขึ้นอีก
นายอำนวย กล่าวว่า ที่ประชุมมีการพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ และวิธีการซื้อยางก้อนถ้วยและน้ำยางสดโดยให้ กนย. เป็นผู้กำหนด และเสนอ ครม.ทราบ โดย กนย.มีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่า หลักสำคัญจะต้องไม่ใช้เงินก้อนนี้ไปให้เกษตรกรรายใหญ่ เพราะวัตถุประสงค์ของเงินก้อนนี้ไปยังเกษตรกรรายย่อย ผ่านสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร หรือวิสาหกิจชุมชน ที่มีหลักฐานชัดเจนและกำชับให้จังหวัดตรวจสอบในเรื่องนี้ให้สอดคล้องกับทะเบียน ที่จะซื้อขายกัน
นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้ติดตามโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือทั้ง 16 โครงการ แบ่งเป็นโครงการของ คสช. 12 โครงการและโครงการของรัฐบาล 4 โครงการ ว่าติดขัดอย่างไร ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีการสั่งการ และกำหนดเวลาให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จ นอกจากนี้ยังมีการใช้ยางในประเทศ ซึ่ง กนย. ได้เสนอแพคเกจ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยางในประเทศที่เกิดขึ้นจากหน่วยงานต่างๆ ที่นายกฯ สั่งการให้ทุกกระทรวงเสนอโครงการ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังนำไปรวบรวมให้เป็นระบบและเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อทำให้มีการใช้ยางในประเทศ ให้มากที่สุด เช่น การทำสนามฟุตซอล สนามกีฬาต่างๆ ส่วนปริมาณยางที่จะใช้ในปี 58 อยู่ที่ประมาณ 1 แสนตัน
นายอำนวย กล่าวว่า การระบายยางพารานั้น ตามมติ ครม.ขอให้มีการระบายยางพาราในขณะที่ราคายางไม่ตกต่ำ ถ้าระบายในช่วงที่ราคาตก ก็จะตกที่ราคาตลาดโลก และจะกดราคาของเกษตรกร ทำให้นโยบายที่จะทำให้ราคายางพาราที่ 60 บาท ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถดำเนินการได้จนถึงสิ้นฤดูปิดกรีดยางแล้ว ซึ่งหลังฤดูปิดกรีดแล้วถือเป็นช่วงที่เหมาะสมที่จะระบายยางที่มีอยู่ ส่วนจะกระทบหรือไม่นั้นต้องดูสถานการณ์การซื้อยางของประเทศไทย ที่เป็นราคาส่งออกยางพารา ซึ่งขยับใกล้เคียงกับราคาของโครงการรัฐบาลแล้ว แต่ที่ผ่านมามีช่วงราคาห่างกันมาก ส่วนปริมาณที่จะระบายออกไปนั้น ถือเป็นเรื่องยุทธศาสตร์การค้าขาย จำเป็นต้องมีเทคนิค จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ขณะนี้ อย่างไรก็ตาม จะต้องดำเนินการภายใต้ "เอ็มโอยู"ไทย-จีน ให้แล้วเสร็จ ที่จะต้องมีการซื้อขายรูปแบบรัฐต่อรัฐในสินค้า 2 ชนิด ได้แก่ ข้าว 2 ล้านตัน และ ยางพารา 2 แสนตัน หากตกลงกันได้ในราคาภายใต้ เอ็มโอยู ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะเป็นฤดูกาลผลิตปี 58-59 ที่จะเริ่มวันที่ 15 พ.ค. และถัดไปอีก 12 เดือน ก็น่าจะเป็นโอกาสของฤดูกาลนั้น หากยางในสต๊อก ที่มีอยู่ได้ระบายไปหมดในช่วงหลัก 28 ก.พ.