ผมติดตามปัญหาเรื่องพลังงาน ปัญหาการบริหารจัดการของปตท.มาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องสัมปทานรอบที่ 21 ที่กำลังระอุคุกรุ่นกันอยู่ในขณะนี้โดยพยายามฟังความทั้งสองข้างอย่างตั้งสติไตร่ตรอง พร้อมทั้งเสาะหาข้อมูลประกอบอีกหลายๆ ด้าน จนยอมรับว่าตอนนี้ข้อมูลทับถมท่วมหัว ซึ่งตามภาษาทฤษฎีทางการสื่อสารที่ผมร่ำเรียนมา เรียกว่า Information Overload ครับ
แต่เมื่อชั่งน้ำหนักโดยพิจารณาจากผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ผมก็เอียงข้างไปทางข้อมูลของฝ่ายประชาชน ที่รวมกันออกมาต่อต้านคัดค้านการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ในครั้งนี้ และผมก็ชักงุนงงสงสัยกับท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดูเหมือนจะเอียงข้างกระทรวงพลังงานและปตท.มาตั้งแต่ต้นถึงขนาดกลายเป็นคนพูดจาโลเลกลับไปกลับมา โดยตอนแรกบอกว่า เพื่อแก้ปัญหาให้กระจ่างชัดจึงส่งเรื่องให้สภาปฏิรูปแห่งชาตินำไปพิจารณาในสภาฯ ให้รอบคอบรอบด้าน
หากสภาปฏิรูปแห่งชาติมีมติอย่างไร รัฐบาลก็ยินดีที่จะปฏิบัติตาม ซึ่งเอาเข้าจริงก็มีจิตเจตนาหวังเพียงจะให้สภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นตราประทับรับรอง เพื่อจะเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ได้อย่างมีสภาปฏิรูปรับรองตามต้องการเท่านั้นเอง เพราะเมื่อที่คาดการณ์ไว้เกิดผิดคาด สภาปฏิรูปแห่งชาติกลับลงมติด้วยคะแนนเสียง 130 ต่อ79 เสียง ไม่เห็นด้วยกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 นายกรัฐมนตรีก็พลิกคำพูดทันควันว่า กระทรวงพลังงานเขามีกฎหมายรองรับในการดำเนินการอยู่แล้วต้องเดินหน้าต่อไป มติ สปช.ไม่เกี่ยวแบบกลับคำหน้ามือเป็นหลังมือกันไปเลยทีเดียว
และเมื่อรัฐบาลโดยเจ้ากระทรวงพลังงานออกสื่อประกาศจะดำเนินการเปิดสัมปทานรอบที่ 21 ต่อไปโดยไม่ใส่ใจที่จะเคารพมติสภาปฏิรูปแห่งชาติและไม่ฟังเสียงคัดค้านจากภาคประชาชน จึงเกิดแรงปะทุให้คนออกมาต่อต้านกันทั่วประเทศมากขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวกฎอัยการศึกใดๆ เลย โดยร่วมกันยื่นหนังสือคัดค้านอย่างเปิดเผยต่อรัฐบาลและต่อองค์กรที่เกี่ยวข้องทุกองค์กร
เมื่อเห็นกระแสคัดค้านหนัก รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็เริ่มตีกรรเชียงซื้อเวลา โดยยอมเลื่อนการเปิดสัมปทานออกไปอีก 30 วัน และจะเปิดให้มีการเสวนารับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้
คนไทยทั่วประเทศที่รักความเป็นธรรม และต้องการจะปกปักรักษาประโยชน์จากทรัพยากรของชาติ ก็คงต้องลุ้นระทึกอีกต่อไปว่า เมื่อครบกำหนด 30 วัน ในวันที่ 16 มีนาคม จะเกิดอะไรขึ้น เพราะรัฐบาลยังยืนกรานว่า จะต้องเร่งเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เพราะรอไม่ได้จะช้าไปและจะเกิดปัญหาต่อการบริหารจัดการพลังงาน ขณะที่ฝ่ายประชาชนก็คัดค้านว่า การเปิดสัมปทานปิโตรเลียม เป็นการนำทรัพยากรของชาติที่เป็นส่วนรวมไปเอื้อประโยชน์ให้เอกชนต่างชาติ แทนที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวม
ระหว่างการรอเวลาอีก 1 เดือน ก็ขอนำเสนอบทกลอนที่เขียนไว้ระหว่างทาง อ่านบ่มสติบ่มอารมณ์กันไปพลางๆ ก่อนก็แล้วกัน
1. “ประโยชน์ชาติ-ประโยชน์ใคร”
ถ้าใจเอ็งว่างเปล่าจากผลประโยชน์
การตอบโจทย์ทุกโจทย์ย่อมแจ่มแจ้ง
แต่ถ้าเอ็งพลิกพลิ้วใจพลิกแพลง
ทุกตอบโจทย์ที่เอ็งแจงย่อมโจษจัน
ว่าไม่เที่ยงไม่ตรงไม่ตอบโจทย์
ว่าแอบแฝงผลประโยชน์มหึมหันต์
ว่าแวดล้อมเอ็งก็ล้วนปากเป็นมัน
เอ็งก็อาจไม่เท่าทันเล่ห์ธุรกรรม
แปลกที่เสียงเซ็งแซ่ล้วนใสซื่อ
เขาชูมือต่อต้านทั้งสูงต่ำ
โดยไม่มีผลประโยชน์โภคผลนำ
เอ็งกลับเมินทุกคำที่คัดค้าน
เชื่อแต่กลุ่มนายทุนธุรกิจ
ที่เบือนบิดข้อมูลมาขับขาน
ล้วนเหลี่ยมเล่ห์ล่าทรัพย์ทุนสามานย์
ที่รุมทึ้งรับประทานมานานวัน
แค่เอ็งชั่งน้ำหนักให้หนักแน่น
วัดข้อมูลด้วยแกนประโยชน์นั่น
เอ็งย่อมรู้สองข้างนั้นต่างกัน
อำนาจเอ็งจะเลือกสรรประโยชน์ใคร
ถ้าใจเอ็งว่างเปล่าจากผลประโยชน์
ต้องรู้คุณรู้โทษ ตอบโจทย์ได้
ใครปกป้องใครทำร้ายประเทศไทย
คนเขารอดูใจ กล้าไหมเอ็ง?
ว.แหวนลงยา
2. “ร่วมกันคลี่สัมปทาน”
ขอบคุณที่ยังฟังประชาชน
ยอมร่นเวลาไม่ฝ่ากระแส
แม้ไม่ยอมหยุดยั้งยังเชือนแช
ก็ยังเหลือบตาแลคำคัดค้าน
ยอมให้ถกปัญหาด้วยเหตุผล
ให้รื้อค้นข้อมูลกันทุกด้าน
มาแจงเหตุแจงผลแจงพิจารณ์
ถกปัญหาพลังงานประเทศไทย
อีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้จะมีผล
ระหว่างฝ่ายประชาชนกับทุนใหญ่
พลังงานเอื้อผลประโยชน์ใคร
จะรู้แน่แก่ใจเร็ววันนี้
จะรู้เช่นเห็นชาติใครดีชั่ว
เห็นแก่ตัวเห็นแก่ชาติจะบ่งชี้
อีกหนึ่งเดือนจะรู้ชั่วจะรู้ดี
เมื่อคนไทยร่วมกันคลี่สัมปทาน!
ว.แหวนลงยา